พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 123 ชุดใหม่
ผู้คนที่อยู่หน้าพระราชวังพูดคุยกันด้วยเสียงทุ้มต่ำ หัวเราะพูดคุยและทักทายกันฉันคนคุ้นเคย และนานๆ ทีจะได้นัดกันกินดื่มในช่วงวันหยุดพักผ่อนประจำปี
ฮูหยินของเฉินเส้าก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เมื่อเทียบกับฮูหยินของตระกูลอี่นที่มีลูกสะใภ้ติดตาม มองดูแล้วเหมือนจะโดดเดี่ยวเพราะมีสาวใช้เพียงคนเดียวข้างกาย
“เป็นเรื่องมงคลนัก” ฮูหยินที่สวมชุดสตรีบรรดาศักดิ์ชั้นเก้ามิ่งกำลังจับมือของฮูหยินเฉินเส้าพลางกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา โดยช่วงหว่างคิ้วของนางปรากฎถึงความดีใจเล็กน้อย
ฮูหยินของเฉินเส้าแม้ว่าสีหน้าจะดูเคร่งขรึม แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของนางแล้ว ก็แฝงด้วยความสุขเล็กน้อย
ลูกสะใภ้คนโตของนางกำลังตั้งครรภ์ จึงไม่สามารถติดตามเข้าวังในครั้งนี้ได้
จำนวนคนในครอบครัวของเฉินเส้าโชคไม่ดีนัก เดิมทีมีพี่ชายและน้องชายรวมสี่คน แต่พี่ชายใหญ่และพี่ชายรองเสียชีวิตไปทีละคน บัดนี้ เหลือเพียงเฉินเส้าและท่านชายสี่เพียงสองคนเท่านั้น
เฉินเส้าเองทั้งแต่งงานช้าและเดินทางไปทั่วสารทิศ มีลูกชายคนโตก็อายุมากแล้วและมีอนุภรรยาถึงสามคน บัดนี้ จึงมีลูกชายสามคนและลูกสาวสี่คน
ตอนนี้ลูกสะใภ้คนโตและอนุภรรยาตั้งครรภ์ในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างที่นายใหญ่เฉินป่วยหนักด้วยแล้ว ทั้งตระกูลจึงไม่มีใครมีความสุขเลย
แต่ทว่า เรื่องมงคลภายในบ้านของตน สำหรับคนนอกแล้ว อาจทำให้ผู้คนรังเกียจได้ ดังนั้น จึงมิได้พูดให้กับคนนอกฟัง เว้นแต่คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ข้าได้ยินมาว่าเชิญให้หมอหลี่มาปรับความสมดุลให้เหล่าสะใภ้ทั้งหลายของตระกูลเจ้า” ฮูหยินคนหนึ่งกระซิบข้างหู “หมอหลี่ผู้นี้เป็นหมอหลวงของจิ้นอันจวิ๋นอ๋อง พวกเจ้าเชิญเขา เหมาะสมแล้ว”
พูดถึงเพียงเท่านี้ ก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“หากสามารถเชิญจิ้นอันจวิ้นอ๋องมานั่งเล่นที่บ้านได้แล้วล่ะก็ เจ้าอาจจะ…”
ฮูหยินของเฉินเส้าแม้จะดูสุขุมเพียงใด ใบหน้าก็แดงก่ำแล้ว และเอื้อมมือไปผลักฮูหยินคนนั้นเบาๆ
“พี่ต่ง พี่ยิ่งอยู่ยิ่งไม่เข้าท่าเอาซะเลยนะ! ” นางตำหนิ
ฮูหยินปิดปากหัวเราะ
ระหว่างที่พูดคุยก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่ไกลนักก็มีรถม้าของแต่ละตระกูลจอดรออยู่ ทันใดนั้นบริเวณด้านหน้าก็เงียบสงัดลง ฮูหยินของเฉินเส้าและฮูหยินต่งก็หยุดพูดและมองตรงไป
เมื่อมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกาย
นอกรั้วพระราชวังในช่วงฤดูหนาว ก่อนอื่นคือยิ่งดูยิ่งเคร่งขรึม ชุดของฝ่ายหญิงปักทอด้วยทอง ส่องประกายแวววาว ในระหว่างนี้เอง หญิงสาวผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมยาวลายเป็ดสีคราม สวมหมวกทรงใหญ่ ขณะที่เดิน ชุดคลุมโบกสะบัด เผยให้เห็นชุดคลุมด้านในสีครามเข้มเช่นเดียวกัน ด้านข้างประดับด้วยด้ายทอง ผ้าทองดงามและประณีตมาก แขนเสื้อกว้างพลิ้วประสานกันตรงด้านหน้า ราวกับหมึกที่หยดลงในน้ำและแพร่กระจายเป็นลวดลายงดงามทันที
ตลอดทางที่นางเดินมา สมาชิกฝ่ายหญิงไม่จำกัดอายุทั้งหลายต่างจดจ้องอย่างไม่ละสายตา แม้แต่ชายหนุ่มละแวกนั้นก็แอบดูอย่างเงียบๆ โดยลืมตัว
นี่เป็นบุตรสาวของตระกูลใดกัน ท่ามกลางความเคร่งขรึมกลับมีความสง่างามปนอยู่ด้วย ดุจนางฟ้าลอยมาไม่ปาน
“ท่านแม่เจ้าคะ” หญิงสาวเรียก เมื่อเห็นฮูหยินของเฉินเส้า จึงเร่งฝีเท้าและเอื้อมมือไปประคองพลางน้อมกราบพอเป็นพิธีไปด้วย ซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าครึ่งหนึ่ง
“แม่นางสิบแปด” ฮูหยินของเฉินเส้าตกตะลึงก่อนที่นางจะจำลูกสาวได้ “เจ้า เจ้ามาได้อย่างไร”
“อาสะใภ้และพี่สะใภ้ไม่วางใจ เลยให้ข้ามารับเจ้าค่ะ” แม่นางเฉินสิบแปดกล่าว พร้อมกับยื่นเตาอุ่นมือไปเปลี่ยนเตาอุ่นมือที่เย็นแล้วในมือฮูหยินของเฉินเส้ามา
บัดนี้ เตาอุ่นมืออยู่ในมือแล้ว ซึ่งฮูหยินของเฉินเส้าที่เกือบไม่ได้นอนมาทั้งคืนและยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวถึงครึ่งวัน ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่พุ่งตรงถึงก้นบึ้งหัวใจ และดูเหมือนจะโล่งใจขึ้นทันที
“ดี” นางพูดพลางมองลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“โอ้ แม่นางสิบแปดเองหรือ ไม่เจอเพียงไม่นาน สูงขึ้นอีกแล้ว” ฮูหยินต่งได้สติกลับมา ปล่อยมือจากฮูหยินของเฉินเส้า แล้วเปลี่ยนไปจับมือของแม่นางสิบแปดแทน พร้อมกับมองสำรวจอย่างละเอียด
“เป็นเพราะใส่รองเท้าข้อสูงเจ้าค่ะ” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มกล่าว
ฮูหยินต่งยิ้มแต่สายตากลับจ้องมองแต่นาง ราวกับว่าพบเจอแม่นางสิบแปดเป็นครั้งแรกก็ไม่ปาน
“แม่นางสิบแปดอายุเพียงสิบสี่ปี แต่สูงขึ้นมากแล้ว” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พอแล้ว รีบขึ้นรถม้าเถิด ข้างนอกหนาวมาก” ฮูหยินของเฉินเส้ายิ้มกล่าว และขัดจังหวะการจ้องมองของฮูหยินต่ง
ทั้งสองเดินไปข้างหน้า แม่นางเฉินสิบแปดเดินตามหลังเพียงสองสามก้าว เดินผ่านฝูงชนจนกระทั่งขึ้นนั่งบนรถม้า สายตาทุกคู่ที่จับจ้องอยู่ด้านนอกก็ยังไม่สลายหายไป และมีเสียงสนทนาเบาๆ ลอยเข้ามา
“นี่คือลูกสาวของตระกูลเฉินหรือ”
“ไม่เด็กแล้วนะ…”
รถม้ามุ่งตรงเข้าไปในบ้าน ลูกสะใภ้ แม่นมและสาวใช้ทั้งหลายยืนต้อนรับอย่างพร้อมเพียง และรีบพุ่งเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับยื่นซุปให้ ฮูหยินเฉินก็คลายความเหนื่อยล้าลงไป
“แม่นางสิบแปด ใครตัดเสื้อผ้าชุดนี้ให้เจ้า” นางทานข้าวแล้วและมองไปที่ลูกสาวทั้งหลายซึ่งกำลังหัวเราะพูดคุยกันอยู่แล้วกล่าว
แม่นางเฉินสิบแปดที่ถอดเสื้อคลุมออกและสวมเพียงเสื้อคลุมตัวนอกลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม
“ข้าให้ช่างตัดเสื้อตัดให้ ท่านแม่คิดว่าเป็นอย่างไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถาม
หญิงสาววัยแรกรุ่นท่ามกลางชุดสีแดงและสีเขียว ชุดสีเรียบกลับดูโดดเด่นนัก
“แต่คิดว่านี่เป็นวันปีใหม่ทั้งที สีมันเรียบเกินไป” ฮูหยินเฉินยิ้มกล่าว แต่กลับมิได้พูดว่าไม่ดี
“แม่นางสิบแปด เจ้าเลียนแบบชุดของแม่นางเฉิง” ตันเหนียงที่เดินตามแม่นมเข้ามา เมื่อเหลือบเห็นจึงตะโกน
ทันใดนั้น ผู้คนในเหตุการณ์คิดได้ในทันที ก็รู้เสียทีว่าความคุ้นเคยนี้มาจากไหน
“แม่นางสิบแปด เจ้าแอบสั่งตัดโดยไม่บอกพวกข้า”
“บอกมานะว่าตัดเพียงชุดเดียวหรือมีอีกหลายชุด”
หญิงสาวทั้งหลายรายล้อมแม่นางสิบแปด ในห้องก็มีชีวิตชีวาขึ้นทันทีด้วยเสียงอ้อนดั่งวิหค ขณะที่หนีบเฉินตันเหนียงไว้ที่กำลังส่งเสียงเอะอะโวยวาย ไม่ยอมฟังความ
ระหว่างที่ครอบครัวตระกูลเฉินกำลังหัวเราะพูดคุยกัน บ้านของเฉิงเจียวเหนียงที่ตั้งอยู่ข้างสะพานอวี้ไต่กลับเงียบสงบ
เพราะว่าไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง และไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมญาติเพื่อคารวะสวัสดีปีใหม่
หลังจากกราบไหว้บรรพบุรุษในช่วงเช้าแล้ว เฉิงเจียวเหนียง สวีเม่าซิ่วและคนอื่นๆ ได้แยกกันกลับไปพักผ่อน พอตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ล้างหน้าและโกนหนวดอีกครั้ง เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ เปิดประตู หรือหัวเราะพูดคุยบนลานกว้างบ้าง หรือมองออกไปดูภาพบนท้องถนนบ้าง
เสียงฝีเท้าด้านหลังดังขึ้น พวกเขาหันหน้ามองตาม เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้เดินออกมาจากห้องและสวมเสื้อผ้าใหม่แล้วเช่นกัน
หลายคนในลานกว้างพากันตะลึงไปชั่วขณะ
“น้องสาว เจ้าใส่ชุดใหม่แล้ว ข้าจำแทบไม่ได้เลย! ” สวีปั้งฉุยตะโกนก่อนคนแรก
เสียงนี้ทำให้ทุกคนได้สติ และคนที่อยู่หน้าประตูก็หันหน้ามองมา
วันนี้เฉิงเจียวเหนียงสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีแดงเลือดนก ด้านในสวมกระโปรงสีขาวเรียบ ปลายแขนของกระโปรงพาดด้วยขอบสีทอง ผมยาวที่ปล่อยตรงมีปอยตรงขมับเล็กน้อย โดยมิได้ประดับศีรษะด้วยปิ่นไช มีเพียงหวีเงินขนาดเล็กเท่านั้น
สวีเม่าซิวละสายตาออกไปจากหวีเงินนั้น
“น้องสาวยังเด็กอยู่เลย แต่งกายเช่นนี้ดูดียิ่งนัก! ” สวีปั้งฉุยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อย่างนี้ดีอย่างนี้ดี ปกติสวมใส่แต่สีดำที่เย็นเยือก มองแล้วน่าหวาดกลัวเล็กน้อย”
ฟ่านเจียงหลินรีบจ้องมองไปที่เขา
“พูดไม่เป็น ก็อย่าได้พูดไป น้องสาวใส่อะไรก็งามทั้งนั้น” เขาตะโกน
สาวใช้มองเสื้อผ้าของเฉิงเจียวเหนียงด้วยรอยยิ้ม
“นี่คือเสื้อผ้าชุดใหม่จากฮูหยินตระกูลเฉิน” นางกล่าวพร้อมกับมองไปที่สวีเม่าซิว “ต้องขอบคุณท่านชายสามที่นำกลับมาด้วย”
สวีเม่าซิวยิ้มและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี จึงนิ่งเงียบ
เฉิงเจียวเหนียงนั่งลงในห้องแล้ว ขณะที่ สาวใช้กำลังไปยกอาหาร
สวีเม่าซิวลังเลชั่วครู่และยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน
“พี่ชายสาม” เฉิงเจียวเหนียงเรียก
สวีเม่าซิวหันกลับมาอย่างรีบร้อน
“พวกพี่ทานข้าวกันแล้วหรือยัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“กินแล้ว กินแล้ว” สวีเม่าซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดีเลย ข้ามีเรื่องจะให้พี่ช่วยสักหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ดวงตาของสวีเม่าซิวกระตุกเล็กน้อยพลางมองไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่ในห้อง
แม้ว่านางจะแต่งตัวแตกต่างจากทุกวัน แต่มองไปกลับไม่เห็นเสื้อผ้าที่สีสันงดงามบนเรือนร่างของนางเลย แต่สิ่งที่สะดุดตาก็คือใบหน้าที่นิ่งสงบของนางต่างหาก
แม้ว่าจะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสีดำ แต่สง่าราศีก็คงอยู่เช่นเดิม
………………………………………………..