พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 122 ปีใหม่
แม้พวกเขาจะเป็นเพียงผู้ชายที่ดูแข็งกระด้าง แต่ก็ทำความสะอาดบ้านจนดูใหม่เอี่ยม ทว่าเนื่องด้วยบ้านของเจียวเหนียงกำลังไว้ทุกข์อยู่ จึงมิได้เข้าไป
“ลำบากปั้นฉินแล้ว” สวีเม่าซิวกล่าว
มองไปที่ปั้นฉินซึ่งเดินออกมาหลังจากการทำความสะอาดเสร็จแล้ว
“ยังไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง จึงยังไม่กล้าซื้อสาวใช้กลับมา” ฟ่านเจียงหลินกล่าวเช่นกัน
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ เป็นบ้านหลังใหม่และนายหญิงมิได้พักอาศัยอยู่นานเท่าไรนัก เช็ดเพียงพวกฝุ่นออกไปก็เพียงพอแล้ว ไม่ลำบากอะไรเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว “ท่านชายทั้งหลายลำบากกว่ามากเจ้าค่ะ ถึงจัดเตรียมสถานที่และของใช้ได้ดีเช่นนี้”
“พวกเราหัวเดียวกระเทียมลีบ ล้วนต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด ทำจนคุ้นชินแล้ว” ฟ่านเจียงหลินยิ้มกล่าว
โคมไฟหกดวงในบ้านถูกจุด และโคมไฟตรงทางเดินก็ถูกจุดเพิ่มอีกสองดวง ทำให้ห้องโถงสว่างไสวทั้งด้านในและด้านนอก
สาวใช้พาจินเกอร์และชายหนุ่มสองสามคนยุ่งอยู่กับการแบ่งอาหาร และรีบยกอาหารเข้าไปในบ้าน ซึ่งแม้แต่จินเกอร์ก็ไม่มีข้อยกเว้น นั่งรอตรงโต๊ะไม้ยาวด้านข้าง เมื่อถึงรอบของเขาแล้ว สาวใช้ก็ยกกาน้ำชาให้
“พี่สาว ข้าอยากดื่มเหล้าด้วย” เขาอดไม่ได้ที่จะพูด
“เจ้าต้องเฝ้าประตูตอนกลางคืน ดื่มเหล้าไม่ได้ ไม่ดื่มเหล้ายังเดินพลัดหลงกันเลย หากดื่มเหล้า คงจะแย่กว่านี้เป็นแน่” สาวใช้เบิกตากว้างกล่าว
จินเกอร์หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายและหัวเราะดังลั่นห้อง
“เพราะจินเกอร์ยังไม่คุ้นชิน หากได้ออกไปอีกสักครั้ง คงไม่เดินหลงทางแน่นอน ปั้นฉินอย่าหัวเราะเยาะเขาไปเลย” ฟ่านเจียงหลินยิ้มกล่าว
“ใช่ๆ ท่านชายใหญ่พูดถูกขอรับ” จินเกอร์กล่าวอย่างมีความสุขทันที
สาวใช้ยิ้มพลางนั่งกลับไปที่ด้านหลังของเฉิงเจียวเหนียง
สวีเม่าซิวกำลังพูดคุยเรื่องอื่นกับเฉิงเจียวเหนียงอยู่
“ข้าส่งของขวัญปีใหม่ไปที่บ้านของอำมาตย์เฉินด้วยตัวเองแล้ว อำมาตย์เฉินมิได้อยู่บ้าน ฮูหยินเฉินจึงออกมารับด้วยตัวเองและมอบเสื้อผ้าใหม่แก่น้องสาวหลายชุด ข้าคิดว่าในเมื่อเขานำออกมาให้เช่นนี้ เราก็ควรรับไว้” เขากล่าว “ข้าจึงรับมอบแทนน้องสาว”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“พี่ชายตัดสินใจเถิด” นางกล่าว
“ฮูหยินเฉินเชิญน้องสาวไปนั่งเล่นที่บ้านหลังจากปีใหม่” สวีเม่าซิวกล่าว
หากคิดทบทวนอย่างรอบคอบในสิ่งที่ได้เห็นและพบเจอที่บ้านตระกูลเฉินแล้ว เมื่อลองคิดย้อนกลับ ไป อัตราเต้นของหัวใจก็เร็วขึ้นเล็กน้อย นั่นคือประตูบ้านของอำมาตย์เฉินเชียวนะ พอมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน มองเห็นพี่น้องในอดีตของตน เป็นเพียงขุนนางเฝ้าประตูเมืองชั้นผู้น้อย และต้องยืนอยู่กับคนเฝ้าประตูถึงครึ่งค่อนวัน สุดท้ายแม้แต่ห้องโถงหลักยังมิเคยได้ก้าวเข้าไปเลย
เขาก้าวเข้าสู่ประตูบ้านของอำมาตย์เฉินในชั่วพริบตาได้อย่างไร และได้แม่บ้านของตระกูลเฉินรายงานต่อฮูหยินเฉิน โดยฮูหยินออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
ภายใต้โคมไฟ สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงคงเดิมเหมือนเช่นเคย หรือเหมือนเดิมตั้งแต่พบเจอกันเลยก็ว่าได้ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะทำให้สีหน้าของผู้หญิงคนนี้แปรปรวนไปได้ ก็ราวกับว่านางมิได้มีความรู้สึกต่อทุกสิ่งบนโลก ดังนั้น นางจึงไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่แค้น
ภายใต้การนำของฟ่านเจียงหลิน ทุกคนต่างยกเหล้าแสดงความเคารพให้กันและกัน งานเลี้ยงภายในครอบครัวที่มีแต่ความครึกครื้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้ว่าเฉิงเจียวเหนียงจะนั่งอยู่ด้วย แต่สำหรับคนหยาบกระด้างเหล่านี้ พวกเขาก็คุ้นชินและยิ่งได้ดื่มสุราก็เริ่มนั่งเอนตัวพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกกสนาน
อาจทานอาหารได้ไม่มากนัก แต่สำหรับสุราแล้ว ยิ่งดื่มก็ยิ่งอยากดื่มเข้าไปอีก สุดท้ายสาวใช้ถึงกับต้องย้ายไหเหล้าเข้ามากันเลยทีเดียว แม้แต่จินเกอร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มก็ดื่มไปหลายช้อนอยู่เหมือนกัน
“ไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าจะฉลองวันปีใหม่ได้อย่างสมบูรณ์และอิสระเช่นนี้” สวีปั้งฉุยกล่าว พลางยกชามเหล้าขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเยิ้มหวานและนั่งทำตาปรือ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นและเทเหล้าเข้าปาก ทำให้เหล้าไหลหกเต็มตัว
“ใช่ ใช่ ไม่กี่เดือนก่อนพวกเรายังหลบหนีกันอย่างหัวซุกหัวซุนกันอยู่เลย กลัวว่าจะถูกขุนนางกังฉินจับโยนเข้าคุกและสังหารเสียแล้ว นึกไม่ถึง นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่…” พี่ชายอีกคนยื่นมือแตะไปที่ไหล่ของสวีปั้งฉุยแล้วหัวเราะกล่าว
พูดถึงเพียงเท่านี้ ร่างกายสวีเม่าซิวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็มองไปที่เฉิงเจียวเหนียง ซึ่งอยู่ตรงข้ามโดยไม่รู้ตัวทันที
ใบหน้าของเฉิงเจียวเหนียงสงบนิ่ง มองออกไปที่ประตู และดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ
สวีเม่าซิวกลืนน้ำลายและได้ยินเสียงบางอย่างตกลงกับพื้น สวีปั้งฉุยทำชามเหล้าตก คนก็ล้มลงบนเสื่อแล้วหัวเราะเสียงดังด้วยความมึนเมา
เมื่อมองไปที่พี่น้องคนอื่นๆ เพลานี้ พวกเขาเกือบทุกคนเมาสุราบ้าง หรือเอนตัวลงบ้าง หรือพิงโต๊ะไม้ยาวบ่นพึมพำบ้าง
แม้แต่จินเกอร์ก็นอนกับพื้นอย่างไม่ได้สติ
“ทำให้น้องสาวต้องขายหน้าแล้ว” หัวเราะกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา
“มีความสุขมากยิ่งนัก พี่ชายทั้งหลายทำให้ข้าหัวเราะ” นางเอ่ย
สวีเม่าซิวหัวเราะด้วยความงุนงง แล้วยกชามเหล้าไปที่เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงยกแก้วน้ำที่อยู่ตรงหน้าขึ้น
ทั้งสองต่างดื่มไปคนละคำ
สาวใช้โยนถ่านใส่เตาไฟในบ้าน และออกไปด้านนอกเพื่อมองดูมังกรดิน ความร้อนภายในบ้านนั้นทำให้อากาศอบอุ่น ชายหนุ่มทั้งหลายที่มึนเมาจนเผลอหลับไปต่างไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับส่งเสียงฮึมฮัมและดึงเสื้อผ้าแทน
“ดึกมากแล้ว น้องสาวไปพักผ่อนก่อนเถอะ” สวีเม่าซิวไอแล้วกล่าว
“เฝ้ายาม ไม่นอนดีกว่า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“อากาศตอนกลางคืนเย็นนัก น้องสาวดื่มเหล้าสักหน่อยเถิด” สวี่เม่าซิวครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าว
“เหล้านี้ไม่อร่อย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สวีเม่าซิวยิ้มและจิบหนึ่งคำ
“เหล้าไม่อร่อย หรือเหล้านี้ไม่อร่อยหรือ” เขาถามด้วยความสงสัย
“เหล้านี้ไม่อร่อย” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา มุมปากโค้งขึ้นแล้วกล่าว “ไม่อร่อย”
สวีเม่าซิวหัวเราะลั่น
“ข้าว่าแล้ว น้องสาวร้องเพลงได้ จะเป็นคนที่ไม่ดื่มสุราได้อย่างไรเล่า” เขาหัวเราะกล่าว
เสียงหัวเราะมาพร้อมกับเสียงประทัดที่กระจัดกระจายอยู่ด้านนอกและดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ชายหนุ่มทั้งหลายที่หลับไปเมื่อชั่วครู่ พลันตื่นนอนและมองออกไปข้างนอกด้วยความงุนงง
“ปีใหม่แล้ว ปีใหม่แล้ว” สวีปั้งฉุยตะโกน “ไปจุดประทัดกัน ไปจุดประทัดกัน”
เขาตะโกนและวิ่งโซเซออกไป คนอื่นๆ ก็ตื่นแล้วเช่นกัน และหัวเราะวิ่งตามออกไป
กองไฟถูกจุดขึ้นที่บริเวณลานกว้าง และประทัดถูกโยนเข้าไปทีละอัน ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังลั่น
สาวใช้ปิดหูโดยไม่รู้ตัว ยืนข้างๆ เฉิงเจียวเหนียงและจ้องมองด้วยรอยยิ้ม
“ปั้นฉิน ไปเอาเสื้อคลุมมาให้น้องสาวที ข้างนอกลมเย็น” สวีเม่าซิวกล่าว
สาวใช้แลบลิ้นออกมาและรีบเข้าไปในบ้านเพื่อนำเสื้อคลุมมาให้เฉิงเจียวเหนียง
“พี่ปั้นฉินมาเผาอันหนึ่งเร็ว มาเสริมโชคกัน” จินเกอร์ตะโกนพร้อมกับยกประทัดขึ้น
สาวใช้ที่เป็นวัยแรกรุ่น รับคำด้วยรอยยิ้มและยกชายกระโปรงเดินไป
สวีเม่าซิวและเจียวเหนียงยืนข้างกันแถวทางเดินเพียงลำพัง
“พี่ชายไปเล่นเถิด” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“ข้าเป็นนักเรียน ไม่เล่นของพวกนี้” สวีเม่าซิวกล่าวอย่างเคร่งขรึม
มุมปากของเฉิงเจียวเหนียงโค้งขึ้นอีกครั้ง
“อ่อ อีกอย่าง” สวีเม่าซิวนึกอะไรบางอย่างออก จึงหยิบของออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ “ปีใหม่แล้ว ข้าก็ไม่มีของมีค่าอันใด อันนี้ถือเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับน้องสาว หวังว่าจะไม่รังเกียจ”
ของขวัญปีใหม่ของข้าหรือ
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่มือของเขาชั่วครู่ แล้วยื่นมือออกไป กองไฟที่ลุกไหม้และโคมไฟที่ส่องแสงสว่างไสว ถือหวีเงินไว้ในมือ ซึ่งทำจากเงินเก่า รูปแบบเรียบง่าย
“นี่เป็นของที่แม่ข้าทิ้งไว้ให้ ข้าเก็บไว้ก็มิได้มีประโยชน์อะไร” สวีเม่าซิวพูดอย่างไม่สบายใจเล็กน้อยพูดถึงเพียงเท่านี้ ก็ยิ้มอีกครั้ง “ข้าพูดผิดไปแล้ว ผู้มอบต้องมีความจริงใจ นี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดของข้าแล้ว หวังว่าน้องสาวจะรับมันไว้”
เฉิงเจียวเหนียงยกมือสอดหวีเงินไว้บนศีรษะและเงยหน้าขึ้นมองสวีเม่าซิว แล้วโค้งมุมปากยิ้ม
เสียงประทัดบริเวณลานกว้างดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดังสนั่นประสานกับของเพื่อนบ้านโดยรอบ ขณะนี้ ทิศตะวันออกก็ค่อยๆ สว่างขึ้น ปีใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในช่วงเช้ากลุ่มผู้นมัสการจากวังหลวงเดินออกมาเป็นแถวยาวเหยียด เหล่าฝูงชนชุดราชสำนักกลับเงียบสนิท
พอเดินออกจากประตูมาถึงยังถนน ผู้คนจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย ขยับคอซ้ายขวาแก้อาการเมื่อยเคล็ด
……………………………………………………..