พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 127 พูดไม่คิด
ทุกคนต่างก็เป็นคนที่มีลูกหลานกันทั้งนั้น หากพบเจอเรื่องแบบนี้ก็คงทุกข์ใจเช่นกัน
เหล่าฮูหยินในห้องนั้นถอนใจตามไปด้วย เหล่าหญิงสาวไม่ได้รู้สึกมากมายเพียงนั้นยังคงแอบซุบซิบกันต่อไป
“เช่นนั้นก็แสดงว่ามีพระโพธิสัตว์คุ้มครองจริงๆ สิ”
“ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ แต่น่าจะเป็นนักพรต”
“เป็นนักพรตหรือพระโพธิสัตว์กันแน่เล่า”
“ประเดี๋ยวออกมา ลองถามดูก็รู้แล้ว”
พูดถึงเรื่องนี้ คนในห้องต่างพากันมองออกไปข้างนอก
“ฮูหยินโจวออกไปตั้งนานแล้วทำไมยังไม่มาอีก” พวกนางขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“คงไม่ได้คิดเสแสร้งแกล้งทำเป็นลำบากใจอีกนะ” มีคนเบะปากเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ช่วงนี้ฮูหยินโจวนับวันจะยิ่งห่างเหินกับพวกเราขึ้นทุกวัน”
“เดี๋ยวนี้นางเป็นคนที่ไปมาหาสู่กับฮูหยินอำมาตย์เฉิน ส่วนพวกเรานั้น…”
คำพูดเหล่านั้นค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่ววงสนทนา
แม้ตัวฮูหยินโจวจะไม่ได้อยู่ในห้องนั้น แต่ก็คาดเดาได้ว่าผู้คนคงจะพูดกันเช่นนั้น ไม่ใช่แค่พูดกันที่นี่ แต่ช่วงนี้นางคงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารไปแล้ว
“นี่ก็ทำตามกฎของเจ้าแล้ว ไม่ต้องให้เจ้าไปบ้านคนอื่น ทุกคนต่างก็มาบ้านเรากันแล้ว ยังจะเอาเช่นไรอีก” น้ำเสียงของนางไม่อาจปกปิดความโมโหไว้ได้ “เจียวเจียว เจ้าจงใจปั่นหัวป้าหรือ”
บนเตียงหลังม่านนั้นมีหญิงสาวนอนตะแคงกายอย่างไร้เสียง
เดิมทีสาวใช้ที่นั่งรับใช้อยู่ในห้องยิ้มแย้มดีอยู่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นสีหน้าก็เริ่มตึงเครียด
“ฮูหยินเจ้าคะ นายหญิงของข้า ไม่มีเวลามากมายมาปั่นหัวใครหรอกเจ้าค่ะ นายหญิงข้าทำอะไรตรงไปตรงมาไม่ขาดไม่เกิน ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดเท็จเจ้าค่ะ” นางกล่าว ไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือกระวนกระวายใด แต่ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเช่นกัน “นายหญิงของข้าจะต้องนอนงีบเช่นนั้นทุกวัน ใช่ว่าท่านจะไม่ทราบนี่เจ้าคะ”
แน่นอนว่ารู้อยู่แล้ว วันแรกที่เข้ามาในบ้านนี้ การพักผ่อนสักครู่ของนางนั้นทำเอานางต้องหนาวเหน็บกลางหิมะเป็นพักใหญ่
“ข้าช่างบังเอิญมาตอนนางพักผ่อนเสียทุกครั้งเลยนะ” ฮูหยินโจวเย้ยหยัน
“สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญทั้งนั้น หากไม่มีความบังเอิญ วันนี้นายหญิงข้าก็คงไม่ได้อยู่ตรงหน้าฮูหยินหรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอย่างแสร้งทำเป็นยิ้มแย้ม
ฮูหยินโจวโมโหสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“ฮูหยิน ฮูหยิน จะบอกกับคนที่รออยู่ว่าอย่างไรดีเจ้าคะ” แม่นมรีบเดินตามหลังมาแล้วเอ่ยถามขึ้นเสียงกระซิบ
“จะบอกอย่างไรได้ ก็นอนหลับอยู่น่ะสิ” ฮูหยินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
แม่นมเดินตามติดมา
“แต่ว่า แต่ว่า…จะบอกเช่นนั้นได้หรือเจ้าคะ” นางถาม “เช่นนั้นพวกนางจะต้องนึกว่าฮูหยินจงใจวางมาดนะเจ้าคะ”
นั่นสิ เด็กบ้านเจ้า นางเป็นถึงนายหญิงของบ้าน มีแขกมาหา แต่กลับไม่เรียกเด็กมาพบ กลับบอกว่านอนหลับอยู่ ถึงจะนอนหลับจริงๆ ก็ต้องปลุกขึ้นมา เช่นนั้นแล้วคนจะหาว่านางเป็นนายหญิงที่ไม่ได้เรื่องหรือว่าจงใจวางมาดกันเอาน่ะสิ
ฮูหยินโจวกำหมัดกัดฟันแน่น
“ทำไมถึงได้รับตัวหายนะนี่เข้าบ้านมาได้!” นางกัดฟันพูด
นางมองดูห้องโถงตรงหน้า ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเข้าไปเลยสักนิดแต่กลับไร้หนทางอื่น
จริงดังที่คิด เมื่อประตูเปิดออกก็เห็นว่าด้านหลังของนางนั้นว่างเปล่า เหล่าฮูหยิน ณ ที่นั้นก็สีหน้าแปลกไป
“ดูสิ ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่”
เสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อยๆ
ฮูหยินโจวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วนั่งลง
“ข้าขอบอกทุกท่านตามความเป็นจริง เด็กคนนี้ร่างกายยังไม่หายดี” นางยิ้มอย่างแข็งกระด้างแล้วเอ่ยต่อ “เพิ่งจะกินยา ทนไม่ไหวจึงหลับไป ทุกท่านรออีกสักครู่เถิด”
คนที่นั่งอยู่ในที่นั้นเห็นว่าสีหน้าของฮูหยินโจวแปลกๆ
“ตอนรักษาโรคให้นายใหญ่เฉิน ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเช่นนี้หรือ” ฮูหยินคนสาวอมยิ้มเอ่ยถาม
ฮูหยินโจวสีหน้าไร้อารมณ์
“ตอนนั้นนางอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเฉิน ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” ฮูหยินโจวตอบกลับแล้วอมยิ้มเช่นกัน “ก็ต้องไปถามฮูหยินเฉินดู”
ฮูหยินคนสาวผู้นี้ระดับขั้นสูงกว่านายใหญ่โจวก็จริง แต่ถึงจะสูงอย่างไรก็ไม่พอที่จะไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮูหยินเฉินได้ ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้กับนาง ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก
เหตุใดนางจะต้องมาถูกรังแกเช่นนี้ด้วย! ทว่าจะทำอย่างไรก็ภาพพจน์คนใจดีไม่คิดเล็กคิดน้อยของนางก็ป่นปี้ไปเสียหมดแล้ว
นี่เป็นเพราะเด็กสาระเลวนั่นก่อเรื่องทั้งนั้น แต่กลับกลายความผิดของตนทั้งหมด!
คำพูดโต้ตอบที่ไม่ถือว่าเป็นมิตรนักระหว่างฮูหยินทั้งสองคน ทำให้บรรยากาศในห้องนั้นนิ่งเงียบไปเล็กน้อย
“นี่ก็สายมากแล้ว ลูกข้ายังเล็กนัก ข้าขอตัวกลับก่อน” ฮูหยินสาวลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลแล้วพูดขึ้น
เมื่อนางลุกขึ้น อีกสองสามคนในห้องก็ลุกขึ้นตาม คนที่เหลือมองดูฮูหยินโจวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักอย่างเห็นได้ชัด
แม้แต่ฮูหยินโจวที่นั่งอยู่ แต่สีหน้าก็ไม่ดีเช่นกัน
ถ้าหากไปเช่นนี้ ก็จะถือว่าผูกปมความแค้นกันแล้ว เดิมทีอยากที่จะผูกมิตรไมตรีกัน ใครจะคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้
เสียงแม่นมดังขึ้นจากนอกประตู
“ฮูหยิน แม่นางปั้นฉินบอกว่านายหญิงตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้คนที่เดินไปมาที่ลุกขึ้นนั้นต่างชะงักงันไป ฮูหยินโจวกัดฟันแน่น
ช่างบังเอิญ เสียจริง
ไม่รอให้นางได้พูดอะไร ฮูหยินสาวคนนั้นก็เดินไปหน้าประตู เหล่าแม่นมรีบเปิดประตูให้
“ลูกข้าก็น่าจะตื่นแล้วเช่นกัน เช่นนั้นคราวหน้าค่อยมาหานายหญิงเฉิงก็แล้วกัน” นางกล่าวอย่างเฉยชาไร้อารมณ์
สาวใช้หน้าประตูเงยหน้าขึ้น
“ฮูหยินมาหานายหญิงข้าหรือ” นางเอ่ยปากถาม
เสียงใสเจื้อยแจ้ว หน้าตางดงาม เป็นรูปลักษณ์ของสาวใช้ที่ดูดีที่สุดสำหรับบ้านตระกูลใหญ่
“นายหญิงเจ้า พบยากเสียเหลือเกิน” ฮูหยินสาวไม่จำเป็นต้องเกรงใจกับสาวใช้ นางจึงพูดตรงไปตรงมา พลางก้าวเท้าออกประตูไป
“ฮูหยิน ไปพบเองได้เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอย่างยิ้มแย้ม
ฮูหยินโจวแอบพูดในใจว่า ‘แย่แล้ว’ แล้วนั่งเหยียดตัวตรง
“ปั้นฉิน เสียมารยาท!” นางตะคอกเสียงเข้ม “เป็นเด็กเป็นเล็ก จะให้เหล่าฮูหยินทั้งหลายไปพบได้อย่างไร”
สาวใช้อมยิ้มคำนับ
“แต่ว่าที่ฮูหยินทุกท่านอยากพบนายหญิงข้า ก็เพื่อรักษาโรคมิใช่หรือเจ้าคะ” นางกล่าว อมยิ้มพลางมองดูฮูหยินสาวที่ยืนอยู่ตรงทางเดินกำลังจะเดินจากไป สายตาก็ชำเลืองมองฮูหยินทั้งหลายที่ตั้งใจฟังอยู่ในห้อง “นายหญิงข้าบอกว่า คนเจ็บป่วยเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่สะดวกจะคุยต่อหน้าผู้คน ปิดประตูนั่งคุยรายละเอียดกันดีกว่า มีเรื่องเช่นนี้นายหญิงมิกล้าละเลยจริงๆ เจ้าค่ะ”
นั่นสิ ทุกคนรวมตัวกัน ต่างคนต่างพูดกัน ใครจะกล้ารักษาโรคต่อหน้าผู้คน สุดท้ายก็ต้องนัดกันทีละคนอีก ไปพบนายหญิงนั่น ปิดประตูคุยกันเลยจะดีกว่า
ฮูหยินสาวยิ้มออกมา ก่อนจะสวมเสื้อคลุมแล้วก้าวเท้าเดินไป
“เช่นนั้น เจ้าพาข้าไปพบนายหญิงของเจ้าหน่อย” นางกล่าว
สาวใช้ยิ้มพลางขานรับแล้วคำนับขอตัวลากับฮูหยินโจวในห้องอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันหลังกลับนำทางไป
บรรยากาศในห้องปิติยินดีกันขึ้นมาทันใด
“พวกเราไปด้วย” คนที่ลุกขึ้นนั้นกล่าว
“อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ไปทีละคนสิ” มีคนอาสาจัดแจง
จากนั้นก็เริ่มคุยกันว่าใครไปก่อนใครไปหลัง พูดคุยหัวเราะกันคึกคักนัก ฮูหยินโจวในฐานะนายหญิงของบ้านกลับถูกละเลย
นายหญิงของข้าบอกว่า คนเจ็บป่วยเป็นเรื่องส่วนตัว ปิดประตูนั่งคุยรายละเอียดกัน…
ในหูของฮูหยินโจวมีแต่คำพูดของสาวใช้คนนั้นวนเวียนอยู่ สีหน้าของนางไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ
นายหญิงของเจ้าบอก! นายหญิงของเจ้าบอก!
นายหญิงของเจ้าบอกเมื่อไรกัน!
บนโลกใบนี้ทำไมถึงได้มีหญิงชั้นต่ำที่โกหกหน้าตายเช่นนี้ได้!
ทำไมพวกนางถึงได้กล้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้!
“ฮูหยินโจว ครั้งหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีก ต้องบอกพวกข้าก่อนจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน” มีคนหันหน้ามามองดูฮูหยินโจวพลางแสร้งทำเป็นยิ้ม
ฮูหยินโจวรู้สึกเกร็งไปทั้งลำคอ จนกระแอมออกมาอย่างอดไม่ได้
รถม้าหน้าประตูบ้านตระกูลโจวยังคงวนเวียนไปมาไม่ขาดสาย แต่ห้องโถงรับแขกของฮูหยินโจวกลับว่างเปล่า
ตอนแรกยังมีคนคิดอยากจะมาทักทายฮูหยินโจวนายหญิงของบ้าน แต่เมื่อคนไปพบเฉิงเจียวเหนียงโดยตรงมากขึ้น บวกกับเฉิงเจียวเหนียงเหมือนว่าจะร่างกายยังไม่ค่อยจะดีนัก คนที่มาพบในแต่ละวันก็มีเพียงไม่กี่คน ก็ได้ปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
“ร่างกายไม่ดี ไม่สามารถรวบรวมจิตใจสมาธิได้ ตรวจอาการให้ไม่แม่นยำ ไม่ตรวจยังจะดีกว่า”
คำพูดนี้ทั้งสุภาพอีกยังสมเหตุสมผล
“ถึงจะเป็นเหล่าหมอหลวงในเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะตามหาให้รักษาโรคได้ตลอดเวลา”
“ใช่ๆ เซียนหญิงตะวันตกของเมือง จะถามอะไรก็ไปได้แค่ช่วงเช้าเท่านั้นเช่นกัน…”
“หึ นายหญิงไม่ใช่เซียนหญิงสักหน่อย…”
“ก็คล้ายๆ กับเซียนหญิงนั่นล่ะ ตรวจชีพจร ไม่ฝังเข็ม ฟังอยู่ข้างในเท่านั้นเช่นกัน รายชื่อโรคบนโลกนี้เพียงฟังก็รู้ได้ นั่นก็เหมือนกับเหล่าเซียนหญิงเทวดาหนุ่มทั้งหลายแล้วมิใช่หรือ…”
“นั่นสิ ว่ากันว่า นายหญิงเฉิงเป็นศิษย์ที่นักพรตหลี่สืบทอดด้วยตนเองมิใช่หรือ…”
ฟังแม่นมสองคนด้านหลังแอบพูดคุยกันเสียงเบา ฮูหยินที่เดินอยู่ข้างหน้าก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลง
“ฮูหยิน ยังจะไปพบฮูหยินโจวอีกหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมรีบเอ่ยถาม
“เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีรถม้าหลายคันแล้ว ข้าไม่อยากช้าไปกว่านี้” ฮูหยินคนนั้นลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นว่า “เราไปพบนายหญิงเฉิงกัน อย่างไรเสียก็ไม่ได้จะให้ฮูหยินโจวรักษาโรคให้…”
พบนางก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังจะทำให้ล่าช้าไปใหญ่ เมื่อลองคิดคำนวณดูแล้ว เสียเวลากับฮูหยินโจวผู้นี้ไปน้อยเสียที่ไหนกัน
ทุกคนมีความคิดนี้แล่นเข้ามาในใจ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างพยักหน้ากันโดยพร้อมใจ ไม่ลังเลที่จะเดินตรงไปยังที่พักของเฉิงเจียวเหนียง
บริเวณที่คึกคักที่สุดของบ้านตระกูลโจวกลายเป็นเรือนของเฉิงเจียวเหนียงไปแล้ว
ในเรือนของเฉิงเจียวเหนียงมีแม่นมมากมายยืนอยู่ ตรงทางเดินก็มีคนนั่งคุกเข่า เมื่อมองเข้าไปในห้องก็มีคนเช่นกัน สาวใช้ที่ยกน้ำชาเติมน้ำให้ต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันยกใหญ่
“ห้องนี้เล็กเกินไปแล้วกระมัง” ฮูหยินคนหนึ่งสังเกตไปรอบๆ พลางป้องปากยิ้ม “บ้านตระกูลส่านโจวร่ำรวยเพียงนี้ ไม่น่าเลยนะ”
หากคำพูดนี้ไปถึงหูฮูหยินโจว ก็คงจะต้องโมโหจนจุกอกอีกเป็นแน่
นายใหญ่โจวเดินเข้ามาในห้องอย่างร่าเริงสดใส มองเห็นสาวใช้สองคนกำลังป้อนบางสิ่งให้กับฮูหยินโจวที่กำลังเอนกายพิงโต๊ะเตี้ยอยู่
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยา
“เดือนแรกของปี เจ้ากินอะไรรึ” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“กินยา” ฮูหยินโจวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“อยู่ดีๆ กินยาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าเป็นอะไรไปอีก ในบ้านมีแขกมามากมายเพียงนี้ เจ้ามาแอบกินยาอยู่นี่ได้อย่างไรกัน” นายใหญ่โจวกล่าว
“แขกมากมายเพียงนั้น ไม่ต้องให้ข้าเปลืองแรงเปลืองสมองเลย” ฮูหยินโจวกล่าวกัดฟัน กลืนยาเข้าไปหนึ่งอึก รสขมซ่านไปทั่วปาก
“เจ้าเป็นนายหญิงของบ้าน จะไม่ดูแลให้ทั่วถึงได้อย่างไร” นายใหญ่โจวกล่าว
“มีคนดูแลได้ทั่วถึงกว่าข้าที่เป็นนายหญิงของบ้านเสียอีก ข้าจะไปหาเรื่องใส่ตัวทำไมอีก!” ฮูหยินโจวยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห วางถ้วยยาบนโต๊ะเตี้ยอย่างแรงจนเสียงดังปัง
สาวใช้ตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทา หมอบตัวก้มหน้าไม่กล้ามอง
“อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรสาวบ้านตระกูลโจว เจ้าจะโมโหไปทำไมกัน” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วแล้วมองภรรยา
พวกผู้หญิงคิดการณ์ไม่ยาวไกล ชอบจ้องแต่คำพูดประโยคเดียว ห่วงแต่มารยาทตรงหน้าอย่างเดียว
“นางเป็นคนดี แล้วทำไมต้องให้ข้าเป็นคนร้ายด้วยเล่า” ฮูหยินโจวพูดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
จะให้คิดอย่างไรก็รู้สึกโมโห ตั้งแต่หญิงผู้นี้เข้าบ้านมา นายใหญ่ก็ใช้ชีวิตลำบากขึ้นทุกวัน
เป็นเช่นนี้ไปได้เช่นไรกัน
“นางทำอะไรเล่า” นายใหญ่โจวขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ฮูหยินโจวถูกถามจนชะงักงันไป
นั่นสิ ทำอะไรหรือ เหมือนว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลย…
แต่ไม่ว่าตนจะทำอะไรก็ดูเหมือนจะผิดไปเสียหมด
ผิดก็ไม่รู้ว่าผิดที่ใด ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
หญิงสาวที่ไม่เหมือนกับคนปกติโดยสิ้นเชิงคนนี้ ดูเหมือนจะเหม่อลอย แต่หากสังเกตให้ดี นางนั้นช่างไหลลื่น เหมือนจะจับความคิดของนางไม่ได้
เมื่อนึกถึงก็ช่างโมโหเสียจริง
ฮูหยินโจวเอามือทาบอก ไออย่างรุนแรงอยู่สักพัก เหล่าสาวใช้ก็รีบเข้าไปทุบหลังประคอง
“เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ไม่สบายในบ้านก็มีเจียวเจียวร์อยู่ ให้นางดูให้สิ” นายใหญ่โจวกล่าว
หากไม่พูดประโยคนี้ก็คงจะดี พูดแล้วฮูหยินโจวก็ยิ่งโมโหจุกอก ไอติดต่อกันแทบจะหายใจไม่ทัน
“นั่นสิ ก็เพราะว่านางอาศัยอยู่ในบ้านนี่ล่ะ…” นางกำคอเสื้อไว้แน่น หน้าแดงก่ำตะโกนออกมา
ถึงได้ทำข้าโมโหจนไม่สบาย
นางไม่กล้าจะพูดประโยคนี้ออกมา อย่างแรกเพราะช่างเป็นเรื่องน่าขัน อีกอย่างนายหญิงบ้านตระกูลโจว ถูกหลานสาวดูถูกจนขนาดนี้ หากพูดออกมามีแต่จะทำให้ถูกคนหัวเราะเยาะเท่านั้น
“เจ้าก็อย่าร้อนรนไป” นายใหญ่โจวกล่าว “รอให้เจียวเหนียงรักษาโรคให้พวกนางสำเร็จแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ นางเป็นหญิงคนหนึ่งถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยอยู่ในบ้าน คนนอกมองมาก็ยังคงเป็นหน้าตาของเจ้า เป็นหน้าตาของบ้านตระกูลโจวอยู่ดี”
ฮูหยินโจวยื่นมือมาลูบหน้าอก สีหน้าไม่น่าดูนัก
“ขอให้ เป็นเช่นนั้นแล้วกัน” นางกล่าว
ตั้งแต่นาทีที่หญิงนางนี้เหยียบเข้าบ้านมาในบ้าน นางไม่เคยได้หยุดกระวนกระวายใจเลยสักนาทีเดียว
มักจะรู้สึกว่าเรื่องหนึ่งยังไม่ทันสงบเรื่องใหม่ก็จะปะทุขึ้นมาอีก เรื่องแล้วเรื่องเล่า สุดท้ายกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ ทำให้บ้านตระกูลโจวไม่ได้สงบสุขอีกเลย
“ใครก็ได้” ฮูหยินโจวตะโกนเรียกขึ้นมาทันใด “ส่งคนไปเจียงโจว”
เหล่าแม่นมไม่เข้าใจ
“ไปเจียงโจว ตอนนี้หรือเจ้าคะ” พวกนางเอ่ยถาม
“ไป สืบที่บ้านตระกูลเฉิง” ฮูหยินโจวกล่าว
“สืบอะไรหรือเจ้าคะ” แม่นมไม่เข้าใจยิ่งขึ้น
“สืบ…” ฮูหยินโจวกำผ้าเช็ดหน้า กัดฟันกล่าว “สืบเรื่องทั้งหมดของเด็กบ้านั่น ข้าจะดูว่า ตอนนางอยู่ที่บ้านตระกูลเฉิง ก็ยุ่งยากน่ารำคาญ…เช่นนี้หรือไม่”
…………………………………………………………………