พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 156 เริ่มใหม่
สาวใช้ดึงม่านลง มองดูปั้นฉินนั่งนิ่งอยู่กลางห้องโถง
น้ำตาของสาวใช้หยุดไหลแล้ว แต่สติยังคงเลือนราง แววตาประหม่า เมื่อเห็นสาวใช้อีกนางหนึ่งก็รีบคำนับในทันที
“นายหญิงหลับแล้ว” นางรีบคำนับกลับพลางนั่งคุกเข่าลงก่อนจะจ้องมองนาง “นายหญิงติดนิสัยชอบงีบหลับ”
ปั้นฉินก้มหน้า
“ใช่ ใช่” นางเอ่ยพึมพำ “ข้ารู้ดี…”
พูดออกมาเพียงแค่สามคำ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“เจ้า…เจ้าจะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรือไม่” สาวใช้เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาพลางสังเกตอาการนาง
ปั้นฉินมองเนื้อตัวของตนเอง แม้ก่อนแขวนคอจะเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้ว แต่เพราะล้มลุกคุกคลานจึงทำให้เสื้อผ้ายับยู่ยี่ นางก้มหน้าเหลือบตามองสาวใช้ที่แต่งตัวสะอาดสะอ้านด้วยหางตา ไม่ใช่เพียงแค่การแต่งตัว
แต่กิริยามารยาทและการพูดจานั้นช่างดูสง่างาม
ปั้นฉินก้มหน้า รู้สึกสมเพชตัวเองยิ่งกว่าเดิม
“ชะ…เช่นนั้นก็ขอบใจพี่สาวมาก” นางพูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
“เจ้ากับข้าน่าจะตัวเท่าๆ กัน” สาวใช้มองออกว่านางกำลังตื่นกลัว จึงรีบหลบสายตาพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่ต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าหรอก หากเจ้าไม่รังเกียจจะใส่ของข้าก่อนก็ได้”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าจะกล้ารังเกียจพี่สาวได้อย่างไร พี่ต่างหากที่จะรังเกียจข้า” ปั้นฉินก้มหน้าเอ่ยพึมพำ
“เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” นางหัวเราะพลางลูบต้นแขนปั้นฉินแล้วลุกขึ้น “ข้าจะให้คนไปต้มน้ำ
เจ้ารอเดี๋ยวก็แล้วกัน”
ปั้นฉินขานรับ มองสาวใช้เดินออกไปก่อนจะนึกขึ้นได้จึงรีบเอ่ยขอบคุณ
แม้จะบอกว่าหญิงผู้นี้เป็นสาวใช้ แต่แค่มองดูก็รู้ว่ามิใช่เป็นบ่าวไพร่โดยกำเนิด อย่างน้อยก็คงไม่ค่อยได้พบเจอความลำบาก สาวใช้เผยยิ้มบางหมายให้นางคลายกังวล
“คอยฟังนายหญิงนะ” นางยิ้มพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อีกไม่นานก็คงตื่นแล้ว”
ปั้นฉินขานรับในทันที
สาวใช้มองดูปั้นฉินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เดินออกมาแล้วเอ่ยชม
“พอดีจริงๆ ด้วย” นางเอ่ยยิ้มพลางเดินเข้าไปจัดแจงเสื้อผ้า สาวใช้มองเห็นรอยเชือกบนลำคอ จึงแสร้งทำเป็นดึงคอเสื้อมาปิดไว้เหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“นั่งลงสิ ข้าจะเช็ดผมให้” สาวใช้ยิ้มเอ่ยแล้วกดนางให้นั่งลง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาซับให้
ตอนแรกปั้นฉินกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน สุดท้ายจึงนั่งลงแต่โดยดี ตนเองก็เช็ดไปพลาง
ส่วนสาวใช้ก็หาเรื่องชวนคุยไปพลาง จิตใจของนางจึงเริ่มสงบลง
“พี่สาว แต่ก่อนท่านอยู่เรือนผู้ใดหรือ” ปั้นฉินถามด้วยความสงสัย
ใช่ว่านางอยากจะถาม เพียงแต่อยากจะพูดอะไรสักอย่างก็เท่านั้น
“ข้าหรือ” สาวใช้หัวเราะ “ข้าอยู่ที่บ้านนายใหญ่”
นายใหญ่อย่างนั้นหรือ
ปั้นฉินกำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเสียงของเฉิงเจียวเหนียงลอยออกมาจากในห้อง
“ปั้นฉิน” นางเรียก
สองเสียงขานรับจากในห้อง
สาวใช้มองปั้นฉิน ปั้นฉินก้มหน้าในทันที
“นายหญิงตื่นแล้ว ข้าขอตัวไปดูก่อน” สาวใช้เม้มปากยิ้ม บีบนวดหัวไหล่ของปั้นฉินก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
ปั้นฉินเหม่อมองม่านขยับไหวแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
ภายในห้อง เฉิงเจียวเหนียงดื่มน้ำจนหมด สาวใช้ยื่นมือออกไปรับแก้ว
“ข้าทำข้าวต้มเผือก นายหญิงอยากกินไหมเจ้าคะ” นางถาม
“ใส่รากบัวไหม” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้น
สาวใช้พยักหน้ารับ
“เช่นนั้นก็เอามาสักนิด” เฉิงเจียวเหนียงก็พยักหน้าพลางเอ่ยเช่นกัน
สาวใช้ขานรับแล้วเดินออกไป
ภายในห้องจึงเหลือเพียงเฉิงเจียวเหนียงและปั้นฉิน
ปั้นฉินเอาแต่ก้มหน้า พอได้ยินว่าสาวใช้ออกไปแล้ว ร่างทั้งร่างของนางก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“เจ้าก็รู้ ว่าแต่ก่อนข้าพูดไม่ถนัด แต่ตอนนี้ ข้าไม่ชอบพูด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ข้ารู้เจ้าค่ะ” ปั้นฉินตอบเสียงแหบพร่า พออ้าปากพูดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าร้องไห้จึงพยายามอดกลั้นไว้ นางกัดปากจนเลือดไหลซิบอีกครั้ง น้ำตาร่วงรินออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ รีบร้อนเช็ดน้ำตากลั้นเสียงสะอื้น
เฉิงเจียวเหนียงจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้า อยากกลับมาหรือ” นางถาม
แม้แต่คนหน้าด้านหน้าทนก็คงไม่กล้าตอบว่าอยาก แต่ทว่า…
ปั้นฉินก้มหมอบลงกับพื้น
นางเคยทำตามใจตัวเองและพลาดพลั้งเพราะความโง่เขลาของตนแล้วครั้งหนึ่ง แล้วเหตุใดถึงจะทำตามใจตนอีกครั้ง ละทิ้งหน้าตาของตัวเอง และทำในสิ่งที่อยากทำอีกสักครั้งไม่ได้
“ข้าอยากกลับเจ้าค่ะ” นางร้องไห้ ก้มหัวโขกกับพื้น
“เช่นนั้นก็กลับมาเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ปั้นฉินเงยหน้าขึ้นมา นางแทบไม่เชื่อหูตัวเอง น้ำตาทำให้ดวงตาของนางพร่ามัว มองไม่เห็นสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
“แต่ข้าไม่ต้องการคนติดตามมากขนาดนั้น” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อ
ปั้นฉินกัดปากไม่กล้าพูด
นางพูดสิ่งที่นางอยากพูดไปแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร นางก็ยอมรับทั้งนั้น
“ไปอยู่ที่เรือนของข้าก็แล้วกัน” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้น
เรือนอย่างนั้นหรือ ปั้นฉินตามไม่ทันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเจียวเหนียง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จินเกอร์ตกใจไม่น้อยเมื่อเปิดประตูออก
“พี่ปั้นฉิน พี่มาอีกแล้วหรือ” เขาร้องตะโกนดีใจ
สาวใช้ลงจากรถ นางยิ้มพลางยืนถุงผลไม้เชื่อมให้เขา
สาวใช้อีกนางได้ยินจึงเดินออกมาจากในเรือน แต่ยังไม่ทันได้ทักทายก็หันไปเห็นสาวใช้อีกนางหนึ่งลงจากรถมา
“ไม่ต้องให้ข้าแนะนำแล้วกระมัง พวกเจ้าคงรู้จักกันอยู่แล้ว” สาวใช้เอ่ยพลางหัวเราะแล้วชี้ไปทางปั้นฉิน
สาวใช้และจินเกอร์นิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นปั้นฉิน
ปั้นฉินอยู่บ้านตระกูลเฉิงได้ไม่นาน เพราะเมื่อมีสาวใช้มาเพิ่มไม่กี่วัน นางก็ไปเสียแล้ว ความทรงจำ
ช่างเลือนลางนัก แต่จินเกอร์นั้นกลับจำไม่ได้แม้แต่น้อย
“เจ้าคือ ปั้นฉิน” สาวใช้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วโพล่งออกมา
จินเกอร์ได้ยินดังนั้นก็นึกออกในทันที
“อ๋อ เจ้าคือปั้นฉินที่รับใช้นายหญิงตั้งแต่แรกแล้วหนีไปกับคนอื่นนี่เอง!” จินเกอร์ร้องตะโกน
ปั้นฉินหน้าซีดเผือดก่อนจะก้มหน้าในทันที
สาวใช้รีบยกมือขึ้นตีจินเกอร์
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า แม่นางปั้นฉินเป็นคนของตระกูลโจว กลับบ้านตระกูลโจวก็ถูกต้องแล้ว” นางเบิกตาโพรง
จินเกอร์รู้ตัวว่าปากพล่อยพูดจาไม่สมควร
“พี่…พี่สาวข้า ให้ข้ามาขอบคุณเจ้า” จินเกอร์เปลี่ยนเรื่องอย่างคนมีไหวพริบ ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงดังว่า “เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้า พี่สาวเลยให้ข้ามารับใช้นายหญิง”
ปั้นฉินยิ้มเกร็ง
“พี่สาวของเจ้าคือ…” นางเอ่ยถาม
“ชุนหลาน สาวใช้ข้างกายของท่านชายสี่ เจ้าเป็นคนช่วยนายหญิงรักษาท่านชายสี่ไม่ใช่หรือ” จินเกอร์เอ่ย
นางก็รักษาโรคได้หรือนี่ สมแล้วที่เคยเป็นสาวใช้ของนายหญิง สาวใช้ทั้งสองจ้องมองนาง
แต่บัดนี้ปั้นฉินผู้นี้ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง นอกเสียจากอ่านสีหน้าคน นางฝืนยิ้มออกมา
“ไม่ใช่หรอก” นางเอ่ยพลางมองไปที่จินเกอร์ “ข้าไม่ได้รักษาท่านชายสี่หรอก นายหญิงต่างหากที่เป็นคนรักษา ที่ข้าทำก็ล้วนแต่นายหญิงเป็นคนสอนทั้งสิ้น”
จินเกอร์ชะงักไปแต่ก็ทำให้นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง
“นี่คือเรือนที่นายหญิงซื้อไว้” สาวใช้เอ่ยพลางจูงปั้นฉินเข้าไป นางไม่อยากจะเอ่ยชื่อปั้นฉินสักเท่าไหร่
ก็เลยไม่เรียกเสียเลย
“จินเกอร์อยู่คนเดียวที่นี่ก็คงเหงา เจ้ามาอยู่ที่นี่ช่วยเขาปัดกวาดเช็ดถูก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ นางกุมมือของตัวเองไว้แล้วขยับเข้ามาใกล้
“จินเกอร์ยังเด็ก ไม่รู้ประสา เจ้าอดทนเอาหน่อยก็แล้วกัน” สาวใช้เอ่ยพลางยิ้ม
ปั้นฉินพยักหน้าก่อนจะตัดบทนาง
“ข้ารู้ดีจ้ะพี่สาว” นางเอ่ย “หากนายหญิงสั่ง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องดีทั้งนั้น ข้าไม่คิดมากหรอก ความจริงอย่างไรก็คือความจริง หากข้าไม่ยอมรับ ยังกลัวคำพูดของคน เช่นนั้นจะอยู่เป็นสุขได้อย่างไร”
สาวใช้หัวเราะพลางปรบมือของตน
“เห็นไหม หากชื่อว่าปั้นฉินแล้ว ย่อมต้องทำตัวให้กับชื่อ” นางเอ่ยพลางป้องปากหัวเราะ “ข้าชมตัวเองอีกแล้ว เจ้าอย่าถือสาข้าเลย”
ปั้นฉินหัวเราะออกมา แม้จะหัวเราะเจื่อนแต่ความหวาดหวั่นในแววตานั้นจางหายไปแล้วไม่น้อย
นางมองดูสาวใช้ขึ้นรถม้าจากไป
“ข้ากำลังผัดข้าวอยู่ ทำไว้เยอะพอดี น่าจะพอพวกเราสามคนกิน” สาวใช้ยิ้มเอ่ยพลางตะโกนบอกจินเกอร์ “ไปเอาฟืนมาที”
จินเกอร์ขานรับแต่ปั้นฉินกลับเร็วกว่า
“ข้าไปเอง” นางเอ่ยแล้วเดินออกไปยังลานบ้าน
สาวใช้ยิ้มก่อนจะเดินตามไป จินเกอร์เดินรั้งท้ายแล้วหันไปปิดประตู
มีคนมาอยู่ด้วยอีกสองคนก็คึกคักดี แต่ว่า…
“มีปั้นฉินตั้งหลายคน” เด็กหนุ่มขยี้หัว สีหน้าครุ่นคิด “แล้วจะเรียกยังไงล่ะทีนี้”
……………………………………………………..