พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 147 จิตใจของเขา
สุดท้ายแล้วเฉิงเจียวเหนียงกับสาวใช้ทั้งสองก็มิได้ไปที่เรือนไท่ผิง แต่กลับขึ้นรถม้าเข้าเมืองมา
รถม้ายังคงเป็นคันที่เช่ามาจากหัวสะพาน พวกนางออกจากเรือนเร็ว เที่ยงวันก็ถึงในเมืองแล้ว ระหว่างทางก็มองเห็นคลื่นคนเบียดเสียดกันเข้าเมืองไม่ขาดสาย
“วัดผู่ซิวจัดงานในวันขึ้นสิบห้าค่ำ” คนขับรถม้าที่เช่ามาเอ่ยถาม “งานดูคึกคักนัก นายหญิงจะไปดูหน่อยหรือไม่ขอรับ”
สาวใช้เปิดม่านออกพลางชี้ทาง
“ผ่านประตูทิศเหนือของวัดผู่ซิว” นางเอ่ยพลางหันกลับไปมองเฉิงเจียวเหนียง “นายหญิงจะไปหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงนั่งนิ่ง ไม่ขยับ แต่ส่ายหน้า
“จริงๆ แล้ว วันนี้ผู้คนขวักไขว่ วุ่นวาย ไม่เหมือนวันปกติที่เดินได้สะดวกสบายกว่านี้ ที่ตลาดก็มีเหล่านักบวช แม่ชีออกมาขายเครื่องรางเสริมโชคลาภ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย
“พี่สาวก็ทราบหรือ” คนขับรถม้าที่เช่ามายิ้มพลางบังคับรถม้าผ่านฝูงชนที่คึกคัก “นักบวชเหล่านี้ต่างก็เลี้ยงนางบำเรอสาวงามไว้กัน ลำพังเงินค่าธูปคงไม่พอใช้อะไร”
“แต่ก็ไม่กล้าพามาออกหน้าออกตาล่ะสิ” สาวรับใช้หัวเราะ “ไม่เช่นนั้นคงถูกทางการจับกุม คงถูกลงโทษให้ไปเป็นแรงงานแน่นอน”
ฟังจากสำเนียงแล้วเป็นคนต่างถิ่น แต่กับคุ้นชินกับเมืองหลวงนัก คนขับรถม้าที่เช่ามาสังเกตสาวใช้
“พี่สาว มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้ง ได้ พวกนักบวชที่เลี้ยงดูนางบำเรอ เงินแค่นี้คงไม่ขัดสน” เขาหัวเราะเอ่ย “ข้าเป็นคนไม่รู้หนังสือ หากข้ารู้หนังสือ สามารถอ่านพระคัมภีร์ เข้าใจปริศนาธรรม และเลือกชาชั้นดีได้ ข้าคงไปเป็นนักบวชแล้ว ไม่มาทำงานลำบากเช่นนี้หรอก”
“การอ่านพระคัมภีร์ เข้าใจปริศนาธรรม เลือกใบชาชั้นดีได้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ลำบาก ใช่ว่าใครก็ทำได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คนขับรถม้าที่เช่ามาตกใจ อดไม่ได้ที่จะหันหลังมอง
นายหญิงท่านนี้หลังจากขึ้นรถม้ามาก็ไม่เอ่ยอันใดเลย จนตัวเขาคิดว่าเป็นใบ้ ที่แท้ก็พูดได้
“เป็นตามที่นายหญิงว่า ทำอะไรก็ยากลำบากทั้งนั้น แต่ก็เพราะเพียงชาถ้วยเดียวที่เหล่านักบวชของวัดผู่ซิวเลือกให้ ก็สามารถขายได้ถึงสองร้อยก้วนต่อถ้วย” เขาหัวเราะแห้งและอดไม่ได้ที่จะซุบซิบนินทา
“ที่เขาขายไม่ใช่ชา แต่เป็นฌาน” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
คนขับรถม้าหัวเราะเบาๆ คล้ายกับกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก นายหญิงท่านนี้เอ่ยได้ตรงจุดนัก ทำให้ตนไม่กล้าและไม่รู้ว่าจะสนทนาต่ออย่างไร ทุกประโยคที่เอ่ยออกมาฟังเข้าใจได้หมด แต่เมื่อรวบรวมคำพูดแล้วกลับฟังไม่เข้าใจ ทุกคำพูดเหมือนเป็นคำปกติ แต่เมื่อฟังรวมๆ แล้ว กลับรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบก็ไม่ปาน
สาวใช้ปิดปากหัวเราะ ดึงม่านขึ้นก่อนจะชี้ให้เฉิงเจียวเหนียงดูบรรยากาศด้านนอก
เมื่อผ่านประตูทิศเหนือของวัดผู่ซิว ทะลุถึงประตูหลัง กลุ่มคนก็ยังคงแน่นขนัด
“ข้าจะซื้อจิ้งหรีดไปให้จินเกอร์เล่น” สาวใช้เอ่ย “เขาอยู่เรือนเพียงลำพังคงเบื่อแย่”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
สาวใช้กระโดดลงจากรถม้า ชี้ให้คนขับรถม้าหยุดรถไว้ข้างทาง นางเดินไปยังแผงขายสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย ก็ได้ยินคนตะโกนเรียกว่าพี่สาว
“ท่านชายหัน” สาวใช้หันหลังกลับ เห็นเป็นชายหนุ่มแต่งกายชุดสีอ่อนกำลังหัวเราะยิ้มแย้ม
หันหยวนเฉาเดินยิ้มเข้ามาหานาง เหล่าสหายที่มาด้วยกันก็ต่างสังเกตไปที่สาวใช้ผู้นี้
“ท่านชายสอบเสร็จแล้ว ท่านสอบเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อสาวใช้นึกขึ้นได้จึงรีบถาม
“แค่กลัวว่าอีกสามปีให้หลังจะต้องมาสอบใหม่อีกครั้ง” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางหัวเราะ
“อีกสามเดือนถึงจะประกาศผล ท่านชายอย่างพึ่งตีตนไปก่อนไข้เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้หัวเราะเอ่ย
ผลสอบเป็นอย่างไรตัวเขาย่อมรู้ดีแก่ใจ หันหยวนเฉาหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร กลับมองไปรอบๆ แทน
“พี่สาวมาขอพรที่วันผู่ซิวหรือ” เขาเอ่ยถาม
สาวใช้ส่ายหน้า
“ข้ากับนายหญิงเพียงแค่ผ่านมาทางนี้” นางเอ่ย
นายหญิงหรือ
หันหยวนเฉามองไปที่ข้างทาง รถม้ามากมายหยุดจอดเป็นแนวยาวอย่างไร้ระเบียบ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นรถม้าธรรมดาที่เช่ามาไม่เห็นจะมีของตระกูลที่สูงศักดิ์เลย
“ท่านชายหันมาขอพรหรือ” สาวใช้ถาม “ตอนนี้คงสายไปแล้ว พวกท่านทำไมไม่มาขอพรจากท่านขงจื๊อก่อนสอบเล่า”
แม้ขงจื๊อจะไม่สอนในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่เมื่อเข้าสอบในเมืองหลวง เหล่าบรรดาผู้เข้าสอบบางคนก็แอบมาหรือมาอย่างเปิดเผยเพื่อมาขอพรที่วัดขงจื๊อแห่งนี้
เหล่าบัณฑิตทั้งหลายต่างหัวเราะขึ้นมา
“พวกข้าแค่มาขอพร หวังว่าจะมีว่ามีโชคขึ้นมาบ้าง ก่อนสอบหากข้ามีโอกาสได้ฟังท่านเจียงโจวสอนหลักแห่งความยุติธรรม บางทีอาจจะสอบผ่านก็เป็นได้” สหายที่มากับเขาเอ่ย “ผู้รับผิดชอบของการสอบครั้งนี้คือท่านเหมาสวินแห่งสำนักฮั่นหลิน เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับท่านอาจารย์เจียงโจว”
สาวใช้หันไปมองที่หันหยวนเฉา
“ท่าน…ท่านผู้เฒ่าเจียงโจวเริ่มสอนหลักแห่งความยุติธรรมแล้วหรือ” นางถามอย่างตกใจ
“ใช่แล้ว ก่อนจะจัดสอบเพียงครึ่งเดือน” สหายท่านหนึ่งตอบ พลางส่ายหน้าเสียดาย “น่าเสียดาย ข้าไม่สามารถแทรกเข้าไปฟังใกล้ๆ ได้”
สาวใช้ตอบรับ แต่ก็เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“พี่สาวไปทำธุระของท่านเถิด” หันหยวนเฉาเอ่ย “พวกข้าก็จะเข้าไปขอพรแล้ว”
สาวใช้รีบคำนับแล้วมองพวกเขาเดินจากไป
หันหยวนเฉาหยุดเดิน หันไปมองที่สาวใช้แล้วยิ้มหัวเราะอยู่ในใจ
ตอนแรกก็คิดว่านางจะมาไม่ดี คิดวิธีไว้แล้วว่าจะปฏิเสธไม่เจอนางอีก แต่คาดไม่ถึงว่านางกลับไม่มาเจอเขาอีก กลับกันกลับเป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายเข้าไปทักทายก่อน
“ท่านชาย มีเรื่องอะไรอีกหรือไม่” สาวใช้ยิ้มถาม
“ช่วยขอบคุณท่านเศรษฐีแทนข้าด้วย” หันหยวนเฉาเอ่ย พลางก้มศีรษะลงเล็กน้อย “พ่อครัวคนนั้นบอกข้าว่าได้งานใหม่แล้ว คงเป็นความช่วยเหลือจากท่านเศรษฐีใช่ไหม”
ท่านเศรษฐีหรือ
สาวใช้งุนงง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป หันหยวนเฉาก็เดินจากไปพร้อมสหายแล้ว ไม่นานก็หายไปกับกลุ่มคนที่เดินเข้าวัดผู่ซิวอย่างรวดเร็ว
นางงุนงงไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า
“ท่านเศรษฐีหรือ” นางเอ่ยพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินถือกรงแมลงสองกรงไปยังบริเวณที่รถม้าจอดอยู่ นางหยุดเดินราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้อย่างฉับพลัน
“นายหญิง นายหญิง ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
นางพูดขณะนั่งอยู่บนรถม้า
เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ามองไปยังกรงแมลงที่วางอยู่ข้างๆ สายตาสงบนิ่งราวกับจะโดนสอบสวน
“เข้าใจอะไรหรือ” นางถาม
“ที่ทำเรื่องพวกนี้ เพื่อที่จะช่วยท่านชายหันใช่หรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้สูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่ถาม “เพื่อช่วยให้เขาผดุงความยุติธรรม เพื่อให้เจตนาอันดีงามของเขาเป็นจริงใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เพียงเพราะคิดจะช่วยเหลือคน จึงทำให้โชคดีมาตลอดหลังจากนั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ จะคำใดมาบรรยายถึงจิตใจที่เอื้อเฟื้อของคนคนหนึ่งได้นะ
การคิดช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายตรงไปตรงมา แต่ยากจะทำได้อย่างเปิดเผย
เหตุใดถึงมีคนคิดได้เพียงนี้ เหตุใดคนที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่นต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเช่นนี้ แต่กลับทำให้คนไม่รู้ถึงความคิดในใจ
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่นาง
“เขาคิดอยากจะทำอะไร ก็ให้ทำเถิด” นางเอ่ย “ไม่ต้องช่วยให้ผู้อื่นสมความปรารถนาหรอก ผู้อื่นช่วยให้สมหวัง ก็เป็นของผู้อื่น มิได้เกี่ยวข้องกับเขาเลย”
สาวใช้มึนงงไปชั่วขณะและหัวเราะในใจ
“นายหญิง ข้าฟังแค่ประโยคก่อนหน้านี้ก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ท่านอยากทำเช่นไร ก็ทำไปเถิด ข้าจะทำตามสิ่งที่ท่านปรารถนา ข้าเพียงอยากประคองท่าน ช่วยเหลือท่าน เพื่อให้น้ำใจของท่านไม่สูญเปล่า บุญคุณของท่านได้รับการตอบแทน ทำให้บุญคุณของท่านเกิดประโยชน์ ทำให้บุญคุณของท่านไม่มีที่สิ้นสุด
สาวใช้เพียงคิดเท่านี้ ก็รู้สึกร้อนวูบที่ดวงตาและในใจรู้สึกอบอุ่น
เพียงแค่นี้ชีวิตข้าก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“นายหญิง” นางเอ่ยเรียกออกมาอย่างอดไม่ได้ ราวกับมีคำพูดมากมายที่จุกอยู่ที่อก แต่ปากกลับพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ทำได้เพียงพึมพำกับตนเองในใจ
ขณะเดียวกันจิ้นอันจวิ้นอ๋องมาถึงตำหนักของไทเฮาอีกครั้ง แต่มีคนเดินข้างกายเพิ่มขึ้นหนึ่งคน
“ท่านพี่” เด็กน้อยอายุราวหกขวบสวมใส่เสื้อผ้าไหมสีสันสวยงามและทำจมูกฮึดอัดสูดดมกลิ่น ”ท่านพี่ได้กลิ่นอะไรหรือไม่”
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องมองไปที่เขาด้วยสีหน้างงงวย
“อะไรหรือ” เขาเอ่ยถาม
“หอมมาก” เด็กชายเอ่ย
“ฝ่าบาท ท่านอย่าคิดแต่เรื่องเสวยสิพะยะค่ะ” จิ้นอันจวิ๋นอ๋องหัวเราะระหว่างพูด
พวกนางกำนัลที่เฝ้าหน้าประตูตำหนักออกมาต้อนรับ
“องค์ชายรอง จวิ๋นอ๋อง” พวกเขาคำนับอย่างนอบน้อม
ทั้งสองเดินผ่านประตูเข้ามา เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ไทเฮาที่อยู่ในตำหนักก็เอ่ยทักทายอย่างดีใจ
“เสด็จย่า เสวยอะไรหรือพะยะค่ะ กลิ่นหอมมาก” องค์ชายรองนั่งอยู่ด้านหน้าของไทเฮา ตั้งคำถามแบบเด็กๆ
“เจ้าคนตะกละ รู้จักแต่จะกิน” ไทเฮาเอ่ยพรางหัวเราะ “หากเสด็จพ่อของเจ้ารู้เข้า คงว่าเจ้าเป็นเด็กไม่รู้จักโตเป็นแน่”
อีกด้านหนึ่ง จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็หัวเราะขึ้น
“เสด็จย่า ฝ่าบาทชอบเสวย นั้นหมายความว่ากำลังเจริญเติบโต ท่าควรพอพระทัยนะพะยะค่ะ” เขาหัวเราะพลางทำท่าสูดดมกลิ่น “หอมมาก หอมมากๆ เสด็จย่าทรงเสวยอะไรอยู่หรือพะยะค่ะ”
ไทเฮาหัวเราะ
“เจ้าคนตะกละทั้งสอง” นางหัวเราะแล้วหันไปหานางกำนัล “เจ้าไปนำนกขมิ้นทอดของตระกูลเฉินมาที”
จิ้นอันจวิ๋นอ๋องยักคิ้ว
“ตระกูลเฉินหรือพะยะค่ะ” เขาเอ่ยถาม
“ตระกูลเฉินเส้า” ไทเฮาตรัส
“เสด็จย่า ข้าได้ยินเรื่องของไต้เท้าเฉินมาบ้าง บิดาของเขาหายจากอาการป่วยแล้วหรือพะยะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
“ดีขึ้นแล้ว พูดถึงก็แปลกประหลาดนัก” ไทเฮาตรัส “เขาว่าเชิญหมอเทวดามาจากเจียงโจว สามถึงห้าวันก็รักษาให้หายเป็นปกติแล้ว”
นางกำนัลเตรียมนกขมิ้นทอดมาสองสำรับ และวางไว้ตรงหน้าขององค์ชายรองกับจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“เก่งกาจถึงเพียงนั้นเลยหรือ มิใช่บอกว่าจะไม่รักษาให้หรือพะยะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามต่อ
เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่ใช่ข้าเชื่อที่พวกนั้นพูดหรอกนะ แต่เหล่าบรรดาหมอในเมืองหลวงที่รักษามานานต่างยอมแพ้กันไปหมด” ไทเฮาเอ่ยพลางส่ายหน้า “ในท่ามกลางคนธรรมดาสามัญ ก็มีหมอเทวดาจริงๆ ”
“เสด็จย่า อร่อยมากพะยะค่ะ” องค์ชายรองทานจนหมดทั้งสองชาม มือข้างหนึ่งเต็มไปด้วยคราบน้ำมันแล้วเอ่ย “ข้าอยากเสวยอีกพะยะค่ะ”
ไทเฮารีบเรียกนางกำนัลไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้องค์ชายรอง
“ยังมีอยู่ ฮูหยินเฉินพาคนครัวมาที่วังด้วย หากสอนสูตรแล้วถึงจะกลับไป หากอยากทานอีกเมื่อไรพวกเจ้าก็ทานได้เสมอ”
“อ๋อ ข้าเห็นแล้ว ข้าเห็นคนครัวที่ฮูหยินเฉินพาเข้ามาด้วย และเป็นแม่ครัวอีกด้วย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องนำขึ้นมาเสวยอย่างช้า แล้วก็พูดไปพลางๆ
ไทเฮาทรงพระสรวล
“นั้นไม่ใช่แม่ครัว นางเป็นบุตรสาวของฮูหยินเฉิน” พระนางทรงพระสรวล แล้วหันไปถามนางกำนัลข้างกาย “นามว่าอะไรนะ แต่งกายได้โดดเด่นและดูฉลาดหลักแหลมนัก”
“นามว่าซู่ บุตรคนที่สิบแปด” นางกำนัลตอบอย่างยิ้มแย้ม “ปีนี้อายุสิบสี่เพคะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรับผ้ามากจากนางกำนัลเช็ดที่ริมฝีปากช้าๆ
“เฉินซู่ แม่นางเฉินสิบแปดหรือ”
พูดคุยกันสนุกสนานอยู่สักพักหนึ่ง แต่เรื่องด้วยพระชายาเสียนเฟยกำลังบำรุงครรภ์อยู่ จิ้นอันจวิ้นอ๋องกับองค์ชายสองจึงขอตัวลากลับก่อน
“เสด็จแม่ของเจ้ากำลังรอถามเรื่องการเรียนอยู่” เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ
องค์ชายรองใบหน้ามีตึงเครียดทันที
“เสด็จย่า” เขามองไปที่ไทเฮาแล้วยืนบิดตัวไปมา
“เด็กดี กลับไปก่อนเถอะ เสด็จแม่ทำเพื่อเจ้า ตั้งใจเรียนกับท่านอาจารย์นะ” ไทเฮาเอ่ยพลางหัวเราะ
“ฝ่าบาทนำนกขมิ้นทอดกลับไปด้วยเถิด ดั่งยืมดอกไม้ของเสด็จย่ามาถวายพระ ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะเอ่ย
องค์ชายรองพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ไทเฮาทรงพระสรวลแล้วสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียม ก่อนจะหันไปมองที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องและพยักหน้าด้วยความเมตตา
“ไปเถิด เขาอายุยังน้อย เจ้าต้องมาหาเขาบ่อยๆ ” นางเอ่ย “หลังจากนี้ เจ้ากับองค์ชายใหญ่ต้องย้ายออกไปอยู่ตำหนักนอกวัง เขาคงจะโดดเดี่ยว”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม
“ท่านย่าคิดมากไปแล้ว ท่านจะมีองค์ชายน้อยเพิ่มขึ้นอีกองค์แล้ว” เขายิ้มเอ่ย
ทันใดนั้น ไทเฮาก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“ดี ดี ข้ารับคำมงคลจากเจ้าไว้” นางเอ่ยพลางยิ้ม “ไปบอกกับพระชายาเสียนเฟย จวิ้นอ๋องเอ่ยว่าจะรอเล่นกับองค์ชายตัวน้อย”
นางกำนัลยิ้มแย้มแล้วเดินจากไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับถาดของมีค่า
“พระชายาเสียนเฟยประทานให้แก่จวิ้นอ๋องเพคะ” เหล่านางกำนัลยิ้มแย้มเอ่ย
“ขอบพระทัยพระชายามากพะยะค่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรับมา แล้วหันไปที่ไทเฮา “เสด็จย่า พระชายาเสียนเฟยประทานของให้กับข้าแล้วพะยะค่ะ”
ไทเฮาทรงพระสรวลเสียงดังลั่น
“เจ้าเล่ห์จริงๆ ยังจะอยากได้ของจากข้าอีก” นางตรัสและให้ไปหานางกำนัล “ตบรางวัล”
หลังส่งองค์ชายรองกลับตำหนักฮองเฮาก่อน จิ้นอันจวิ้นอ๋องถึงเดินกลับมาที่ตำหนักของตน
ตอนเด็กเขาก็พักอยู่ที่ตำหนักไทเฮา พอโตขึ้นจึงย้ายมาอยู่ฝั่งทิศตะวันตกของทางวังหลวง เพื่อหลีกหนีข้อครหา ตำหนักนี้อยู่ใกล้กับวังหน้า แต่ห่างจากวังหลังออกมาไกล เดิมทีเป็นห้องหนังสือเดิมของฮ่องเต้ไท่จู่ ต่อมาถูกไฟไหม้และหลังจากบูรณะซ่อมแซมก็พระราชทานให้แก่จิ้นอันจวิ้นอ๋อง ภายในมีต้นไม้งอกงามจำนวนมาก ฤดูหนาวยังพอทนไว้
แต่ยามฤดูร้อนใบไม้เขียวบดบังแสงแดด ทำให้ดูเงียบเหงามากกว่าเดิม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเดินผ่านประตูเข้ามา มองเห็นถาดของมีค่าที่ได้รับมาวางอยู่หน้าฉากกั้นห้อง เขามองอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น เขาก็ยกมือคว่ำถาดทิ้ง
“ท่านอ๋อง” บ่าวรับใช้เรียกด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วรีบปิดประตู มองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันมาหัวเราะ
“ไม่มีใครหรอก” เขาเอ่ย “ทำให้เจ้าตกใจแล้ว”
“ท่านอ๋อง อย่าทำให้บ่าวตกใจเลย ท่านต้องระวังตัวเป็นพิเศษ อย่าประมาทนะขอรับ” บ่าวรับใช้วางมือทาบอกและพูดจาตามใจตน ทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องสะบัดเสื้อแล้วนั่งลง
“ข้ารู้ เจ้าออกไปได้แล้ว” เขาเอ่ยพลางยื่นมือออกไปเก็บของมีค่าที่ตกพื้นแล้วพิงโต๊ะไม้เตี้ย ร่างกายท่อนบนโอนเอนไปมาก่อนจะก้มตัวลงไปเก็บของที่อยู่ด้านหน้าตนทีละชิ้น เขาจ้องมองของเหล่านั้นแล้วยกยิ้มมุมปาก
บ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องเมื่อได้ยินคำสั่งก็ออกจากห้องไป แสงอาทิตย์ค่อยๆ จางหาย สุดท้ายเหลือเพียงแสงรำไรที่ลอดผ่านช่องหน้าต่าง เตียงกระดำกระด่างตั้งอยู่กลางห้องโดยมีชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้น
……………………………………………………..