พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 179 นึกถึง
ปั้นฉินรับห่อผ้าจากสาวใช้นางหนึ่งแล้วรีบกล่าวขอบคุณ
“เพราะมีงานเลี้ยงน้ำชาฌานวันที่ยี่สิบ ญาติบางกลุ่มก็เดินทางมาถึงเรือนแล้ว แม่นางสิบแปดต้องดูแลแขก ในช่วงสองสามวันนี้จึงออกมาข้างนอกไม่สะดวกนัก ก็เลยตั้งใจมาบอกกล่าวแม่นางก่อน” สาวใช้พูด
“ฮูหยินทราบว่าแม่นางจะไปร่วมงานด้วย ที่บ้านกำลังสั่งตัดชุดใหม่ให้แม่นางทั้งหลายพอดี ก็เลยสั่งตัดเผื่อแม่นางด้วยเช่นกัน”
“ขอบคุณฮูหยินที่นึกถึง” ปั้นฉินขอบคุณอีกครั้ง
“พี่สาวรีบเข้าไปก่อนเถอะ ข้าก็จะขอตัวกลับก่อน พอถึงวันนั้นจะให้รถม้ามารับแม่นาง” สาวใช้เอ่ย
หญิงสาวทั้งสองกล่าวลากัน เมื่อเห็นรถม้าเคลื่อนออกไป ปั้นฉินถึงได้หันหลังเดินเข้าบ้าน
“ผู้ใดมาหรือ” สวีเม่าซิวถามขณะยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน
ปั้นฉินเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง สวีเม่าซิวพยักหน้า
ประตูบ้านถูกเคาะอีกครั้ง
“ลืมอะไรไปหรือ” ปั้นฉินเอ่ยพลางเดินไปเปิดประตูอีกครั้ง แต่ก็ต้องตกตะลึง
ชายแปลกคนหนึ่งหน้ายืนอยู่นอกประตู เมื่อเขาเห็นปั้นฉินจึงยิ้มแล้วก้าวเดินเข้ามา
“ไม่ได้มานานแล้ว บ้านหลังนี้ช่างหายากเสียจริง ข้าเกือบลืมไปแล้ว” เขาเอ่ย
ปั้นฉินตกใจมากจนรีบงับประตูปิด
“มาหาผู้ใดหรือ” นางถาม
สวีเม่าซิวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง
ชายผู้นั้นดูเหมือนจะตกใจเช่นกัน
“ที่นี่มิใช่บ้านตระกูลเฉินหรอกหรือ” เขาเอ่ยถามพลางถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ป้ายประตู
ป้ายประตูว่างเปล่า ไม่มีตัวอักษรใด
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านตระกูลเฉิน” ปั้นฉินเอ่นอย่างรีบร้อน “ที่นี่คือบ้านตระกูลเฉิง”
ชายผู้นั้นร้อง ‘อ๋อ’ ด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนจะมองเข้าไปด้านในอีกครั้ง
สวีเม่าซิวได้เดินมาถึงแล้ว
“มีอะไรหรือ” เขาถาม
ปั้นฉินรีบหันหลังกลับไป
“ท่านชายเจ้าคะ มีคนมาหาตระกูลเฉินเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
เมื่อเห็นสวีเม่าซิว ชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกประตูก็จำต้องถอยหลังออกไปอีกสองสามก้าว
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านตระกูลเฉิน แต่เป็นบ้านตระกูลเฉิง เจ้ามาผิดที่แล้ว ไปถามที่อื่นเถิด” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางมองไปที่เขา
ชายผู้นั้นมองสวีเม่าซิวหัวจรดเท้าแล้วขานตอบ
“ข้าคงจำผิด” เขาเอ่ยขอโทษก่อนจะรีบคำนับในทันใด
สวีเม่าซิวพยักหน้า ชายผู้นั้นจึงเดินจากไป เขาเหลียวซ้ายแลขวา ปากก็ขยับบ่นพึมพำ ก่อนจะเคาะประตูเรือนที่อยู่ถัดไป
“มาหาคนก็ไม่ถามให้ดีเสียก่อน มาเที่ยวถามไปเรื่อยเช่นนี้ได้อย่างไร” ปั้นฉินพูด
สวีเม่าซิวพยักหน้า ทั้งสองละสายตาไปทางอื่นแล้วปิดประตูลง ขณะเดียวกันชายที่มาถามทางก็หันกลับมามองอีกครั้ง แผ่นหลังของเขาที่งุ้มงอเหยียดตรงขึ้น สีท่าทางหวาดกลัวเหมือนคนต่างถิ่นก็เริ่มจางหายไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันหลังแล้วสาวเท้ายาวเดินจากไป
สวีเม่าซิวและปั้นฉินที่อยู่ภายในเรือนไม่ได้ล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
สาวใช้เปิดประตูออกมาจากเรือน
“มีอะไรหรือเจ้าคะ” นางถาม
“ไม่มีอะไร มีคนมาถามหาใครบางคนน่ะ” สวีเม่าซิวพูด
สาวใช้พยักหน้า ด้านหลังของนางมีเฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ในห้องโถงก่อนหน้าแล้ว
“แผนการขั้นแรกของผู้ดูแลร้านคือการแกะสลักเต้าหู้” สวีเม่าซิวพูด
“แกะสลักหรือ” เฉิงเจียวเหนียงพูด “เกรงว่าจะแกะสลักยาก”
สวีเม่าซิวพยักหน้า
“ใช่” เขาเอ่ยพลางหัวเราะขึ้น “ตอนนี้ซุนไฉกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการทำเต้าหู้ทั้งวันทั้งคืน หลี่ต้าเสากับ… แม่นางปั้นฉินก็หามรุ่งหามค่ำลองทำอยู่เช่นกัน”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ทำไม่ง่ายเลย” นางพูด “ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เหลือเวลาเพียงสี่ห้าวัน”
“ฝีมือการใช้มีดของหลี่ต้าเสาไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่เคยแกะสลักของนิ่มเช่นนี้มาก่อน ก็เลยยังไม่ค่อยชิน” สวีเม่าซิวพูด
เฉิงเจียวเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ตอนทำ อย่าลืมแช่น้ำตอนแกะสลัก” นางพูด
แช่น้ำหรือ
สวีเม่าซิวตอบรับแล้วพยักหน้า
“พี่จะจำไว้” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ สวีเม่าซิวรู้ว่านางกำลังใช้ความคิดอยู่ จึงไม่ได้พูดแทรกรบกวน ยามนี้ภายในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงกระบอกไม้ไผ่กระทบกับหินเป็นจังหวะดังเข้ามา
“ปั้นฉิน” เฉิงเจียวเหนียงตะโกนเรียกในทันที “จด”
สาวใช้รีบตอบรับ นางนั่งคุกเข่าหลังเหยียดตรงอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยที่มีทั้งพู่กัน หมึก และกระดาษพร้อมสรรพ
“เคี่ยวน้ำแกงเห็ด” เฉิงเจียวเหนียงพูด “ใส่เห็ดเข็มทอง เห็ดหูหนู หั่นหน่อไม้และเห็ดเป็นเส้น…”
สาวใช้ก้มหน้าจดลงสมุดบันทึก
ณ วังหลวง ไทเฮาจ้องมองคนสามคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่องจำและคัดอักษรเสร็จแล้วหรือยัง” นางถาม “เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว”
องค์ชายใหญ่วางพู่กันลง
“ท่านย่า หลานเขียนเสร็จแล้วพะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ไทเฮาตื่นเต้นดีใจพร้อมรับสั่งให้ข้าหลวงนำมาถวาย นางมองลายมือเป็นระเบียบบนแผ่นกระดาษหัวจรดท้าย
“ชายใหญ่เขียนได้งามนัก” ไทเฮาเอ่ยพลางมองไปที่อีกสองคนแล้วถามขึ้น “แล้วของพวกเจ้าเล่า”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะแล้ววางพู่กันลง
“ท่านย่า หลานก็เขียนเสร็จแล้วเช่นกันพะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ขันทีรีบนำมาให้ ไทเฮากวาดตามอง สีหน้าไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม ลายมือบนกระดาษตวัดไปมา ทั้งยังเขียนเสร็จเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
“เคยเรียนคัมภีร์กงหยางจ้วนมาก่อนแล้วมิใช่หรือ ฝ่าบาทลงโทษให้เจ้าท่องจำถึงสามวัน เหตุใดวันนี้ถึงเขียนได้ไม่ถึงครึ่งบทเล่า” ไทเฮาเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะชอบใจ
“ท่านย่า ท่านอาจารย์กำหนดให้เรียนหนึ่งปี นี่เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งปีเท่านั้น อีกครึ่งปีข้าต้องท่องจำได้อย่างแน่นอน” เขาเอ่ย
องค์ชายใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มเย้ย ชายหนุ่มนั่งหลังเหยียดตรง เบ้ปากด้วยความดูแคลน ปลายคางเชิดสูงขึ้น
“ท่านย่า ท่านย่า ข้าก็เขียนเสร็จแล้วเช่นกันพะย่ะค่ะ” องค์ชายรองงวางพู่กันลง ตะโกนพลางชูกระดาษของตนเองขึ้น ก่อนจะเดินโงนเงนเข้ามาหา
“ชายรองก็เขียนได้ดีทีเดียว” ไทเฮาเอ่ยชมพลางมองไปที่ตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัวบนกระดาษ
“พี่เหว่ยเป็นคนสอนหลานพะย่ะค่ะ” องค์ชายรองเอ่ยพร้อมทรงเขย่าแขนเสื้อของไทเฮา
ไทเฮาทรงเม้มเม้มปากแน่นแล้วถลึงตาใส่จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ยังคงหัวเราะอยู่
“ดูสิ ต้องให้เด็กมาช่วยเจ้าพูด” ไทเฮาตำหนิด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปก็ตั้งใจเรียนหลัง วันๆ เอาแต่เล่นสนุกเช่นนี้ จะทำการใดสำเร็จได้เล่า”
“พะย่ะค่ะไทเฮา” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะตอบกลับ
ไทเฮาส่ายหน้าไปมา
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกเจ้ากลับไปได้” ไทเฮาเอ่ย
หลานทั้งสามรีบคำนับลา
องค์ชายรองจูงมือจิ้นอันจวิ้นอ๋องข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็จูงองค์ชายใหญ่ แล้วเดินออกจากประตูตำหนักไป
“ท่านพี่ พวกเราไปยิงธนูกันเถอะ” เขาเอ่ยเสียงดัง
“ข้ายังต้องอ่านหนังสือต่อ” องค์ชายใหญ่เอ่ย จากนั้นจึงเอื้อมมือออกไปปัดมือขององค์ชายรอง น้ำเสียงของเขาช่างดูห่างเหิน
องค์ชายรองรู้สึกประหม่า
“พวกเราไปกัน พวกเราไปกัน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบพูดขึ้น
“จวิ้นอ๋อง น้องรองยังเด็กนัก ไม่รู้จักขยันหมั่นเพียร เจ้าอย่าทำให้น้องต้องเสียคน” องค์ชายใหญ่เอ่ย
คำพูดนี้ช่างรุนแรงเกินไปนัก สีหน้าของขันทีที่อยู่ในเหตุการณ์เปลี่ยนไปในทันที แต่ทว่าก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่ก้มหน้าแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด
ใบหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงยิ้มแย้ม
“ใช่ ใช่” เขาพูด “ข้าต้องขยันกว่านี้”
“ไปอ่านหนังสือกันเถอะ” องค์ชายใหญ่พูดพลางมองไปที่องค์ชายรอง
องค์ชายรองยู่ปากไม่พอใจแล้วผลักเขาออก
“ข้าไม่ไปกับท่านพี่หรอก” เขาพูดและวิ่งหนีไป
เหล่าขันทีทั้งลุกลี้ลุกลนทั้งตื่นกลัวจึงรีบวิ่งตามไป
องค์ชายใหญ่ถูกหักหน้า แม้จะโมโหแต่ไม่อาจทะเลาะกับเด็กน้อยไม่รู้ความเช่นนั้นได้ เขาหันหน้าไปมองเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ยังคงยิ้มอยู่
“สวะ” เขาพึมพำออกมาก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
ขันทีกุลีกุจอตามไป พริบตาเดียวก็เหลือเพียงจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เมื่อจิ้นอันจวิ้นอ๋องเห็นว่าทั้งสองเดินออกออกไปไกลแล้ว จึงค่อยๆ หันหลังเดินจากไปเช่นกัน
“อย่าได้ถกเถียงกันอีกเลย ตามเจ้าตัวมาถามไถ่จักได้กระจ่าง มือชี้ขึ้นบนกล่าว: ผู้นี้คือหวังจื่อเหว่ย น้องชายอันเป็นที่รักของราชา ชี้มือลงกล่าว: ผู้นี้คือชวนเฟิงซวีเป็นเจ้าเมืองแห่งนี้ ตกลงท่านถูกใครจับมา เชลยศึกกล่าว: ข้าได้พบกับองค์ชาย และถูกโจมตีจนพ่ายแพ้”
เสียงท่องหนังสือทุ้มต่ำดังคู่กับเสียงฝีเท้า
อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนน ขันทีมีอายุร่างท้วมผิวขาวคนหนึ่งหยุดฝีเท้าลง
“จั่วจ้วนอย่างนั้นรึ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางเงยหน้าขึ้น มองเห็นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินจากไป
“มีอะไรหรือขอรับท่านปู่” ขันทีตัวน้อยรีบเอ่ยถาม “จะเลี้ยวซ้าย ไปที่ใดกันหรือขอรับ”
“เลี้ยวซ้ายอะไรของเจ้า ไม่รู้จักอ่านหนังสือ ถึงได้ไม่รู้ความเช่นนี้” ขันทีร่างท้วมจ้องหน้าเอ็ด
ขันทีตัวน้อยที่โดนด่าก็ก้มหน้าอมยิ้ม
“ท่านปู่ หลานมิได้อ่านหนังสือเยอะเช่นท่านที่ได้รับใช้ฝ่าบาทหรอกขอรับ” เขาพูด
ขันทีอ้วนท้วมส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะมองไปแผ่นหลังที่ไกลออกอีกครั้ง
“ตอนนี้องค์ชายใหญ่เพิ่งจะเรียนธรรมเนียมปฏิบัติของโจว ปีหน้าจิ้นอันจวิ้นอ๋องถึงจะได้เรียนบันทึกจั่วจ้วน แต่ตอนนี้กลับท่องจำได้ถึงบทป๋อโจวหลีถามเชลยศึกแล้วหรือ” เขาพึมพำ ส่ายหัวไปด้วยหัวเราะไป
“ทำมือชี้ขึ้นบนทีล่างที ทำมือชี้ขึ้นบนทีล่างที คนในวังหลวงแห่งนี้ จะมีผู้ใดไม่เป็นเช่นนั้นบ้าง”
“ทำมือชี้ขึ้นบนทีล่างทีหมายถึงอะไรหรือขอรับ” ขันทีตัวน้อยรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม
“หมายถึงเจ้าโง่ไงเล่า” ขันทีร่างท้วมตะโกนด่าพร้อมถลึงตาใส่แล้วถีบขันทีตัวน้อย “ยังไม่รีบเดินอีก อะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ไม่มีงานทำหรือย่างไร”
ขันทีตัวน้อยรีบนำทางไป ไม่นานทั้งสองก็เดินออกไปไกล
ณ ตำหนักปีกข้าง จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งขัดสมาธิ ด้านหน้ามีตำราที่ไม่ได้กางออกอยู่ม้วนหนึ่ง เขาหลบตาลงท่องหนังสือเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งได้ยินเสียงจากด้านนอกดังเข้ามา
“องค์ชาย กลับมาแล้วพะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีดังเข้ามา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ประตูห้องถูกเปิดออก องครักษ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามานั่ง ใบหน้าเหมือนกับคนที่หลงทางไปเคาะประตูเรือนบ้านเฉิงเจียวเหนียงที่สะพานอวี้ไต้
“เป็นอย่างไรบ้าง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
“ไม่ใช่คนจากตระกูลเฉิน แต่เป็นคนของสกุลเฉิง เป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด สำเนียงตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนคนที่เปิดประตูเป็นสาวใช้ ไม่เห็นคนอื่นนอกจากสองคนนี้พะย่ะค่ะ” องครักษ์พูด
ไม่ใช่หรอกหรือ เดิมทีก็มิได้คาดหวังคำตอบนักหรอก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้าแล้วโบกมือ
“ท่าทางข้าคงต้องไปถามใต้เท้าเฉินเองเสียแล้ว” เขายิ้มพูด
“ไม่ได้พะย่ะค่ะองค์ชาย” ขันทีรีบเกลี้ยกล่อม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม
“อืม ข้ารู้” เขาพูด “ไม่รีบร้อน ข้าคิดหาวิธีอื่นก่อน ต้องมีสักหนทาง ทุกเรื่องย่อมมีทางออกเสมอ”
ประโยคสุดท้ายดูเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง
องครักษ์ก้มหน้าคำนับแล้วถอยออกไป ยามเดินออกมานอกประตูแล้ว เขาก็อดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้
“เจ้าจะทำอะไร” ขันทีกระซิบถาม
องครักษ์ส่ายหัวในทันทีก่อนจะยกเท้าเดินออกไป
หากแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดลงเสียอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องนี้หรือไม่ เขารู้สึกว่าท่านชายสะพานอวี้ไต้แห่งสกุลเฉิงคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนว่าจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง
แต่ทว่าอาจจะจำผิดคนก็เป็นได้ เมืองหลวงคนเข้าออกมากมาย จำผิดก็คงไม่แปลก
องครักษ์สูดหายใจลึกแล้วก้าวยาวเดินต่อ
ยามใกล้เที่ยงวัน ท่านชายโจวหกหยุดม้าลง กว่าจะรู้ตัวอีกทีตนมาถึงสะพานอวี้ไต้เสียแล้ว
“ท่านชายขอรับ” บ่าวถาม
ท่านชายโจวหหกสูดหายใจลึก เขาหมุนตัวลงจากหลังม้าแล้วเคาะประตูบ้านของเฉิงเจียวเหนียง
“ท่านอีกแล้วหรือ มาทำอะไรหรือ” จินเกอร์ตะโกนลอดผ่านช่องว่างของบานประตู
มาทำอะไรอย่างนั้นหรือ
เขารู้ได้อย่างไรว่าตนมาทำอะไรที่นี่อีกครั้ง!
“ยังมีเงินอยู่หรือไม่” เขาถามเสียงหงุดหงิด
“มีก็ไม่ให้ท่านยืมหรอก” จินเกอร์เอ่ยอย่างระแวดระวัง
ท่านชายโจวหกยกเท้าถีบประตู จินเกอร์ตกใจจนกระเด้งตัวหนี
ปั้นฉินได้ยินเสียงจึงเปิดประตูออกไป โดยไม่ฟังเสียงค้านของจินเกอร์
“ท่านชาย นายหญิงไม่อยู่บ้านเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
“ออกไปอีกแล้วหรือ” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วถาม
เป็นสาวเป็นนางออกไปข้างนอกเช่นนี้ทุกวันได้อย่างไร
“เจ้าค่ะ” ปั้นฉินตอบ
“ขาด ขาดเหลืออะไร พูดมาสิ” ท่านชายโจวหกพูด
ปั้นฉินยิ้มเล็กน้อย
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของท่านชาย นายหญิงมิได้ขาดอะไรเจ้าค่ะ” นางพูด
ท่านชายโจวหกถอนหายใจแล้วหันหลังเดินจากไปทันที แต่หากเดินไปได้เพียงสองสามก้าวก็หยุดลงแล้วหันกลับไปมอง
ปั้นฉินที่ยืนอยู่ริมประตูกำลังจะปิดประตู นางหันหน้าส่งยิ้มให้แก่จินเกอร์
สาวใช้ผู้นี้ บังอาจหัวเราะต่อหน้าเขาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
แถมยังเชิดหน้าพูดกับเขาด้วย… แล้วยืดหลังตรงด้วย…
ประตูปิดลงอย่างช้าๆ
คนก็ดี สิ่งของก็ดี ก็แค่คน ก็แค่ชื่อเรียก
ท่านชายโจวหกหันกลับมา จากนั้นจึงรับแส้จากบ่าวแล้วจับบังเหียนควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว
เต้าหู้ขาวถูกวางลงในชามใส่น้ำอย่างระมัดระวัง
ท่ามกลางมีดเล็กใหญ่ หลากหลายวัสดุที่ถูกจัดเรียงรายอยู่ตรงหน้า หลี่ต้าเสาเลือกมีดไม้ไผ่บางปลายแหลม
ผู้คนโดยรอบกลั้นหายใจอย่างอดไม่ได้ ยามจ้องมองหลี่ต้าเสาก้มตัวแล้วยื่นมือลงในชาม เขาเริ่มหมุนปลายมีด สิ้นส่วนสีขาวขุ่นก็เริ่มกระจัดกระจายอยู่ในน้ำ
เฉิงเจียวเหนียง ผู้ดูแลร้าน และสวีเม่าซิวไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่กลับนั่งลงตรงระเบียงแล้วมองไปทางนั้น พร้อมกับฟังเสียงถอนหายใจของสาวใช้เป็นระยะระยะ
หลี่ต้าเสายืดตัวตรงแล้วจ้องมองไปที่ชามใส่น้ำอยู่ครู่หนึ่ง
“เอามาอีก” เขาพูด
สาวใช้รีบหยิบเต้าหู้มาให้อีกหนึ่งก้อน
หลี่ต้าเสากระพริบตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้มีดอีกครั้ง
“แกะสลักดอกไม้เป็นเรื่องง่ายมาก” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยพลางดันชามเข้ามาอย่างระมัดระวัง
สาวใช้ที่นั่งอยู่ข้างหลังเฉิงเจียวเหนียงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงว้าวออกมา
“คุณพระ ดอกโบตั๋นช่างงดงามเหลือเกิน” นางเอ่ย “นี่แกะสลักจากเต้าหู้จริงๆ หรือนี่”
“ใช่ ใช่ ใช้เวลาฝึกฝนอยู่สองวัน” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางมองไปที่หลี่ต้าเสาด้วยความชื่นชม
คิดไม่ถึงเลยว่าพ่อครัวที่ดูธรรมดาผู้นี้จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้
“เขาเป็นคนซื่อสัตย์ คนโง่เขลามักจะฝึกฝนงานฝีมืออย่างมุ่งมั่น ครั้นตอนติดตามท่านอาจารย์ เขาเป็นลูกศิษย์ไร้ฝีมือที่สุด แม้จะคิดและปรุงอาหารรสชาติแปลกใหม่ออกมาไม่ได้ แต่เขากลับฝึกฝนทักษะพื้นฐานได้อย่างยอดเยี่ยม นี่ก็คงตรงกับคำที่ว่ามีได้ย่อมมีเสีย คนเรายากที่จะทำได้ดีทั้งสองอย่าง” ผู้ดูแลอู๋ถอนหายใจพูด
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เช่นนั้นก็แกะสลักลายดอกไม้แล้วกัน” นางพูด “แล้วต้องทำอะไรอีกหรือ”
“เพราะเป็นอาหารเจและเป็นอาหารที่ถวายกับพระพุทธรูป หลี่ต้าเสารู้สึกว่าดอกไม้ไม่มีความแปลกใหม่ ดังนั้นเขาเลยอยากทำอะไรที่คู่ควรมากกว่านี้” ผู้ดูแลอู๋เอ่ย
สาวใช้เบิกตากว้างเมื่อมองไปที่หลี่ต้าเสาที่เปลี่ยนเต้าหู้อีกก้อนแล้ว เขาพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่ไม่ท้อถอย
“แต่ว่าเหลือเวลาเพียงสี่วัน จะฝึกอะไรได้อีกหรือ” นางอดเอ่ยขึ้นไม่ได้
“หากไม่ได้จริงๆ ก็ใช้ดอกโบตั๋น” ผู้ดูแลอู๋พูด “เพราะอย่างไรเสีย เราก็อาศัยรสชาติของเต้าหู้เป็นหลักอยู่แล้ว ส่วนรูปร่างหน้าตาเป็นเพียงการตกแต่งให้สวยงามเท่านั้น”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ทั้งสามคนนิ่งเงียบ มองไปที่หลี่ต้าเสาที่กำลังแกะสลักอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันปั้นฉินกำลังสะพายตะกร้าเดินเข้าไปในตลาด มีคนทักทายนาง
“วันนี้มีกะหล่ำปลีสดใหม่ ข้าเก็บไว้ให้แม่นางปั้นฉินเป็นพิเศษ”
“แม่นางปั้นฉิน มาดูเนื้อแพะทางนี้เร็ว”
“แม่นางปั้นฉิน ครั้งที่แล้วที่เจ้าพูดถึงทั้งหัวใจ ตับและปอด ข้าหามาได้ทั้งหมดแล้ว…”
ปั้นฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ตั้งใจเลือกของทีละอย่าง ดูไม่ออกเลยว่านางเพิ่งมาที่นี่ได้เพียงสี่ครั้งเท่านั้น
หน้าร้านขายเนื้อมีผู้คนยืนรออยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งรวมถึงแม่นมสองคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามกำลังพูดคุยกันอยู่
“เถ้าแก่จาง” ปั้นฉินเดินเข้าไปเรียก
หญิงทั้งสองหันหน้ามามองนางด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง เหล่าสาวใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ว่าทำหน้าที่จับจ่ายหรือว่าพวกที่ใช้แรงงาน ต่างก็ไม่ได้มีหน้ามีตายามอยู่ในบ้าน แต่ยามออกมาข้างนอกแล้วกลับสูงศักดิ์กว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง
ชายร่างท้วมในชุดผ้ากันเปื้อนมันเยิ้มเดินออกมา พร้อมกับมองปั้นฉินด้วยยิ้มกว้าง
“แม่นางมาแล้วหรือ ข้าเตรียมของไว้ให้ครบแล้ว” เขาพูด “ช่างแปลกนัก คนสะอาดสะอ้านแท้ๆ เหตุใดถึงต้องการของเหล่านี้ได้”
“เจ้านายข้าใช้เป็นยา” ปั้นฉินเอ่ยพลางมองไปที่หญิงสาวทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างนอกราวกับไม่ได้ตั้งใจ
“ยาหรือ หัวใจ ตับและปอดใช้ปรุงยาอะไรรึ” ชายผู้นั้นร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
ปั้นฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“แม่นางปั้นฉินหลอกข้าหรือ” ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม เป็นแค่ยาบำรุงทั่วไป” ปั้นฉินพูด
“บำรุงอะไรหรือ” ชายผู้นั้นถาม
“ก็มิได้มีอะไรมาก ช่วยให้แข็งแรง เปลี่ยนผมขาวให้เป็นผมดำเงา อะไรพวกนี้” ปั้นฉินพูด
ชายผู้นั่นเบิกดาโพรงแล้วหัวเราะลั่นในทันที
“มียาเช่นนี้ด้วยรึ” เขาเอ่ยถาม
แม่นมทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างนอกมองเข้ามาทั้งยังจ้องมองไปที่ปั้นฉิน
“บ้านตระกูลอื่นไม่มี แต่บ้านข้ามี” ปั้นฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ นางเอื้อมมือไปหยิบของที่ลูกจ้างของร้ายส่งมาให้แล้วใส่ลงตะกร้า ก่อนจะเดินออกไป
“ผู้ใดกัน” เมื่อเห็นปั้นฉินเดินจากไป แม่นมนางหนึ่งก็ถามขึ้น
เถ้าแก่จางหันหลังตอบ
“นางพักอยู่ตรงสะพายอวี้ไต้ บอกว่ามาจากสกุลเฉิง แต่ไม่รู้ว่าอาศัยกันอยู่กี่คน พวกเขามาซื้อเยอะเช่นนี้ทุกวัน และล้วนเป็นหัวใจ ตับและปอดทั้งหมด…” เขาเอ่ยก่อนจะร้องออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง “หรือว่าจะนำไปปรุงยาจริงๆ ”
แม่นมทั้งสองสบตากัน
สกุลเฉิง…
ชื่อเรียงเรียงนามนี้เป็นที่รู้จักของคนทั้งเรือน ทั้งนายทั้งบ่าวต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี เพราะนายท่านและฮูหยินพูดถึงชื่อนี้ทุกวัน โดยเฉพาะตั้งแต่ที่บัณฑิตถงมาเป็นแขกที่บ้านหลังจากหายป่วย หญิงสาวที่เป็นผู้ดูแลเล่าว่า นายท่านกินอาหารได้เป็นปกติ ร่างกายแข็งแรงเสียจนอยากป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง
โชคดีที่ภรรยาของเขาเกลี้ยกล่อมสำเร็จ โดยบอกว่าตอนนี้แม่นางเฉิงไม่รับการรักษาแล้ว หากเป็นโรคที่รักษาไม่หายจริง อาจต้องแลกด้วยชีวิต
แต่ทว่าแม่นางเฉิงไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านของตระกูลโจวหรอกหรือ
หญิงสาวทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คนหนึ่งกัดฟัน นางหันไปมองสาวใช้ที่หอบข้าวของตะกร้าเต็มเดินออกไปตามถนน ก่อนจะรีบวิ่งตามไป
“…อ้าว …แม่นมกู่ เนื้อแพะที่สั่งไว้ได้แล้ว…อ้าว หายไปไหนแล้วเล่า”
ลูกจ้างในร้านยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หน้าประตูด้วยความมึนงง
………………………………………………….