พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 145 พูดตรงๆ
ฟังไม่เข้าใจ…
“แม่นาง ข้าขายหน้ายิ่งนัก” ใบหน้าของแม่นางเฉินสิบแปดดูเศร้าโศกเล็กน้อย นางก้มหน้าโค้งคำนับ
“ข้ามิได้หัวเราะเยาะนะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เจ้าพูดเยอะไป ข้าฟังไม่เข้าใจ”
แม่นางเฉินสิบแปดเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“แม่นางเฉิง จริงๆ แล้วข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน” นางเอ่ย
เฉินตันเหนียงและสาวใช้ต่างเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ส่วนเฉิงเจียวเหนียงอาจจะประหลาดใจหรืออาจจะไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไร สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่งดังเดิม
“คำพูดเหล่านั้น ข้าฟังและท่องจำมาจากท่านปู่ ท่านพ่อและท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ว่าพวกท่านทั้งหลายบอกว่าดี ข้าถึงคิดว่ามันดี แม้ข้าจะไม่เข้าใจ แต่มันเขียนได้ดีจริงๆ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยพลางมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
คำพูดนี้ พูดไม่ถูก เมื่อทุกคนบอกว่าดี จะแย่ได้อย่างไร หากตนคิดว่าแย่สิ ถึงจะแปลก
แม่นางเฉินสิบแปดไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี คำพูดที่ใช้อธิบายจึงมีอย่างจำกัด
บางทีนางไม่ควรรีบมา ควรเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้สักสองสามวันจะดีกว่า
“ลายมือของข้า ไม่ค่อยดีนัก” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางส่ายหน้า
“ไม่ ไม่ แม่นางเฉิงท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยอย่างรีบร้อน
“ข้ามิได้ถ่อมตัว” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางแล้วเอ่ย
ภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ
“พี่สิบแปดจะพูดอะไรกันแน่” เฉินตันเหนียงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามและมองไปที่นางอย่างงงงวย “หมายความว่าจะเรียนเขียนพู่กันกับแม่นางเฉิงใช่หรือไม่”
แม่นางเฉินสิบแปดค่อนข้างสับสนและเขินอายเล็กน้อย
“จริงๆแล้ว ลายมือของข้าไม่ค่อยงามนัก” นางถอนหายใจเบาๆ “ข้าฝึกเขียนจากเอ้อร์หวังและ
เหยียนกงแต่ก็ยังเขียนไม่ได้ ท่านอาจารย์พูดถึงพื้นฐานการเขียนในรูปแบบต่างๆ ข้าก็ฟังไม่เข้าใจ พวกท่านเอ่ยถึงเสน่ห์ของตัวอักษร ข้าก็มองไม่ออกเช่นกัน อันที่จริงแล้ว ข้าไม่เข้าใจอะไรเลย”
พูดถึงเพียงเท่านี้ นางก็มองไปที่เฉิงเจียวเหนียง
“คำพูดชมเชยที่ท่องจำมา ไม่ได้มาจากใจ มันไม่ได้ผลจริงๆ ขายหน้าแม่นางจริงๆ” นางเอ่ยพร้อมกับก้มหัวคำนับ
“ไม่หรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เพราะฟังไม่เข้าใจเลย ข้าจึงมิได้คิดว่ามันน่าขบขัน
สาวใช้พูดเสริมจากคำพูดของเฉิงเจียวเหนียงในใจ
“โอ้ พี่สาว” เฉินตันเหนียงอดไม่ได้ที่จะจับแขนเสื้อของแม่นางเฉินสิบแปด แล้วจ้องไปที่ดวงตากลมแสนสดใสของนาง “พี่พูดอะไรออกมาอีกแล้ว พี่รู้สึกว่าพี่เฉิงเขียนตัวอักษรสวย พี่เขียนไม่สวย เลยอยากมาฝึกเขียนกับนาง นี่มันไม่มีอะไรเลย พี่จะพูดให้มากความทำไมเล่า”
แม่นางเฉินสิบแปดรู้สึกกังวลเล็กน้อยหลังจากที่นางโพล่งออกมา
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าที่คิดว่าลายมือของนางสวย แต่เป็นเพราะคนอื่นๆ และทุกคนคิดว่าลายมือของนางสวย ดังนั้น ข้าถึงอยากจะฝึกเขียน” นางพูดพลางกัดริมฝีปากล่างและมองไปที่เฉิงเจียวเหนียง พร้อมทั้งก้มศีรษะลงอีกครั้ง “เฉินซูความรู้น้อย”
แม่นางเฉินสิบแปดมีนามว่าเฉินซู
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางแล้วยกยิ้มมุมปาก
“นี่ไม่น้อยแล้วนะ” นางเอ่ย “มิใช่ว่าควรทำเช่นนี้หรอกหรือ”
แม่นางเฉินสิบแปดถึงกับตะลึง ไม่รู้ว่านางพูดปกติหรือพูดประชดกันแน่ จึงครุ่นคิดในใจ ส่วนเฉินตันเหนียงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
“ใช่แล้ว หากทุกคนบอกว่าแย่ จะฝึกเขียนไปทำไม” นางเอ่ยพร้อมกับเขย่าแขนเสื้อของพี่สาวของตน
ใช่เช่นนั้นหรือ
ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ว่าจะพูดเช่นนี้ได้หรือ
แม่นางเฉินสิบแปดชะงักเล็กน้อย
“… พี่เฉิง ข้าออกไปเที่ยวเล่นกับท่านแม่มาเมื่อหลายวันก่อน ข้าเห็นน้องสาวจากตระกูลหวังผูกเปียไว้สองข้างอย่างสวยงาม แม่นมของข้าผูกเช่นนั้นไม่เป็น ข้าเลยให้นางไปถามเขามา…” เฉินตันเหนียงพูดต่อไม่หยุด พร้อมกับชี้ไปศีรษะของตน “พี่ดู พี่ดู เป็นทรงแบบนี้ สวยไหม”
“ไม่สวย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“พี่เฉิง! ไม่สวยตรงไหน! ”
เด็กๆ ในห้องกำลังหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศครื้นเครงราวกับมีผู้คนมากมาย
แม่นางเฉินสิบแปดมองไปที่เด็กโตและเด็กเล็กที่พูดโต้ตอบกันอย่างจริงจัง นางตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะออกมา
“แม่นางเฉิง” นางเอ่ยอีกครั้ง คำพูดแตกต่างจากครั้งก่อนเพราะพูดด้วยความสบายใจและแสดงความเคารพต่อเฉิงเจียวเหนียง “เฉินซูไม่เข้าใจหนังสือ แต่รักการอ่าน แม้จะไม่เข้าใจตัวอักษร แต่รู้ว่าตัวอักษรของตนเขียนไม่สวย ดังนั้นจะขอให้แม่นางแนะนำและสอนข้าเขียนอักษรหน่อยจะได้หรือไม่ เฉินซูอยากให้ตนเป็นอย่างคนที่ตนชอบ และเป็นอย่างคนที่ตนชื่นชม”
เฉิงเจียวเหนียงและเฉินตันเหนียงหยุดพูด
“ลายมือข้าไม่สวยนะ” นางเอ่ย
แม่นางเฉิงสิบแปดที่ก้มหน้าอยู่ก็รู้สึกผิดหวังทันที นี่หมายความว่านางถูกปฏิเสธอีกแล้วล่ะสิ
“ข้าก็กำลังฝึกเขียนอยู่เหมือนกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ “หากเจ้าชอบ ก็มาฝึกด้วยกัน”
แม่นางเฉินสิบแปดดีใจเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณแม่นางมาก” นางเอ่ยพร้อมกับคำนับ
หลังจากออกจากบ้านของตระกูลโจว แม่นางเฉินสิบแปดที่นั่งอยู่ในรถก็กลั้นความรู้สึกตื้นตันไว้ไม่อยู่
“คุยกับแม่นางเฉิงต้องใช้แรงมากเหลือเกิน” นางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้แล้วทุบที่หน้าอกเบาๆ
เฉินตันเหนียงกระพริบตาจ้องหน้านาง
“อะไรกัน ที่พี่พูดนั่นแหละถึงเรียกว่าออกแรงมาก ก็แค่อยากฝึกเขียนตัวอักษร พูดไปมากเช่นนั้น ไม่เข้าใจว่าพี่กำลังพูดอะไรอยู่กันแน่” นางตะคอก
แม่นางเฉินสิบแปดอารมณ์ดียิ่งนักเลยยื่นมือไปบีบจมูกของนาง
“อย่างเจ้าจะรู้อะไร” นางเอ่ย
เฉินตันเหนียงเบี่ยงตัวหนี
“ถ้าพี่จะมาฝึกเขียนตัวอักษรกับแม่นางเฉิง ข้าจะมาด้วย…” นางรีบเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
แม่นางเฉินสิบแปดนึกอะไรบางอย่างออก จึงดึงแขนน้องสาวไว้อย่างรีบร้อน
“ตันเหนียงต้องจำทุกอย่างที่แม่นางเฉิงพูด อย่าพูดเรื่องนี้กับคนอื่นเป็นอันขาด” นางเอ่ย
ก่อนเดินทางกลับ แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยถามเฉิงเจียวเหนียงอย่างสุภาพ จะให้บอกกับทุกคนหรือไม่ว่าอักษรทั้งห้าตัวที่วัดเฉี่ยถิงนั้นนางเป็นคนเขียน
เฉิงเจียวเหนียงส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ทำไมพี่เฉิงถึงไม่ให้พูดออกไปเล่า” เฉินตันเหนียงยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
“บางทีอาจรู้สึกไม่ดีก็เป็นได้” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “แม่นางเฉิงมีข่าวลือเรื่องการรักษาอาการเจ็บป่วยแพร่สะพัด นางเพิ่งจะถือโอกาสปกปิดเรื่องนั้น เวลานี้เลยไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปอีก”
“เหตุใดถึงไม่ดีเล่า” เฉินตันเหนียงถามด้วยความงงงวย
“เพราะคมในฝักไง” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย “นางป่วยและร่างกายอ่อนแอ อายุก็ยังน้อยด้วย หากมีชื่อเสียงมากเกินไป อาจจะมีคนคิดร้ายได้ และคงไม่ดีต่อนางแน่”
เฉินตันเหนียงกระพริบตาจ้องมองนางด้วยใบหน้างงงวยเช่นเดิม
เด็กอายุเพียงห้าหกขวบ จะคาดหวังให้นางเข้าใจได้อย่างไร แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะลั่น
“เอาเป็นว่าเจ้าจำให้ได้ว่าแม่นางเฉิงไม่ชอบเป็นที่รู้จัก เพราะนางคิดว่า…” นางนึกเหตุผลที่เด็กจะเข้าใจง่ายที่สุดแล้วเอ่ย “ตนเขียนตัวอักษรได้ไม่ดีพอ”
เฉินตันเหนียงเข้าใจทันทีและรับคำ พร้อมกับพยักหน้าอย่างแรง
“หากทุกคนรู้ว่าเขียนได้ไม่ดีพอ จะทำให้อับอายอย่างมาก” แม่นางเฉินสิบแปดยิ้มเอ่ย “รอแม่นางเขียนได้ดีขึ้นก่อน แล้วค่อยบอกกับทุกคน ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดออกไป เพราะหากเจ้าบอกกับคนอื่น แม่นางเฉิงคงจะไม่พอใจมากแน่ และจะไม่เล่นกับเจ้าอีก”
นี่คือสิ่งที่เฉินตันเหนียงกลัวมากที่สุด นางเบิกตากว้างรีบพยักหน้าในทันที
เมื่อส่งพี่น้องของตระกูลเฉินเรียบร้อยแล้ว สาวใช้มองหน้าเฉิงเจียวเหนียงด้วยแววตาเป็นประกาย
“นายหญิงเจ้าคะ” นางตะโกนเรียกพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าแล้วนั่งลง
เฉิงเจียวเหนียงกำลังอ่านหนังสืออยู่ จึงมิได้เงยหน้าขึ้นและตอบรับเพียงเท่านั้น
“แท้จริงแล้ว ลายมือของนายหญิงงดงามถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม้แม่นางเฉินสิบแปดจะพูดว่าตนไม่เข้าใจ แต่คำพูดของนางนั้นเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับตัวอักษรของเฉิงเจียวเหนียง
“ก็แค่ตัวอักษร เขียนสวย แล้วอย่างไรเล่า เขียนไม่สวย แล้วอย่างไรเล่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
ก็ถูกของนาง…
สาวใช้ตะลึงและส่ายศีรษะอีกครั้ง
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ เขียนสวยก็คือเขียนสวย มิใช่ทำเพื่อได้อะไรเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงเงียบไม่พูดสักคำ
“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยต่อ คราวนี้นางยิ้มเสียจนตาหยี “ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเข้าใจ ว่าทำไมปั้นฉินผู้นั้นถึงได้เศร้าโศกนักยามต้องจากนางหญิง”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนาง
“ทำไมหรือ” นางเอ่ยถาม
สาวใช้หัวเราะเบาๆ
“นายหญิงเจ้าคะ แม่นางปั้นฉินเรียนรู้วิธีปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันจากท่าน ข้าติดตามท่าน แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรจากท่านดี” นางเม้มปากยิ้ม “เพราะมีเรื่องให้เรียนรู้มากมาย”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วยกยิ้มมุมปาก
“งั้นก็เรียนรู้หลักแห่งการนิ่งเฉยก็แล้วกัน” นางเอ่ย
สาวใช้เม้มปากยิ้ม ยิ้มมากเข้า มากเข้า ก็หยุดยิ้มทันที
หลักแห่งการนิ่งเฉยอย่างนั้นหรือ มิใช่หลักของผู้บำเพ็ญพรตประพฤติรักษาพรหมจรรย์ของมรรคาจารย์หลี่หรอกหรือ หรือว่านายหญิงได้รับการดลบันดาลจากการพบเจอกับผู้บำเพ็ญพรตหลี่
“จะไม่รักษาต่อแล้วหรือเจ้าคะ”
ณ เรือนนางฟ้า ชายหนุ่มในชุดลำลองวางถ้วยชามและตะเกียบลงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่ บอกว่าไม่สบาย หมอของเริ๋นเหอถังก็ยืนยันแล้วเช่นกัน” โต้วชีเอ่ย “ดูเหมือนว่าจะมิได้พบกับเทพเซียนเทวดานางฟ้าอะไรหรอก”
ชายผู้นั้นยิ้มอย่างเหยียดหยาม
“เทพเซียนหรือ จวบจนปีนี้แล้ว เหล่าเทพยาดาคงจะลำบากยิ่งนัก เรื่องอะไรก็อ้างถึงพวกท่านได้ทั้งหมด อยากจะพึ่งพาบุญกุศลให้ตนร่ำรวย” เขาเอ่ยระหว่างที่กำลังหยิบเนื้อแพะตรงหน้าลงลวก ก่อนจะจิ้มน้ำจิ้มแล้วกิน
นางคณิกาของขุนนางที่นั่งอยู่ข้างๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบอาหารตรงมุมปาก
“มาคิดดูแล้ว ตระกูลโจวก็ใช่ว่าจะได้เคล็ดวิชารักษาทุกโรค” เขาเอ่ยพลางรับสุราจากนางคณิกาอีกคนมาดื่มก่อนจะเอ่ยยกย่องเล็กน้อย “เหล้าจากหอฮุ่ยเซียนนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ”
“ใช่ขอรับท่านปู่ นับตั้งแต่มีเหล้านี้มาครอบครอง เราก็ค้าขายดีขึ้นมาก” โต้วชียิ้มเอ่ยอย่างเร่งรีบ
“ไม่มีคนของตระกูลโจวมาที่นี่ใช่หรือไม่” ชายผู้นั้นเอ่ยถาม
“ไม่มีใครมานับตั้งแต่วันนั้นแล้วขอรับ” โต้วชีเอ่ย และรู้สึกแปลกๆ ในใจเล็กน้อย หรือเป็นไปตามที่หญิงสาวผู้นั้นเอ่ยว่านางมิได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย
ดังนั้นตระกูลโจวก็มิได้สนใจด้วยอย่างนั้นหรือ
ตอนนั้นไม่ใส่ใจ แต่หลังจากที่เรือนนางฟ้าของพวกเขาร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ
บนโลกนี้น้อยคนนักที่จะไม่หวั่นไหวกับเงินตรา โดยเฉพาะเงินที่พวกเขาสมควรจะได้
ไม่ไหว เขาหยุดความคิดนี้ไม่ได้เลย มีแต่คนที่แน่วแน่เท่านั้นถึงจะทำเช่นนั้นได้ พอลองคิดย้อนดูอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของโต้วชีก็ยิ่งปรากฎเด่นชัดมากขึ้น
“มีท่านปู่คอยหนุนหลัง ตระกูลโจวของพวกเขาก็คงไม่ได้ตาบอด” เขาเอ่ย
“มิได้ตาบอดก็ดีแล้ว” ชายผู้นั้นหัวเราะ
หากคนของตระกูลโจวอิจฉาตาร้อนและหาเรื่องขึ้นมาจริงๆ แม้ว่าเขาจะมีหนทางรับมือกับความริษยานั้น แต่เนื่องด้วยเป็นขุนนาง คงต้องอาศัยความสัมพันธ์และอาจลำบากไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดวิชาของตระกูลโจวดูแล้วคงไม่ได้วิเศษอะไร หากต้องใช้ทั้งแรงและทั้งเงิน ไม่รู้ว่าจะคุ้มค่าหรือไม่
ตระกูลโจวรู้จักที่ของตนเช่นนี้ก็ดี ช่วยลดปัญหาให้เขาได้เยอะ
“ได้ยินมาว่าร้านเก่าของเจ้าขายออกไปแล้วหรือ” เขาสลัดความคิดนั้นทิ้งไปแล้วเอ่ยถาม
“ใช่ขอรับท่านปู่ ขายออกไปแล้ว…” โต้วชีพูดอย่างมีความสุข เดิมทีร้านเก่าหากขายให้กับแขกประจำคงขายได้เพียงสี่ห้าพันก้วน แต่ทว่าพบเจอกับคนต่างเมืองที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร จึงทำให้เขาได้กำไรไปไม่น้อย
ใบหน้านั้นชื่นมื่นได้นาน จู่ๆ ในใจก็รู้สึกไหววูบขึ้นมา เขามองดูชายที่กำลังถูกปรนนิบัติจากนางบำเรอตรงหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็จางหายราวกับว่าถูกใครบางคนกรีดเลือดออกไปก็ไม่ปาน
“ท่านปู่ เดือนนี้ได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ ข้าจะสั่งคนให้ส่งมอบเงินปันผลไปให้ท่านล่วงหน้านะขอรับ” โต้วชีเอ่ย
ชายผู้นั้นตอบรับและหยิบชิ้นเนื้อขึ้นลวกแล้วกินในคำเดียวอย่างสมใจ
………………………………………………..