พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 150 ไม่รู้จะทำอย่างไร
พอตะวันลับขอบฟ้า ไฟจากเรือนไท่ผิงถูกจุดขึ้น แต่ไม่มีแขกอยู่ในห้องโถงแล้ว
ชายหนุ่มสองคนพิงอยู่บนโต๊ะต้อนรับ จ้องมองไปที่โคมไฟที่แกว่งไปมาอย่างเหม่อลอย ถนนหลักที่อยู่ไม่ไกลนัก มีรถม้าวิ่งผ่านไปมาเป็นครั้งคราว
“น่าจะไม่มีแขกมาแล้ว” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยืนยืดตัวหลังตรง “ปิดประตูเถอะ”
“เปิดไปก่อน เผื่อมีคนมากินมื้อดึก” อีกคนเอ่ย
“นี่เป็นถนนหลักที่มุ่งตรงสู่เมืองหลวง อยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากตัวเมือง แต่ประตูเมืองปิดแล้ว ดึกดื่นเช่นนี้ คงไม่มีคนมาแล้ว” ชายก่อนหน้านี้เอ่ย
ทั้งสองคนถกเถียงกันก่อนจะมีใครบางคนเดินเข้ามาจากด้านหลัง
“พี่สาม” พวกเขาเรียกอย่างรีบร้อน
สวีเม่าซิวพยักหน้า
“ปิดประตูเถอะ” เขาเอ่ย
ชายทั้งสองรับคำ ลุกขึ้นดับไฟและปิดประตู
สวีเม่าซิวหันหลังเข้าไปในห้องปีกข้าง ภายในมีคนสามคน หลี่ต้าเสาและชายชรายืนทักทาย
สวีเม่าซิวนั่งลงและดูสมุดบัญชีที่วางอยู่ตรงหน้าฟ่านเจียงหลิน
“มีรายจ่ายทุกวันเลยหรือ” เขายิ้มเอ่ย “ไม่จำเป็นกระมัง”
ก่อนที่ฟ่านเจียงหลินจะพูด หลี่ต้าเสาก็เอ่ยปากพูดอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย
“ใช่แล้วเถ้าแก่ เพราะเพิ่งเปิดร้าน ขายได้ไม่ค่อยดีนัก” เขาบ่นพึมพำ
“ความนิยมต้องค่อยๆ สั่งสม หอจุ้ยเฟิ่งดูแลร้านไว้หลายปี ถึงจะเป็นที่นิยม” ชายชราเอ่ย
นี่คือผู้ดูแลร้านคนเก่าที่หลี่ต้าเสาแนะนำมา
“ผู้ดูแลอู๋” หลี่ต้าเสารีบกระซิบพลางขยิบตาให้กับผู้ดูแลร้าน “ฟังสิ่งที่เถ้าแก่พูดก่อน”
อย่าไปพูดถึงหอจุ้ยเฟิ่งบ่อยนักเลย
นับเป็นเรื่องดีที่มีคนชรามากประสบการณ์มาอยู่ด้วย แต่สิ่งที่ไม่ดีคือพวกเขามักพูดถึงแต่เรื่องในอดีตและชอบเปรียบเทียบกับเจ้าของร้านคนก่อนอยู่เสมอ
สวีเม่าซิวยิ้มและพยักหน้า
“ผู้ดูแลอู๋พูดถูกแล้ว” เขาเอ่ย “ความนิยมต้องใช้เวลาค่อยๆ สั่งสม”
ผู้ดูแลอู๋หัวเราะ
“เถ้าแก่เข้าใจว่าในตอนแรกนั้น… ” เขาเอ่ย แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลี่ต้าเสาที่ทนไม่ไหวจึงยื่นมือออกไปขัดจังหวะ ชื่อเรียกของร้านเก่าอย่างหอจุ้ยเฟิ่งจึงถูกกลืนกลับไป
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นการออกท่าทางของพวกเขาทั้งสองและฟังด้วยรอยยิ้ม
“…ต้าหลางทำอาหารมาหลายปีและอาหารก็อร่อยดี แต่เนื่องด้วยชื่อเสียงของเรือนนางฟ้าโด่งดังมาก จึงทำให้ความนิยมของที่นี่หายไปด้วย ดังนั้น คงต้องค่อยๆ สร้างมันขึ้นมา” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยต่อ .
สวีเม่าซิวพยักหน้า
“ดึกมากแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถอะ ลำบากมาทั้งวันแล้ว” เขายิ้มเอ่ย
หลี่ต้าเสาและผู้ดูแลอู๋ต่างออกจากห้องไป
“พวกเขากังวลมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ กลัวว่าร้านนี้จะเปิดต่อไปไม่ไหว” ฟ่านเจียงหลินยิ้มเอ่ย
“ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะเป็นกังวล” สวีเม่าซิวมองไปที่บัญชีแล้วยิ้มเอ่ย “ดูจากตัวเลขแล้ว คงเปิดต่อไปไม่ไหวจริงๆ ด้วย”
“เพราะเรื่องความนิยมเป็นหลักนั่นแหละ” ฟ่านเจียงหลินเอ่ย “ต้องดึงความนิยมมาให้ได้ พวกเราช่วยน้องสาวไม่ได้เลย คงต้องทำให้นางผิดหวังแล้วที่มอบร้านให้พวกเราดูแล” สวีเม่าซิวเงียบไปชั่วครู่แล้วยิ้มเอ่ย
“พี่ใหญ่ จริงๆ แล้ว น้องสาวไม่ได้อยากให้พวกเราช่วยอะไรนางหรอก” เขาเอ่ย “นี่นางช่วยเหลือพวกเรา หรือตอบแทนพวกเรากันแน่”
“ข้ารู้ตัวเองดี พวกเราที่ทำได้เพียงสู้รบ จะช่วยอะไรนางได้” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยและยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ใช่สิ เพราะแม้แต่สู้รบยังไม่เป็นเลย”
“สิ่งที่เราช่วยนางได้คือเฝ้าร้านอย่างใจเย็น” สวีเม่าซิวเอ่ย “นางเคยพูดแล้ว ให้ทำในสิ่งที่ควรทำ ก็ให้ทำหน้าที่เถ้าแก่ให้เรียบร้อยไป ไม่ต้องกังวลให้มากเรื่องมากความ จะสร้างความเดือดร้อนให้นางเปล่าๆ ”
ฟ่านเจียงหลินหัวเราะ
“ใช่ ถูกต้อง พวกเราก็เฝ้าร้านนี้ให้แก่น้องสาว วันนี้ยังไม่เป็นที่นิยม หากวันหน้ามีชื่อเสียงแล้ว เกิดปัญหาขึ้น เรายิ่งต้องรักษาร้านนี้ไว้ให้ได้” เขาหัวเราะเอ่ย
แต่ทว่าไม่รู้ว่าจะมีวันที่มีคนมาริษยาตาร้อนหรือไม่ และหากวันนั้นมาถึง พวกเขายังคงเดินเหินกันสะดวกกันอยู่หรือเปล่า
เมื่อท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น บ่าวของตระกูลโจวต่างยุ่งอยู่กับงานของตน
ภายในห้องของเรือนซักล้าง ปั้นฉินเป็นคนแรกที่ตื่นนอนและเป็นคนสุดท้ายที่ออกไปข้างนอกเช่นกัน
ก่อนอื่นนางต้องปิดเตาถ่านในบ้านก่อน จากนั้นจัดวางหวีและกระจกของสาวใช้คนอื่นๆ ให้เป็นระเบียบ ทิ้งขยะและทำความสะอาดห้องอย่างละเอียด แล้วจึงมากินอาหารในเวลานี้ที่คนอื่นๆ กินเสร็จกันหมดแล้วและแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ถังไม้สำหรับใส่ข้าวยังอยู่ที่เดิม และอีกด้านหนึ่งมีชามกับตะเกียบวางไว้อย่างกระจัดกระจาย
นางหยิบชามและตะเกียบที่สะอาดขึ้นมาตักอาหารเหลือจากถังไม้มากินอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเก็บชามและตะเกียบในกองนั้นส่งไปยังห้องครัว
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางคุ้นชินและทำเป็นประจำทุกวัน ยกตะกร้าจานชามและตะเกียบ แต่ร่างเล็กของนางกลับมิได้รู้สึกถึงความลำบากเลย นางทำสิ่งเหล่านี้เสร็จภายในเวลาไปกลับสองรอบเท่านั้น จากนั้นจึงค่อยทำหน้าที่ของตนต่อ
แต่ทว่าวันนี้พอเดินออกจากประตู ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกชื่อนาง
“ปั้นฉิน! ”
ปั้นฉินรีบวางตะกร้าในมือลงกับพื้นเพื่อไม่ให้จานชามแตก เพราะเงินเดือนของนางไม่เพียงพอที่จะชดเชยของใช้เหล่านั้นได้ นางรีบขานตอบแล้วเดินตามไป
“พี่สาวมีอะไรหรือ” นางพูดพลางมองไปที่สาวใช้ทั้งสองซึ่งยืนอยู่ข้างสระซักผ้า
สาวใช้คนหนึ่งหันหน้ามามองนางด้วยความโกรธ
“เสื้อผ้าเมื่อวานเจ้าเป็นคนแช่ใช่ไหม” นางเอ่ยถาม
ปั้นฉินพยักหน้า เพราะงานส่วนใหญ่ของห้องซักล้างนางเป็นคนทำทั้งสิ้น
“ดูสิ่งที่เจ้าทำ! ” สาวใช้อีกคนตะโกนลั่น พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาจากสระซักผ้า
ปั้นฉินก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ท่ามกลางแสงยามเช้า กระโปรงก็เปียกโชกด้วยรอยเปื้อนสีหลากสีสัน
ดวงตาของปั้นฉินเบิกกว้างทันที
“นี่ นี่มันอะไรกัน” นางพูดพลางก้าวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจน้ำอันเย็นเฉียบ จากนั้นจึงหยิบกระโปรงอีกตัวขึ้นมา
เดิมทีกระโปรงนี้มีสีเรียบ แต่บัดนี้ถูกกัดย้อมจนมีสีสันฉูดฉาด
“นี่คือกระโปรงตัวโปรดของฮูหยิน ต้องแยกซักทั้งหมด นังชั้นต่ำเจ้ามาซักชุดเหล่านี้ได้อย่างไร” สาวใช้คนแรกตะโกนพร้อมกับตบหน้านาง
ปั้นฉินถูกตบจนร่วงลงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ชุดเปียกชุ่มที่นางกำไว้ปกคลุมร่างกาย ทำให้เนื้อตัวเปียกโชกทันที
“ใครก็ได้มานี่ที่ ใครก็ได้มานี่ที เกิดเรื่องแล้ว”
เสียงตะโกนของสาวใช้ดังก้องกังวาลอยู่ในหูและเสียงฝีเท้าโกลาหลดังขึ้น
ปั้นฉินนั่งลงกับพื้นและมองดูชุดในมือไปมา สีสันหลากสีปรากฏสู่สายตา แต่ตอนนี้นางมองไม่เห็นและฟังไม่ได้ยินแล้ว
เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร
คนมากมายยืนอยู่ที่ลานซักล้าง พากันกระซิบแล้วชี้ไปที่ห้องนั้น
แม่นมคนหนึ่งทิ้งชุดในมือลงกับพื้นและมองไปที่ปั้นฉินที่คุกเข่าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“เกิดอะไรขึ้น” นางเอ่ยถาม
แม่นมคนหนึ่งรีบยืนออกมาข้างหน้า
“แม่นมเจียง นี่เป็นความผิดของห้องซักล้างของเรา” นางพูดอย่างไม่สบายใจ
“ไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้า จะให้เป็นความผิดของพวกข้าหรือ” แม่นมเจียงตะโกนอย่างเย็นชา
แม่นมทั้งสองฝั่งต่างนิ่งเงียบ ไม่กล้าเอ่ยปากพูด
“เรื่องนี้ปิดฮูหยินไว้ไม่อยู่หรอก เจ้าจะพูดแก้ตัวอย่างไร คิดไว้ให้ดีแล้วกัน” แม่นมเจียงเอ่ยเสียงเรียบแล้วก้าวเท้าเดินจากไป
คนอื่นๆ ในห้องรีบตามออกไปส่งอย่างวุ่นวาย แม่นมสองคนจับปั้นฉินไว้แล้วลากตัวตามออกไป
ผู้คนระหว่างต่างอยากรู้อยากเห็น ปั้นฉินไม่ได้ยินบทสนทนาใดๆ นางเดินโซเซตามไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
จะให้พูดอย่างไร จะให้พูดอย่างไร
ข้าทำผิด ข้าควรพูดอย่างไร
“เจ้าผิดแล้ว ตอนนั้นเจ้าไม่ควร ไม่ควรพูดมากเช่นนั้น”
“แล้วข้าควรพูดอย่างไรเจ้าคะ”
“พูดไปว่าไม่ได้เป็นคนคิดเอง ให้พวกนางมาหาข้า”
“เหตุใดถึงโยนความผิดไปที่นายหญิงเล่าเจ้าคะ”
“เพราะข้าเป็นนายหญิงของเจ้า”
ครั้งที่แล้วนางกล่าวหาว่าทำผิดจนอะไรไม่ถูก แต่นางได้คำชี้แนะจากนายหญิง
ครั้งนี้นางถูกกล่าวหาและจำสิ่งที่นายหญิงเคยสั่งสอนได้ แต่บัดนี้นางไม่มีนายหญิงให้พึ่งพาแล้ว
…………………………………………………….