พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 148 คนเก่า
รุ่งเช้าของช่วงปลายเดือนสอง อากาศยังคงเหน็บหนาว
ขณะที่หมอกยังไม่จางหายไป กลางลานฝึกของตระกูลโจวเสียงดังสนั่น
เหล่าชายชาตรีตระกูลโจวกำลังฝึกการต่อสู้ยิงธนู และนี่คือประเพณีที่ตระกูลโจวกับเหล่าทหารของตระกูลโจวสืบทอดกันมา ทุกวันต้องมายืดเส้นยืดสาย ไม่ว่าจะเป็นวันที่ฝนตก ลมแรง หรือวันที่ฟ้าสดใสก็ตาม
ผู้ที่ถูกสวรรค์ลิขิตอย่างนายใหญ่ตระกูลโจวสวมเพียงเสื้อตัวสั้น ในมือถือหอกหนึ่งเล่มร่ายรำดุจสายน้ำ ตรงหน้าเขาคือท่านชายโจวหกที่เปลือยท่อนบน ในมือถือหอกเงินปัดแกว่งไปมา ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
รอบข้างมีเหล่าพี่ชายและน้องชายอายุมากน้อยแตกต่างกันต่างฝึกซ้อมกันอยู่ อากาศอันหนาวเย็นในช่วงฤดูไบไม้ผลิ แต่ร่างกายครึ่งท่อนบนที่เปลือยของเหล่าชายชาตรีกลับมีเหงื่อไหลท่วมทั่วแผ่นหลัง
สิ้นเสียงการต่อสู้ หอกของท่านชายโจวหกถูกปัดออกไป ร่างกายถอยหลังไป สีหน้าบ่งบอกถึงว่ายังไม่ยอมแพ้
“ชายหก เจ้ายังอ่อนหัดนัก” นายใหญ่โจวหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะนำหอกที่อยู่ในมือปักลงกับพื้น “แต่ก็ไม่เลว ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า ทุกครั้งที่ฝึกกับท่านปู่ของเจ้า ข้าก็โดนบุกจนล้มไม่เป็นท่า”
หลังจากการฝึกต่อสู้ของสองพ่อลูกจบลง เหล่าบรรดาพี่น้องก็รู้ผลแพ้ชนะของตน จากนั้นจึงฝึกยิงธนูอีกหลายรอบ การฝึกช่วงเช้าถึงได้จบลง
เหล่าบรรดาสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ที่ลานฝึกพากันถือถังน้ำเข้ามา เพื่อเช็ดตัวและแต่งกายให้เจ้านายของตนเอง
ท่านชายโจวหกฝึกโยนโซ่หินเพียงลำพังอยู่หลายครั้งกว่าจะเดินกลับออกมา
หลังจากที่เหล่าชายหนุ่มฝึกรอบเช้าเสร็จ ก็ถึงเวลาอาหารเช้าของตระกูลโจว หลังจากนั้นนายใหญ่ตะกูลโจวและขุนนางผู้ติดตามอีกสองคนจะไปศาลาว่าการเพื่อปฏิบัติราชการ เหล่าชายหญิงอื่นก็แยกย้ายกันตามอัธยาศัย
“น้องหก วันนี้เจ้าไปวัดผู่ซิวกับพวกเรานะ” เหล่าพี่สาวและน้องสาวเอ่ยกับท่านชายโจวหก
“ไม่ไป” ท่านชายโจวหกตอบกับทันควัน “เบื่อที่จะไปที่แบบนั้นที่สุด”
“อะไรกัน” น้องสาวคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่พอใจ “หากคนบ้านั้นเรียกท่านไป ท่านต้องไปแน่นอน”
“ที่จริงแล้วน้องหกไม่ได้ไปเป็นเพื่อน แต่แค่ไปเฝ้านาง กลัวนางหนีไป” พี่สาวอีกคนพูดไปหัวเราะไป
”นางจะหนีหรือ กลัวว่าจะอยู่บ้านเราไม่ไปไหนล่ะไม่ว่า…”
เหล่าพี่สาวและน้องสาวทั้งหลายหัวเราะดังลั่น ทันใดนั้นบทสนทนาก็ถูกขัดจังหวะ
“เงียบ เงียบ ไม่ต้องพูดแล้ว แม่นางเฉินมาแล้ว” คนหนึ่งพูดขึ้นมา
ทั้งบ้านหยุดเดิน แล้วมองไปทางสาวใช้ที่เดินนำหญิงสาวร่างอรชรเดินเข้ามา
เมื่อเหล่าพี่น้องหยุดเดิน ท่านชายโจวหกที่เดินอยู่ด้านหน้าก็หันกลับมามอง
แม่นางเฉินเดินตามสาวใช้ไป เมื่อหญิงสาวทางนี้ไม่ได้ทักทายอะไร ทางฝั่งนางก็ไม่เข้ามาทักทายเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายทำเป็นไม่เห็นกันและกัน
หญิงสาวตระกูลบัณฑิตกับหญิงสาวตระกูลทหารแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน เหล่าหญิงสาวบ้านตระกูลโจวก็ไม่อยากไปทำความรู้จักอะไรนัก
“ก็ไม่รู้ว่าแม่นางเฉินน้อยจะพูดคุยอะไรกับนาง” พี่น้องคนหนึ่งเอ่ยเยาะเย้ย
“บางที อาจจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยก็ได้” อีกคนพูดขึ้นแล้วหัวเราะออกมา
เมื่อแม่นางเฉินสิบแปดมาถึงประตูเรือน สาวใช้ก็รายงานให้ทราบแล้วก็ขอตัวออกไป นางไม่ต้องการให้คนมาต้อนรับ จากนั้นจึงขึ้นบันไดมาด้วยตนเอง นางเดินเข้าไปยังห้องข้างประตู สาวใช้ทั้งสองรีบเอื้อมมือเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องตกแต่งเป็นห้องหนังสือแบบเรียบง่าย มีตะเกียงให้แสงสว่างอยู่สองดวง เหมือนจะช่วยปัดเป่าความเหน็บหนาวของฤดูใบไม้ผลิไปได้บ้าง
ภายในห้องว่างมีโต๊ะยาวอยู่สองตัว บนโต๊ะมีกระดาษและแท่นหมึกวางอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดวางอยู่เลย
แม่นางเฉินสิบแปดถอดเสื้อคลุมและรองเท้าเดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะทางซ้ายมือของตน จากนั้นจึงนำกระดาษแผ่นหนึ่งวางบนโต๊ะ นางนำหินทับกระดาษมาวางทับไว้ให้มั่นแล้วค่อยๆ ฝนหมึก
หลังจากฝนหมึกเสร็จ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากประตูด้านนอก ประตูถูกเปิดออก เท้าที่ใส่เพียงถุงเท้ายาวถูกยื่นเข้ามาก่อนจะก้าวเดินเข้ามา
มิได้มีการพูดคุยทักทายกัน มีเพียงการพยักหน้าเพื่อทักทายกันอย่างเรียบง่าย เฉิงเจียวเหนียงเดินมานั่งที่โต๊ะอีกฟากหนึ่ง รอนางฝนหมึกเสร็จก็ยกพู่กันขึ้นมา แม่นางเฉินสิบแปดก็เขียนอักษรเสร็จไปแผ่นหนึ่งแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงยกพู่กันขึ้น ขณะที่แม่นางเฉินสิบแปดวางพู่กันในมือลง หันหน้ากลับมามองสิ่งที่นางกระทำอย่างตั้งใจ นางยกพู่กันและสะบัดปลายพู่กัน
หลังจากเขียนอักษรไปได้ห้าตัว เฉิงเจียวเหนียงก็ส่งกระดาษไปให้แม่นางเฉินสิบแปดดู แม่นางเฉินสิบแปดรับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงทำการคัดลอก
เฉิงเจียวเหนียงฝึกเขียนอักษร หลังจากนั้นหันไปมองแม่นางเฉินสิบแปด
“แขนยกสูงเกินไป”
บางครั้งนางก็พูดอีกประโยคสองประโยค เพื่อแนะนำการขยับทิศทางพู่กันของแม่นางเฉินสิบแปด
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สาวใช้นำน้ำและชาเข้ามา นั่นหมายความว่าการฝึกเขียนอักษรของวันนี้จบลงแล้ว
แม่นางเฉินสิบแปดจิบน้ำชาแล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านข้าง
“แม่นางไม่ชอบดื่มชาหรือ” นางอดถามไม่ได้
จากที่รู้จักกันมา ทุกครั้งที่พบกัน เคยเห็นแต่แม่นางดื่มน้ำ ไม่เคยเห็นดื่มชาเลย
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบแล้ววางแก้วน้ำลง “ชาของที่นี้ ไม่ถูกปากข้า”
แม่นางเฉินสิบแปดสงสัยเล็กน้อย ก้มศีรษะมองถ้วยชาของตน
ตระกูลโจวถือเป็นตระกูลมีฐานะ ชาที่ซื้อมาก็เป็นชาชื่อดัง ราคาแพง โดยคัดสรรจากนักบวชวัด
ผู่ซิว ตระกูลร่ำรวยในเมืองหลวงจะใช้น้ำแร่จากภูเขาลั่วเหมยนอกเมือง แล้วเติมเกลือและเนื้อจันทน์เทศน์เข้าไป ถึงแม้ฝีมือการชงชาของสาวใช้จะทำดูธรรมดา แต่รสชาติก็ได้มาตรฐาน
ไม่ถูกปากหรือ
หรือนี่จะเป็นความแตกต่างของทางเหนือและทางใต้
“บ้านข้ายังมีใบชาที่มาจากเมืองทางตอนใต้ ทั้งจากเมืองฝูโจวและหังโจว ข้าจะให้คนส่งมาให้ท่านนะ” นางเอ่ย
“ขอบคุณแม่นางเฉินมากเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มเอ่ย “นายหญิงของข้าอยู่เรือนไม่ชอบดื่มชา นางไม่ชอบชาของปัจจุบัน”
ไม่ชอบชาของปัจจุบันหรือ แล้วชอบชาของอดีต หรือของอนาคต
แม่นางเฉินสิบแปดฟังแล้วงุนงงเล็กน้อย นำถ้วยชาที่ดื่มเสร็จแล้ววางลงแล้วลุกขึ้นเอ่ยลา ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของเฉิงเจียวเหนียง
เมื่อได้ยินสาวใช้แจ้งว่าสาวใช้ของเฉิงเจียวเหนียงต้องการรถม้าจะออกไปด้านนอก ฮูหยินโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา
“ออกไปข้างนอกทุกวันเช่นนี้ เป็นหญิงสาวที่ทำตัวน่าไม่อายสิ้นดี” นางเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาระงับอารมณ์โกรธ เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้ คอของนางก็เริ่มปวดเหมือนโดนกดทับจนต้องไอออกมา “หากนางชอบออกไปข้างนอก ก็ส่งนางออกไปอยู่เรือนด้านนอก มิเช่นนั้นใครๆ ก็ยกคนตาย คนป่วยมาบ้านเรา จะนำความหายนะเข้ามาสู่เรือนได้”
พูดถึงตรงนี้ นางก็นั่งยืดตัวขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“บ้านตระกูลเฉินมิใช่ยกเรือนให้นางหนึ่งหลังแล้วหรือ” นางเอ่ย
นายใหญ่โจวเลิกคิ้วขึ้นและวางถ้วยชาลง
“ตอนแรกนางจะไปอยู่ที่นั้น พวกเราไม่ให้นางไป ตอนนี้จะไล่นางไปอย่างไรเล่า” เขาเอ่ย “นางอยากไปไหนก็ให้นางไป มันจะเป็นไรไป”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ชาวบ้านไม่สนหรอกว่านางเป็นใคร เขาจะคิดว่าบ้านเราเลี้ยงนางไม่ดี อาจจะทำให้ลูกสาวบ้านเราเดือดร้อนได้” ฮูหยินโจวเอ่ยอย่างจริงจัง “ลูกสาวพวกเรายังต้องออกเรือนนะ”
“แต่หากไล่นางออกไปคงจะดูไม่งาม” นายใหญ่โจวเอ่ย
“ดูไม่งามอย่างไร พวกเรามิได้ไม่ดูแลนาง ก็ส่งบ่าวทั้งชายและหญิงไปอยู่กับนางสิบเจ็ดสิบแปดคน และมิได้อยู่ไกลกันมาก จะไปมาหาสู่กันก็ไปได้ง่าย” ฮูหยินโจวเอ่ย “เรือนนั้นทำเลดี ทิวทัศน์งดงาม ไปไหนก็สะดวกสบาย อยู่อย่างอิสระ ไม่วุ่นวายด้วย…”
“ช้าก่อน” นายใหญ่โจวตัดบทสนทนาแล้วเอ่ยถาม “จะให้นางย้ายไป หรือให้พวกเราย้ายไปกันแน่”
ฮูหยินโจวจ้องเขม็งไปทางนายใหญ่โจว
“พวกเราเลี้ยงนางตลอดชีวิต ของนางก็เป็นของเรามิใช่หรือ” นางเอ่ยอย่างโมโห
“ข้ารู้แล้ว ให้ข้าคิดดูก่อน” นายใหญ่โจวตอบ
“คราวนี้พวกนางจะไปไหนหรือ” ฮูหยินโจวไม่ถามต่อแล้วหันไปหาสาวใช้แทน “ชายหกไม่ได้ตามไปใช่ไหม”
“มีเพียงสาวใช้ออกไปด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
“เป็นแค่สาวบ้านนอก วิ่งแจ้นไปทั่วเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนได้ ระวังจะโดนคนจับตัวไป” ฮูหยินโจวเอ่ยด้วยเสียงไม่พอใจ
โดนจับตัวไปคงจะดีที่สุด นี่คือสิ่งที่นางคิดในใจ นังเด็กคนนี้น่ารำคาญเสียจริง
สาวใช้ให้คนรถจอดรถม้าไว้ด้านนอกวัดผู่ซิว ส่วนตนเองก็เดินเข้าประตูวัดไปโดยเดินฝ่าฝูงชนออกมาทางด้านประตูหลัง นางเดินเหมือนคนคุ้นเคยเส้นทางก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง
นางสูดหายใจเข้าลึก แล้วเคาะประตู
ประตูถูกเปิดออก ผู้เฒ่าคนหนึ่งยื่นศีรษะออกมาพลางหรี่ตามอง แล้วเอ่ยคำพูดที่เอ่ยอย่างเคยตัวออกมา
“นามบัตรของท่าน ให้ข้ารับไว้แทนเถิด เจ้านายของข้าวันนี้ไม่รับแขกแล้ว ขอให้ท่านมาวันอื่นแทนเถิด”
เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ยังไม่ทันพูดจบ ลิ้นก็แข็ง นัยน์ตาเบิกโพลง “ซู่ซิน!”
“ท่านลุงเหล่าไฉ” สาวใช้ตะโกนเสียงใส
บ่าวเฝ้าประตูเปิดประตูออกมา มองนางอย่างละเอียดด้วยสีหน้าตื่นเต้น
สาวใช้ก็เหมือนเป็นเพียงสิ่งของ ถูกย้ายส่งไปให้ใครเป็นเรื่องที่พบได้ปกติทั่วไป แต่เมื่ออยู่ร่วมกันย่อมเกิดความผูกพัน เจ้านายตัดสินใจจะย้ายไปไหนก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน บางคราสาวใช้ตัดพ้ออย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าซู่ซินถูกส่งไปบ้านไหน เป็นอยู่อย่างไร ถูกส่งไปที่แห่งใด ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตจะได้เจอกันอีกหรือไม่
คิดไม่ถึงว่านางจะมาปรากฏตัวตรงหน้า
“ซู่ซิน เจ้า เจ้าหลบหนีออกมาหรือ” บ่าวเฝ้าประตูเมื่อนึกขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พูดไปพลางมองไปด้านหลังของซู่ซินไปพลาง
ไม่เห็นมีรถม้าตามมาด้วย มาเพียงตัวคนเดียว นี่มัน……
“ท่านลุงเหล่าไฉ ท่านคิดอะไรอยู่ ข้ามาอยู่เมืองหลวงสักพักแล้ว วันนี้เจ้านายให้ข้ามาดูว่านายใหญ่กลับมาแล้วหรือไม่” สาวใช้ยิ้มเอ่ย
ข่าวถูกแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงก้าวเท้าเข้ามาไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงหญิงสาวลอยมา
“ซู่ซิน! ”
สาวใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น นางเอ่ยร้องน้ำตาคลอ
“นายหญิงมาแล้ว! ” นางตะโกน “นายหญิงมาแล้วใช่หรือไม่”
……………………………………………………….