พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 131 ใครกัน
ท่านชายฉินมองดูปั้นฉิน
“ปั้นฉิน เจ้าอยู่ที่นี่คงไม่สบายใจนัก ไปกับข้าเถิด” เขากล่าวขึ้นมากระทันหัน
ปั้นฉินก้มหน้าคำนับ
“ขอบคุณท่านชายเจ้าค่ะ บ่าว ไม่อยากไปเจ้าค่ะ” นางกล่าว
สาวใช้คนหนึ่งจะอยู่จะไปเดิมทีนั้นนางไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ คำพูดเช่นนี้ท่านชายฉินไม่ควรถามนาง ส่วนนางก็ไม่ควรตอบ
ท่านชายฉินยิ้มเล็กน้อย ท่านชายโจวหกทำเสียงโกรธเคือง
“ออกไปเถิด” เขากล่าว
ปั้นฉินคำนับ แล้วถอยออกไปด้วยความหวาดกลัว
ความมืดมิดปกคลุมเรือนตระกูลโจว ในเดือนแรกของปีนั้นเต็มไปด้วยแสงไฟ ส่องสว่างสดใส
ปั้นฉินยืนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่นอกเรือนเฉิงเจียวเหนียงเหมือนทุกที มองดูเรือนที่ยังไม่ได้ลงกลอน
นางใช้นิ้วแกะเปลือกไม้ มองเหม่อไปในเรือน
มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาตรงทางเดิน ท่ามกลางความมืดและความสว่างที่มาบรรจบกันก็เน้นให้เห็นเป็นรูปร่างอันงดงาม
นี่ก็คือปั้นฉิน…คนนั้นสินะ
ปั้นฉินเนื้อตัวเกร็งแข็ง มองผ่านประตูไปดูว่าสาวใช้คนนั้นพูดอะไร มีแม่นมสองคนรีบพยักหน้าขานรับอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกมาข้างนอกอย่างร้อนรน
ปั้นฉินรีบหดตัวเข้าไปหลังต้นไม้
“แม่นางปั้นฉินดึกดื่นเพียงนี้จะเอาของเหล่านี้ไปทำไมกัน”
“เจ้าอย่าสนเลยว่าจะทำอะไร เขาอยากได้ ก็รีบๆ ส่งไปให้เป็นพอ”
แม่นมทั้งสองพูดคุยหัวเราะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประตูเรือนด้านนั้นปิดลง ปิดกั้นสายตาของปั้นฉินไป
นางเหม่อไปอีกสักพัก จึงหันหลังกลับเดินไป ขาส่ายไปมา แต่ขากลับแข็งชาอยู่กับที่ นางก้มลงไปถูอย่างแรงถูอยู่นานถึงได้อุ่นขึ้นมา กอดไหล่ตนไว้แล้วเดินกลับไปยังที่พักของตนด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
ระหว่างทางก็พบกับแม่นมที่คอยเดินลาดตระเวน ก็ถูกมองด้วยสายตาพิจารณา เมื่อกลับไปถึงที่พักประตูห้องก็ลงกลอนแล้ว
นางไม่กล้าตะโกนเสียงดัง ทำเพียงเคาะประตูอย่างระวัง เคาะอยู่นานก็มีคนมาเปิดให้ท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่ง
ในห้องดับไฟกันหมดแล้ว เดินเข้าไปก็ไม่รู้ว่าชนอะไร ก็มีเสียงก่นด่าขึ้นมาอีกสักพัก จากนั้นก็กลับสู่ความเงียบสงบ
อากาศแจ่มใส รถม้าคันหนึ่งบนท้องถนนกำลังจะเลี้ยวรถแต่ก็หยุดลง
“ท่านชายใหญ่ ท่านชายสาม” สาวใช้เปิดม่านออกมาเรียกพลางกระโดดลงรถแล้วคำนับ
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวเดินเข้ามาพร้อมกัน
“น้องสาวมาที่บ้านหรือ” พวกเขาเอ่ยถามพลางดูรถม้า
ในรถม้าไม่มีหญิงสาวเผยใบหน้าออกมา
“เปล่าเจ้าค่ะ นายหญิงให้ข้ามาส่งอาหารให้เจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวอมยิ้มพลางพยักหน้า
“เจ้ากลับไปบอกน้องสาวว่า เรื่องนั้นคุยกันใกล้จะเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ จะนัดจองกันเมื่อไรเท่านั้น” สวีเม่าซิวกล่าวอย่างแฝงนัยยะ
นั่นก็หมายความว่า มีเงินได้เมื่อไร
สาวใช้พยักหน้าแล้วคำนับกล่าวลา
รถและคนไปกันคนละทาง
บนถนนนั้น หันหยวนเฉาหยุดเดินลง
“หยวนเฉา ทำไมหรือ” เพื่อนที่ติดตามกันมาหันหน้ามาเรียก
“เมื่อครู่ข้าเห็น สาวใช้คนนั้น” หันหยวนเฉากล่าว สายตามองไปทางด้านหลัง
รถม้าคันนั้นเลี้ยวเข้าซอยแคบแล้วหายไป
“สาวใช้คนไหน” เพื่อนเอ่ยถาม
หันหยวนเฉายิ้มเล็กน้อยแล้วเดินไปก่อน
“ไม่ใช่คนไหนทั้งนั้น” เขายิ้มกล่าว
เพื่อนยิ้มแล้วส่ายหน้าเดินตามไป บนท้องถนนกลับวุ่นวายขึ้นมา
“หลบไป หลบไป”
ในขณะเดียวกันกับเสียงตะคอกนั้น ไม่รู้ว่าองครักษ์ตระกูลใดชูไม้ขึ้นมาตีไปทั่วเพื่อแหวกทาง
คนบนท้องถนนต่างก็หลบให้ คนที่ถูกตีก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับชะตากรรมไป สามารถใช้องครักษ์เปิดทางให้ได้ฐานะต้องไม่ต่ำต้อยเป็นแน่ ไม่สามารถฟ้องข้อหารบกวนชาวบ้านได้
“นั่นใครกัน” หันหยวนเฉาและเพื่อนต่างก็ถูกเบียดไปอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
“คนเมืองอื่นละสิ” ข้างๆ มีคนกล่าวขึ้น แล้วมองพิจารณาทั้งสองคน “เป็นซิ่วไฉเสียด้วย มาถึงเมืองหลวง ตราสัญลักษณ์ของบางตระกูลนั้นก็ต้องจำเอาไว้บ้าง”
หันหยวนเฉาและเพื่อนมองหน้ากันรู้สึกน่าขัน
“ขอถามท่านผู้เฒ่า นี่เป็นคนสูงศักดิ์ตระกูลใดหรือ” พวกเขาเอ่ยถาม
ผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความภาคภูมิที่ตนมีความรู้รอบด้าน
“จะบอกพวกเจ้าให้ นี่เป็นรถม้าบ้านบัณฑิตถง” เขากล่าว แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ก็กดเสียงเบาหัวเราะเยาะ “บัณฑิตถงคงไม่ได้กินหินย้อยมากเกินจนเป็นบ้าไปแล้วนะ”
บัณฑิตที่ว่า เป็นบัณฑิตในสำนักฮั่นหลิน ขุนนางข้างกายโอรสสวรรค์ เป็นคนร่างราชโองการต่างๆ
หันเจาหยวนย่อมรู้อยู่แล้ว หินย้อยนี้ เขาก็รู้ เพราะผู้ใหญ่ในบ้านก็กินอยู่เช่นกัน
เพียงแต่ก็ใช่ว่าจะมีเงินกินกันได้ทุกคน
ยาหินโลหะ แต่ก่อนแต่ไรมีเพียงบ้านตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์กินกันเท่านั้น
“หินย้อยสามพันชั่ง” ผู้เฒ่าส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
ในเมืองหลวงเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไร
หันหยวนเฉาและเพื่อนมองหน้ากัน ยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินหน้าต่อไป
บนท้องถนนก็มีผู้คนเดินไปมาเช่นเดิม
รถม้าที่วิ่งอย่างรวดเร็วนั้นหยุดลงตรงหน้าเรือนหลังหนึ่ง หน้าประตูมีชายหนุ่มสี่ห้าคนรออยู่อย่างกระวนกระวาย ไม่ทันรอให้รถม้าจอดสนิทก็รีบกระโจนเข้ามา
“ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าหลี่” พวกเขาตะโกนกันโหวกเหวก
ม่านรถเปิดออก มีบ่าวคนหนึ่งกระโดดลงมาก่อน แล้วหมอหลวงหลี่ก็เดินสั่นงกๆ เงิ่นๆ ลงจากรถตามมา
“เร็วเข้า เร็วเข้า” คนที่รอต้อนรับอยู่เร่งเร้า
“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ” หมอหลวงหลี่กล่าว
คนแก่ทำอะไรก็ช้า ทุกคนที่รีบร้อนกันอยู่แทบอยากจะยกตัวเขาวิ่งไป แต่ผู้เฒ่าคนนี้เป็นขุนนางแพทย์ในสำนักหมอหลวง อีกยังเป็นขุนนางแพทย์ที่ไทเฮาพระราชทานชุดขุนนางสีม่วงให้ มิกล้าล่วงเกิน
ในเรือนนั้นเสียงร่ำไห้สะเทือนฟ้า
“ร้องไห้อะไรกัน ห้ามหมดกำลังใจ!” ชายหนุ่มคนหนึ่งในห้องตะโกนใส่
แม่นมสาวใช้ในเรือนรีบปิดปากกัน
หมอหลวงหลี่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง หญิงสาวในห้องนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องการหลีกเลี่ยงแล้ว
“หมอหลวงหลี่ รีบดูอาการนายท่านว่าเป็นอย่างไรเถิด” ฮูหยินของบัณฑิตถงกล่าวพลางน้ำตาไหล นำหมอหลวงเข้าห้องด้วยตนเอง
หมอหลวงหลี่ก้าวเท้าเข้าในห้อง ชายอายุราวห้าสิบปีหน้าซีดขาวรูปร่างอ้วนนอนหงายอยู่บนเตียง ตัวสั่นเทาไปทั่วร่าง ดวงตาปิดสนิท ร้องตะโกนเสียงแหบพร่าออกมาเป็นพักๆ
หมอหลวงหลี่ไม่ได้เข้าไปใกล้ มองรอบๆ แล้วก็เห็นกล่องทองบนโต๊ะเตี้ย ในนั้นมีขวดดินเผาล้มอยู่
“กินหินย้อยอีกแล้วหรือ” เขากล่าว
“ใช่ เพิ่งนำมาจากทางใต้” ฮูหยินถงกล่าวพลางเช็ดน้ำตา “เป็นของชั้นดี กินได้ไม่กี่วัน จู่ๆ ก็เป็นเช่นนี้ไปได้”
หมอหลวงหลี่ส่งเสียงโกรธเคือง
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ของสิ่งนี้ใต้เท้าถงอย่าได้กินอีก” เขากล่าว
“ใต้เท้า อาการป่วยที่ขาของนายท่าน กินสิ่งนี้แล้วดีขึ้น หากไม่กิน ก็เดินไม่ได้” ฮูหยินถงกล่าวพลางสะอื้นไห้
หมอหลวงหลี่ส่ายหน้า มองดูบัณฑิตถงบนเตียงที่ยังคงส่งเสียงแหบพร่าประหลาดดังขึ้นเรื่อยๆ
บ่าวเปิดกล่องยาออกแล้วส่งมาให้ หมอหลวงหลี่หยิบเข็มทองจากข้างในนั้นออกมา นั่งคุกเข่าอยู่หน้าเตียง มือหนึ่งกดหัวบัณฑิตถงไว้ มือหนึ่งฝังเข็มเข้าไปในผม
เสียงร้องโหยหวนในห้องหายไปชั่วขณะ
ทุกคนต่างก็โล่งใจ
“หมอเทวดา หมอเทวดา” คนด้านนอกชมเชยกันเสียงแผ่วเบา
“หมอเทวดาอะไรกัน” หมอหลวงหลี่กล่าวพึมพำ แล้วลุกขึ้นมา มองดูบัณฑิตถงที่เนื้อตัวสั่นเทาบนเตียงนั้น
“ใต้เท้าถ่อมตนไปแล้ว ใต้เท้าถ่อมตนไปแล้ว” ฮูหยินถงรีบเช็ดน้ำตาแล้วกล่าว
เหล่าลูกชายที่อยู่ข้างๆ นั้นก็รีบคำนับกล่าวขอบคุณ
“ไม่ต้องขอบคุณ เตรียมงานศพเถิด” หมอหลวงหลี่กล่าว
คำพูดประโยคเดียวทำเอาคนในห้องนั้นต่างก็สีหน้าตกตะลึงกันไป
“ใต้เท้า!”
ในห้องวุ่นวายขึ้นมาชั่วขณะ
“ข้าไร้หนทางแล้ว เพียงแต่ใช้การฝังเข็มให้เขาจากไปอย่างสงบเท่านั้น มิเช่นนั้นตายด้วยอาการร้องโหยหวนเช่นนั้นมันช่าง…” หมอหลวงหลี่กล่าวพลางส่ายหน้า เขาพบเห็นปฎิกิริยาการเผชิญหน้ากับความเป็นความตายเช่นนี้มามากมายนัก จึงไม่มีความรู้สึกใด แล้วเรียกบ่าวมา “หรือไม่ พวกเจ้าลองไปเชิญหมอท่านอื่นมาดูแล้วกัน”
หมอของสำนักหมอหลวงบอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว จะไปเชิญหมอที่ไหนได้อีก
ทุกคนในบ้านตระกูลถงสีหน้าเหมือนเถ้าถ่านไปชั่วขณะ
ในเมื่อท่านพ่อไร้ทางรักษาแล้วจริงๆ เรื่องงานศพเป็นเรื่องสำคัญนัก จะให้ขาดตกบกพร่องไม่ได้ เหล่าลูกชายตระกูลถงรีบเชิญผู้ใหญ่ ส่งจดหมายให้พี่น้องเมืองอื่น บรรยากาศความเศร้าโศกถูกความยุ่งวุ่นวายทำให้จางหายไปบ้าง
เหล่าฮูหยินข้างนอกได้ยินข่าว ก็ร้องไห้ขึ้นมาในทันที
“ท่านพี่ เราจะทำอย่างไรกันดี” ภรรยารองอายุราวยี่สิบปีทั้งหลายกอดกันเนื้อตัวสั่นเทา
บัณฑิตถงอยู่ สาวงามเหล่านี้ก็ไร้กังวลเรื่องการกินอยู่ หากบัณฑิตถงไม่อยู่แล้ว พวกนางอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปก็ไม่มีความสำคัญแล้ว
ฮูหยินถงจะต้องขายพวกนาง ไม่ก็ส่งมอบให้กับคนอื่นเป็นแน่
ส่งมอบให้คนอื่นยังดี แต่ในนั้นมีบางคนให้กำเนิดลูกแล้วไม่อยากจะแยกจากกันไป
ทุกคนต่างก็ร่ำไห้กันจนควบคุมสติไม่อยู่ขึ้นมาทันใด
นายท่านจะตายแล้ว นายท่านจะตายแล้ว รักษาไม่ได้แล้ว…
ภรรยารองคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมากระทันหัน
“พวกเจ้า พวกเจ้าเคยได้ยินข่าวหรือไม่” นางกล่าวเสียงสั่นเครือ
“นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังจะคิดถึงเรื่องเล่าลืออยู่อีกหรือ” สาวใช้คนหนึ่งร้องไห้ “อย่าเพิ่งไปสนใจคนอื่นเลย พวกเราก็ช่วยเหลือตัวเองกันไม่ได้อยู่แล้ว”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ มีคนหนึ่ง มีคนหนึ่งบอกว่าคนไม่ถึงตายไม่รักษาให้!” ภรรยารองกล่าว “เช่นนั้น นายท่านตอนนี้ก็เป็นคนใกล้ตายแล้ว ก็รักษาได้แล้วสิ”
ทุกคนต่างก็ร้องไห้กันอยู่ พวกนางพูดคุยพึมพำกันอยู่ข้างหลัง ไม่ช้า สายตาก็มองมาที่พวกนาง
“พูดอะไรน่ะ อะไรคนไม่ถึงตายไม่รักษาให้หรือ”
ภรรยารองมองดูในห้อง กัดริมฝีปากล่างแน่น
“ฮูหยิน ฮูหยิน” นางลุกขึ้นตะโกน ร้องไห้พลางกระโจนเข้าไป “เชิญอีกสักคนหนึ่งมาดูอาการให้นายท่านเถิด”
เหล่าญาติผู้ใหญ่ในห้องกำลังหารือเรื่องงานศพอยู่ต่างตกใจใหญ่ เมื่อเห็นว่าเป็นสาวใช้ก็ยิ่งโมโห
“ฮูหยิน ฮูหยิน นายหญิงเฉิงที่เคยพบเจอเซียนเจ้าค่ะ” ภรรยารองรีบกล่าวก่อนที่ตนเองจะถูกลากตัวออกไป “นายหญิงเฉิงที่รักษาท่านพ่อของอำมาตย์เฉินจนหาย ที่มาจากเจียงโจว ศิษย์ของนักพรตหลี่เจ้าลัทธิเต๋า นางรักษาได้ นางบอกว่ารักษาให้เพียงคนที่ถึงคราวตายเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
ข่าวลือพวกนี้คนในตระกูลถงก็พอจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร
“จะก่อความวุ่นวายอะไรอีก” ฮูหยินถงร้องไห้พลางกล่าวขึ้น นั่งคุกเข่าหน้าเตียง จับตัวสามีที่หายใจติดขัดแล้วร้องไห้โวยวาย
“ฮูหยิน ฮูหยิน จริงๆ นะเจ้าคะ ข้างนอกเขาลือกันไปทั่ว ฮูหยิน ลองดูเถิดเจ้าค่ะ” ภรรยารองก็ร้องไห้โวยวายเช่นกัน แล้วโขกหัวกับพื้น “ฮูหยิน ให้นายท่านลองดูเถิดเจ้าค่ะ ท่านก็ไม่อยากให้นายท่านตายไปเช่นนี้เหมือนกันนี่เจ้าคะ มีคนรักษาได้ ทำไมถึงไม่ไปลองดูเล่าเจ้าคะ!”
อย่างไรเสียหากนายท่านตายไปแล้ว นางก็คงไม่ได้มีจุดจบที่ดีนัก ถึงแม้คำพูดนี้จะล่วงเกินฮูหยินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากรักษานายท่านหายจริง ไม่เพียงแต่ความร่ำรวยนี้ได้รับการรับประกัน ตนก็ยังถือว่ามีผลงานใหญ่ด้วย
คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินถงโมโหจริงๆ เหล่าลูกชายก็สีหน้าเคร่งเครียดไป
“หญิงชั้นต่ำ” พวกเขาตะคอก “ใครก็ได้ ไล่นางออกไป”
“ฮูหยิน ฮูหยิน นายหญิงเฉิงที่พบเจอกับเซียนจริงๆ เจ้าค่ะ คนอื่นรักษาไม่ได้ นางบอกว่ารักษาแต่คนที่ใกล้จะตายแล้วเท่านั้น ขอร้องเถิดเจ้าค่ะฮูหยิน ให้นายท่านไปลองรักษาเถิด ให้นายท่านไปลองรักษาเถิดเจ้าค่ะ ถือว่าทำเต็มที่แล้วเจ้าค่ะ” ภรรยารองตะโกน กระโจนเข้าไปกอดขาฮูหยินถงไว้แน่น “หากนายท่านไม่อยู่แล้ว พวกเราก็จะไม่ได้ใช้ชีวิตที่ดีอีกต่อไป ชายสาม ชายสี่ ก็ไม่ได้เงินชดเชยด้วย…”
คำพูดนี้ทำให้ชายหนุ่มในห้องเหล่านั้นสีหน้าเคร่งเครียดไป
ฐานะของบัณฑิตถงย่อมมีเงินชดเชยให้แก่ลูกหลานอยู่แล้ว แต่ชดเชยให้เพียงลูกคนโตเท่านั้น ลูกคนอื่นๆ บ้างก็ต้องเรียนหนังสือสอบจอหงวน บ้างก็ต้องรอให้ท่านพ่อมีผลงานเพิ่ม
เรียนหนังสือสอบอย่างไรเสียก็ย่อมลำบากเป็นแน่ บัณฑิตถงถึงแม้จะเป็นขุนนางข้างกายโอรสสวรรค์ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะมีผลงานง่ายๆ ฉะนั้นทางเดียวที่มีก็คือสะสมประสบการณ์ เช่นนี้เหล่าบุตรทั้งหลายคนต่อๆ มาหากสอบไม่ได้ ก็จะได้ค่าชดเชยแทน
หากตายไปเช่นนี้ อนาคตลูกหลานก็ย่อมเทียบไม่ได้กับตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่
“นายหญิงเฉิงผู้นั้น รักษาได้จริงหรือ” ลูกชายคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
ภรรยารองดีใจใหญ่ แล้วโขกหัวอย่างดัง
“ขอท่านชายลองสักครั้งเถิด” นางร้องไห้พลางกล่าวขึ้น
ลูกชายคนนั้นมองดูคนอื่นๆ
“เช่นนั้นก็ไปเชิญมา” คนที่อายุมากหน่อยตัดสินใจแล้วกล่าวขึ้น
“ช้าก่อน” ฮูหยินถงตะโกน
ทุกคนรีบมองไป ภรรยารองร้องไห้ขึ้นมาทันใด เหล่าลูกชายก็ลังเลจะหว่านล้อม
“นายหญิงผู้นั้น รักษาโรคมีกฎระเบียบอยู่ เขาไม่รักษาถึงที่” ฮูหยินถงร้องไห้พลางกล่าวแล้วยื่นมือมาตบเตียง “รีบแบกพ่อเจ้าไปเร็ว!”
……………………………………………………….