พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 125 ก็ดีอยู่
ดูสิดู รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกวิจารณ์เช่นนี้
รอยยิ้มของฮูหยินโจวก็แข็งกระด้างขึ้นมา
“มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน พวกเจ้าใช่ว่าจะไม่รู้ นายใหญ่ตระกูลเฉินเพิ่งจะหายดี นางคงยังไม่วางใจ อารมณ์ก็ไม่ค่อยดีนัก” นางเอ่ยขึ้นมาในทันที
“เช่นนั้นรอให้นางกลับมาก่อน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องพานางไปที่บ้านข้าให้ได้” ฮูหยินแสร้งยิ้มทั้งที่พูดจากำปั้นทุบดิน
“ได้ ขอเพียงเจ้าอย่ารำคาญก็แล้วกัน” ฮูหยินโจวยิ้มเอ่ย
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ แม่นมก็เข้ามาโขกหัวคำนับ
“ฮูหยิน แม่นางเจียวเหนียงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ฮูหยินโจวนิ่งไปชั่วขณะ ส่วนฮูหยินผู้นั้นกลับดีใจยิ่งนัก
“ดีเสียจริง” นางรีบเอ่ยต่อ “รีบเชิญมาพบเร็วเข้า”
ตายแล้ว เหตุใดถึงกลับมาตอนนี้ได้ กลับมาไม่ว่า แต่แม่นมนางนี้เนี่ยสิจู่ๆ ก็วิ่งเข้ามาแถมยังพูดจาไม่ดูตาม้าตาเรือ
ฮูหยินโจวร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวผู้นี้นิสัยประหลาดเพียงใด มีหรือนางจะไม่รู้ หากนางไม่ยอมมาพบ จะต้องฉุดกระชากลากถูให้นางมาพบให้ได้อย่างนั้นหรือ หากทำเช่นนั้นคงได้ขายหน้ากันหมดแน่!
“แม่นางเจียวเหนียงมาทักทายฮูหยินเจ้าค่ะ” แม่นมไม่ได้สังเกตสีหน้าของฮูหยิน ทั้งยังเอ่ยอย่างดีใจ
ฮูหยินโจวสีหน้าไม่ได้คลายกังวล แต่กลับประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
ผีหลอกล่ะสิ นางคิดจะทำอะไรกัน
คนอื่นไม่ได้คิดมากเท่านาง เหล่าฮูหยินสาวรุ่นต่างก็มองออกไปด้านนอกพร้อมทั้งนั่งยืดเหยียดตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว
นอกประตูนั้นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เสื้อผ้าสวยสดงดงาม ท่าทางสง่างาม ใบหน้าประณีตดั่งกระเบื้องเคลือบ เพียงแต่สีหน้านั้นไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาทั้งสองแข็งทื่อ
ทุกคนรีบเบนสายตากลับมา ความงามเป็นประกายที่ผ่านเข้ามาในสายตาสลายหายไปในพริบตา เหลือเพียงแววตาที่ทำให้รู้สึกเย็นเยือกในความทรงจำ
คงเคยเป็นเด็กสติไม่สมประกอบมาก่อนอย่างที่ว่ากันจริงๆ ช่างเสียดายความงามนัก
“ท่านป้า” เฉิงเจียวเหนียงนั่งคุกเข่าคำนับ
น้ำเสียงก็ไม่ไพเราะเช่นกัน เหล่าหญิงสาวในที่นั้นต่างพากันส่งสายตาให้กันพร้อมทั้งถอนใจอย่างแสนเสียดาย
เหล่าฮูหยินไม่ได้ใส่ใจอะไร ไม่รอให้ฮูหยินโจวที่ยังคงตกตะลึงอยู่ได้เอ่ยปากพูด หนึ่งในนั้นก็ทนรอไม่ไหวโพล่งออกมา
“แม่นางเฉิง ได้ยินมาว่าเจ้ารักษานายใหญ่ตระกูลเฉินจนหายป่วยได้ ช่างเก่งเสียจริง”
ฮูหยินโจวแอบกัดฟัน
“เจียวเจียว เหนื่อยแล้วละสิ กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ร่างกายเจ้าไม่ค่อยดีนัก” นางรีบเอ่ย
ยังพูดไม่ทันขาดคำก็รู้สึกถึงสายตาเชือดเฉือนจากด้านข้าง
“มาสิ มา ได้พบหน้ากันแล้ว ผู้ใหญ่อย่างข้าจะไม่ให้ของขวัญแรกพบเสียหน่อยได้อย่างไร” ฮูหยินผู้หนึ่งยิ้มเอ่ย กวักมือเรียกเฉิงเจียวเหนียงแล้วถอดกำไลทองบนข้อมือออก
เฉิงเจียวเหนียงไม่ขยับตัว ท่าทีของฮูหยินผู้นั้นเริ่มเคอะเขินเล็กน้อย
ดูสิดู หญิงสาวผู้นี้ไม่รู้แม้กระทั่งมารยาทพื้นฐาน ฮูหยินโจวร้องตะโกนอยู่ในใจ
“แม่นางเฉิง ได้ยินมาว่าเจ้ารักษาโรคได้ ไม่ทราบว่าจะเชิญเจ้าไปรักษาได้หรือไม่” ฮูหยินอีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
ฮูหยินโจวลมหายใจหยุดชะงัก คนที่ไม่รู้จักมารยาทไม่ได้มีเพียงเด็กบ้าคนนี้
“ได้ แน่นอน” เฉิงเจียวเหนียงมองดูฮูหยินผู้นั้นแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย
ฮูหยินโจวตกตะลึงไป
ได้อย่างนั้นหรือ
ไหนบอกว่าไม่ได้อย่างไรเล่า
ประโยคนี้เป็นคำพูดที่ฮูหยินโจวรอคอยมาตลอด แต่นางไม่ได้อยากฟังในเวลานี้ โดยเฉพาะเวลาที่ตนเพิ่งจะหาข้ออ้างมาบ่ายเบี่ยง
ตอนที่ควรมาทักทายก็ไม่มา ตอนที่ไม่ควรกลับมาหา
ตอนที่ควรตอบรับกลับไม่ตอบ ตอนที่ไม่ควรตอบรับกลับรับปากเสียอย่างนั้น
หญิงสาวผู้นี้ ทำไมถึงได้ยุ่งยากน่ารำคาญเช่นนี้ นางจงใจหรืออย่างไร
ยามท้องฟ้ามืดลง ฮูหยินโจวเดินเข้าไปในห้อง ภายในมีนายใหญ่โจวกำลังเอนกายพิงโต๊ะเตี้ย ใบหน้าแดงก่ำเพราะความมึนเมา สาวใช้สองคนที่กำลังทุบขานวดหลังให้อยู่รีบคำนับให้
แม่นมที่ติดตามอยู่ด้านหลังฮูหยินโจวโบกมือ เหล่าสาวใช้จึงรีบถอยออกไป
หนึ่งในแม่นมนำหนังสือเชิญหลายฉบับในมือวางลงบนพื้น เสียงตกกระทบทำให้นายใหญ่โจวลืมตาขึ้นมา เขานั่งเหยียดตัวตรงด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากสร่างเมา
แม่นมอีกนางหนึ่งยื่นผ้าร้อนให้เช็ดหน้า
“พรุ่งนี้บ้านของเซิงถังเชิญให้ไปที่บ้าน เจ้าพาลูกๆ ไปหน่อยแล้วกัน” นายใหญ่โจวเอ่ย
เทศกาลปีใหม่ก็ถือเป็นอีกเทศกาลเช่นกัน ในเมืองหลวงนั้นญาติสนิทมิตรสหาย ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน จะทำหารอันใดก็ต้องระวังให้เหมาะสมรอบคอบ ใครเชิญเรา บ้านเรามีใครมาบ้าง สายตาหลายคู่ต่างก็จ้องมองอยู่ ล้วนมีผลต่อความสัมพันธ์ในภายหน้า
“ไปไม่ได้” ฮูหยินโจวตอบ
นายใหญ่โจวขมวดคิ้ว
“ดูนี่สิ” ฮูหยินโจวเอ่ย แล้วยื่นมือมาชี้บัตรเชิญสีสันต่างๆ ที่กระจายอยู่บนพื้น
นายใหญ่โจวตกใจเล็กน้อย
“ทั้งหมดนี่เลยหรือ” เขาเอ่ยถาม “ยังไม่ได้ไปเลยหรือ”
หากเป็นเมื่อก่อน ในช่วงเวลานี้พวกเขาคงไปแทบจะครบทุกที่แล้ว
“ล้วนแต่เห็นแก่หน้าหลานสาวของท่านทั้งนั้น” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
นายใหญ่โจวมองนางด้วยความสงสัย
“เช่นนั้นไม่ดีหรือ” เขาเอ่ยถาม
ที่พวกเขาเชิญหญิงสาวผู้นี้มาอาศัยที่เรือนก็เพื่อการนี้มิใช่หรือ ประการแรกเพราะเป็นญาติโดยสายเลือดก็เป็นเรื่องที่สมควรกระทำ ประการที่สองนางเป็นเจ้าบุญคุณบ้านตระกูลเฉิน ประการที่สามนางมีวิชารักษาโรคได้ย่อมช่วยให้ได้สานสัมพันธ์กับผู้คนที่มากขึ้น
เขาไม่ได้เขินอายอะไร หากพูดกันตรงๆ พวกเขานั้นอาศัยหน้าตาชื่อเสียงหญิงสาวผู้นี้จริงๆ
นายใหญ่โจวยื่นมือมาพลิกดูหนังสือเชิญเหล่านั้น เป็นจริงดั่งว่ามีหลายคนที่เมื่อครั้งเทศกาลปีใหม่ในครั้งก่อนๆ ไม่เคยได้ไปมาหาสู่กัน
“ก็ใช่ แต่นางจะไม่ชอบใจเอา ไม่ยินยอมที่จะไปรักษาโรคให้ผู้อื่นก็ยังพอเข้าใจได้ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน พวกเราก็ไม่ได้เป็นตระกูลยากจนเช่นนั้น อีกทั้งไม่ต้องกลัวว่าจะล่วงเกินใครเข้า หากไม่ยอมรักษาให้ใครเลย ก็จะไม่ถูกครหาว่าให้เกียรติใคร หรือไม่ให้เกียรติใคร” เขาเอ่ย
“นางยอมรักษาให้” ฮูหยินโจวเอ่ย
“ไม่ยอมก็ไม่ยอมสิ เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่คนอื่นเขามาขอร้องพวกเราอยู่แล้ว…อย่างไรนะ” นายใหญ่โจวพูดอยู่ก็หยุดชะงักไปแล้วมองไปทางฮูหยินโจว
“วันนี้นางบอกต่อหน้าทุกคน ว่ารักษาโรคให้ได้” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
นายใหญ่โจวชะงักไป แล้วก็ปิติยินดีขึ้นมาทันใด
“เช่นนี้ก็ดีสิ” เขาเอ่ย
“ดีอะไรกัน” ฮูหยินโจวไม่สบอารมณ์ สีหน้าไม่พอใจ “นางตอบรับเสียรวดเร็ว ข้าก็กลายเป็นคนร้ายไป ท่านไม่เห็นตอนที่พวกนางพูดเหน็บแนมข้าก่อนจากไป ทำเหมือนว่าตอนแรกเป็นเพราะข้ากีดกัดไม่ให้นางรักษาโรคให้คนอื่นอย่างนั้น”
ที่แท้ก็เพราะเช่นนี้นี่เอง ผู้หญิงน่ะ ชอบคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ นายใหญ่โจวหัวเราะร่าออกมา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อยากพูดอะไรก็พูดไป วันหลังพวกนางก็ยังต้องมาขอร้องเจ้าอีกมิใช่หรือ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาร้อยเท่าในทันใด จากนั้นจึงกวักมือเรียกให้ยกเหล้ามาอีก
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด อย่าได้มาก่อเรื่องให้ข้าอีกก็แล้วกัน” ฮูหยินโจวเอ่ย พลางตั้งโต๊ะและจัดวางเหล้าให้สามีด้วยตนเอง “ข้าเลี้ยงดูเด็กๆ พวกนี้ คนอื่นต่างก็บอกว่าบ้านตระกูลโจวเราเป็นนักรบที่ดื้อรั้นนัก แต่ไม่มีคนไหนที่ทำให้ข้าต้องปวดหัวเช่นนี้มาก่อน ถึงว่าล่ะบ้านตระกูลเฉิงถึงบอกว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมให้นางเหยียบเข้าประตูบ้าน…”
บ้านตระกูลเฉิงไม่ให้นางเหยียบเข้าประตูบ้าน
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฮูหยินโจวชะงักไป ราวกับนึกเรื่องสำคัญอะไรขึ้นได้
“นายท่าน ท่านว่าหรือจะเป็นเพราะบ้านตระกูลเฉิงคิดว่าหญิงผู้นี้ยุ่งยากน่ารำคาญนัก จึงได้ฝากนางไว้ที่วัดเต๋าไม่อนุญาตให้นางเข้าเรือน” นางเอ่ยถาม
“บ้านตระกูลเฉิงหรือ” นายใหญ่โจวถ่มน้ำลาย “พวกนั้นมันคนโง่เขลา พวกเขาจะมองเห็นอะไรได้ ตอนนั้นพวกเขาทำให้น้องสาวข้าตาย เด็กบ้านั่น…เด็กคนนั้นจะต้องเกลียดแค้นอยู่ในใจเป็นแน่ จึงไม่ได้ไปอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขา มิเช่นนั้นจะจงใจปกปิดพวกเขาเรื่องที่จะมาเมืองหลวงไปทำไมกัน หากให้บ้านตระกูลเฉิงรู้เข้า ว่าบ้านอำมาตย์เฉินเป็นคนเชิญ นายใหญ่เฉิงที่ตายไปแล้วนั่นก็คงจะคลานออกมาตามตัวนางจากหลุมศพเป็นแน่”
ยามพูดถึงบ้านตระกูลเฉิง นายใหญ่โจวไม่ได้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ก็จริงดังว่า
ฮูหยินโจวพยักหน้า
“อีกอย่าง เจ้าอย่าลืมเตือนเด็กบ้า…เด็กคนนั้นด้วย ให้นางรู้ว่าตอนนั้นแม่ของนางถูกรังแก บ้านเราถูกรังแก และอีกอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือหากท่านแม่ไม่ได้ถูกบ้านตระกูลเฉิงทำให้โมโหก็คงไม่จากไปไวเพียงนี้” นายใหญ่โจวเอ่ย
สรุปก็คือจะต้องให้เด็กคนนี้รู้ว่าผู้ใดคือญาติ ผู้ใดคือศัตรู
“บ้านตระกูลเฉิงนั่นก็คงไม่ได้กลับไปอีกแล้ว อีกหน่อยก็หาคนดีๆ ในเมืองหลวงออกเรือนเสีย ใช้ชีวิตที่ดีต่อไปแล้วกัน” นายใหญ่โจวเอ่ย
“ออกเรือนได้ด้วยหรือ” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างตะลึง
“ทำไมจะออกเรือนไม่ได้เล่า คนตาบอด คนขาพิการยังออกเรือนกันได้ อีกอย่างนางก็หายแล้วนี่” นายใหญ่โจวพูดพลางจ้องตาเขม็ง
เวลานี้เหล้าและกับแกล้มถูกยกขึ้นมาจัดวาง ฮูหยินโจวจับแขนเสื้อแล้วรินเหล้าให้
“ข้าคิดว่าไม่ออกเรือน น่าจะดีกว่า” นางเอ่ยพร้อมยิ้มมุมปากเล็กน้อย
……………………………………….