พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 187 หายดี
หลี่ต้าเสา!
หลี่ต้าเสาเป็นฉายาของเขา
โต้วชีไม่รู้แม้กระทั่งว่าชื่อแซ่จริงๆ ของเขาเรียกว่าอะไร
แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ก็แค่พ่อครัวคนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำ
เท่าที่จำได้ชายผู้นี้มักจะขลุกอยู่ก้นครัว ไม่พูดไม่จา ทำอาหารซ้ำซากที่ผู้ใดก็ทำแทนได้ทั้งนั้น
รับเงินเดือนเท่าเดิมมานานหลายปี ตั้งแต่เริ่มเป็นพ่อครัวฝึกหัดจนถึงตอนนี้คงหลายสิบปีได้
ว่ากันตามตรง หากหลี่ต้าเสาไม่มาที่ร้านสักสองสามวัน โต้วชีคิดว่าคงไม่มีใครผิดสังเกต แม้แต่บางคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าท้ายครัวมีคนอย่างเขาอยู่ด้วย
คนเช่นนี้น่ะหรือที่ท่านปู่จะแบ่งกำไรของหอจุ้ยเฟิ่งให้ คนเช่นนี้น่ะหรือที่แย่งสมบัติของลูกหลานตระกูลโต้วไป
คนเช่นนี้น่ะหรือ มีดีอะไรกัน!
ท่านปู่ไม่เคยลืมมิตรภาพความหลัง พอท่านแก่ตัวลงก็เริ่มใจอ่อน ลืมไปเสียหมดว่าการค้าต้องการผลกำไร หลังจากที่เขามารับช่วงต่อกิจการหอจุ้ยเฟิ่ง สิ่งแรกที่เขาทำคือการไล่คนงานออก
พวกคนไม่ได้เรื่องเหล่านั้น จะมีหรือไม่มีก็ต่าง สมควรไล่ออกไปให้หมด
เจ้าคนไม่ได้เรื่องนั่นร้องห่มร้องไห้ตอนที่ถูกเขาเฉดหัวออกจากร้าน คุกเข่าคร่ำครวญต่อหน้าเขาบอกว่าไม่รับเงินเดือนก็ได้ ขอแค่ข้าวกินก็พอ น่าไม่อายเสียจริง!
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินว่าป่วยปางตาย แต่เหตุใดถึงหายดีแล้วเล่า แถมยังยืนอยู่บนแท่นพิธี
อีกต่างหาก!
“หลี่ต้าเสาอย่างนั้นหรือ” คนที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเข้าจึงหันหลังกลับมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “เจ้ารู้จักเขารึ เขาคือผู้ใดกัน เก่งกาจยิ่งนัก!”
เก่งกาจยิ่งนัก! เก่งกาจยิ่งนัก!
ใบหน้าของหลี่ต้าเสาซีดเผือด
“เขาทำอะไรหรือ เจ้าถึงได้ชมว่าเขาเก่งกาจยิ่งนัก” โต้วชีถาม
คนผู้นั้นไม่ได้ตอบ แต่กลับมีอีกคนหนึ่งหันมาแล้วพูดขึ้นว่า
“เจ้าไม่เห็นหรือ เมื่อครู่เขาแกะสลักสัญลักษณ์มงคลทั้งแปดในถ้วยใบนั้น!” เขาเอ่ยออกท่าออกทางด้วยความตื่นเต้น สีหน้าดูชอบใจนัก “ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาช้ากันเล่า ข้ามาทันเห็นพอดี แต่เดี๋ยวเดียวก็ถูกยกขึ้นไปแล้ว…”
“สัญลักษณ์มงคลทั้งแปดหรือ ผู้ใดก็แกะสลักได้ทั้งนั้น” โต้วชีกัดฟันพูด
“เขาแกะสลักบนเต้าหู้เชียวนะ ยังมีผู้ใดทำเช่นนั้นได้อีกหรือ” พอเริ่มมีคนพูด เสียงก็เริ่มดังขึ้น “เต้าหู้ เจ้าได้เห็นเต้าหู้แล้วหรือ เจ้าได้เห็นเต้าหู้แล้วหรือ”
เต้าหู้อย่างนั้นรึ
คือสิ่งใดกัน
สายตาของโต้วชีมองออกไปข้างหน้า แต่กลับไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลังของเจ้าคนไม่ได้เรื่องนั่นเลยสักนิด
“ร้านใดนำมาถวายกัน”
“เรือนไท่ผิงน่ะ”
“เรือนไท่ผิงอยู่ที่ใดกัน ไม่เห็นเคยได้ยิน”
“นั่นสิ มาถวายของทั้งที เหตุใดถึงไม่รอให้ทุกคนได้เห็นเสียก่อนแล้วค่อยนำไปถวายเล่า แม้แต่ป้ายร้านก็ไม่ตั้งเลยหรือไร”
“มีแค่ใจพิสุทธิ์รสเดียวหรือ ไม่มีอาหารอย่างอื่นแล้วหรือ พวกข้ายังไม่ทันได้เห็นเลย หวังจะได้ลิ้มรสสักครั้งคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยขอเห็นกับตาสักครั้งก็ยังดี”
“พอได้แล้ว คนเขาตั้งใจนำมาถวายพระโพธิสัตว์ ไม่ได้เอามาให้คนเชยชม หากผู้ใดอยากเห็นก็จะได้เห็น หากผู้ใดอยากลิ้มรสก็จะได้ลิ้มรส เช่นนั้นจะเรียกว่าของล้ำค่าได้อย่างไร”
ใบหน้าของโต้วชีซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม
เมื่อครู่ก็คนพวกนี้มิใช่หรือที่ตะโกนโห่ร้องแย่งกันกินหม้อไฟเจจากเรือนนางฟ้าของเขา เจ้าพวกคนสารเลว กินทิ้งกินขว้าง!
“ท่านชายโต้ว”
น้ำเสียงอันคุ้นหูลอยมาจากด้านข้าง
โต้วชีหันไปมองก็เห็นผู้ดูแลร้านอู๋กำลังคำนับให้กับตนพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านชายเสร็จธุระแล้วหรือ พวกข้าเองก็เสร็จแล้วเช่นกัน กำลังจะกลับอยู่พอดี” พูดจบก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่รอคำตอบจากโต้วชี ผู้ดูแลร้านอู๋เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เหมือนนึกอะไรออกบางอย่าง จึงหันกลับมายิ้มให้โต้วชีแล้วยกมือขึ้นคำนับอีกครั้ง “ท่านชายโต้ว ขอให้ร่ำรวยนะขอรับ”
โต้วชีไม่เคยรู้สึกว่ารอยยิ้มของใครจะทำให้ตนรู้สึกอึดอัดเช่นนี้มาก่อน เขาใบหน้าซีดเผือด ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ปล่อยให้ผู้คนเบียดเสียดจนร่างกายเซไปซ้ายทีขวาที
ขันทียืนนิ่งอยู่ข้างกายจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ก่อนจะเอ่ยพลางหัวเราะขึ้นมา
“เสมือนจริงราวกับมีชีวิต…” เขาเอ่ยขึ้น ยิ้มจนตาหยีพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “แล้วก็มีเต้าหู้นึ่งราดด้วยน้ำแกงปรุงรส หน้าตาน่าอร่อยยิ่งนัก เสียดายที่ไม่ได้กิน…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเขม็งตาใส่
“ข้าให้เจ้าไปดูคน ไม่ได้ให้ไปดูของกิน” เขาเอ่ย
ขันทีหัวเราะคิกคัก
“คนหรือ คนหน้าตาไม่น่ามองสักเท่าใด สู้องค์ชายมิได้หรอกพะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งเสียงฮึดฮัด
“บุรุษนั้นแข่งกันด้วยรูปโฉมเสียที่ไหนเล่า” เขาเอ่ย “หยุดพูดจาเพ้อเจ้อเสียที”
ชายหนุ่มพูดแต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่ภาพเบื้องหน้า
หญิงผู้นั้นถูกล้อมรอบด้วยหญิงสาวอีกมากมาย หนึ่งในนั้นมีคนที่เขาคุ้นตาอยู่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันหลังกลับแล้วหลบหลังเสา
“พี่มองอะไรอยู่หรือ” เฉินตันเหนียงถามพลางกระตุกชายเสื้อของแม่นางเฉินสิบแปด
แม่นางเฉินสิบแปดละสายตากลับมา หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
“ข้าเหมือนจะเห็น…” นางพูดไม่ทันจบก็นิ่งชะงักไป จากนั้นจึงเอื้อมไปจับมือของเฉิงเจียวเหนียงไว้ “ไม่มีอะไร เที่ยวเล่นมาทั้งวันคงเหนื่อยแย่ ท่านแม่ให้คนจัดอาหารเจไว้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“อาหารเจอย่างนั้นหรือ” เฉินตันเหนียงเอ่ย ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา “มีคนบอกว่าจะเลี้ยงบะหมี่เจข้า ไปไหนเสียแล้วล่ะ”
ฮูหยินเฉินที่เดินตามหลังอยู่ไม่กี่ก้าว ฟังแม่นมรายงาน
“รู้จักกันอย่างนั้นรึ” นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
แม่นมพยักหน้ารับ
“ได้ยินมาว่ารู้จักกันเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ
ฮูหยินเฉินได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง สายตามองไปยังเฉิงเจียวเหนียงที่เดินอยู่ข้างหน้าลูกสาวของตน
แม้นางจะสวมชุดฤดูใบไม้ผลิที่ตนมอบให้ แต่ท่ามกลางเหล่าหญิงสาวแรกแย้ม แผ่นหลังของเฉิงเจียวเหนียงกับดูโดดเด่นกว่าผู้ใด อาจเป็นเพราะรูปร่างผอมบางของนาง หรืออาจเป็นเพราะแผ่นหลังที่เหยียดตรงนั้น
“เจ้ารู้ไหมว่าคือผู้ใดกัน” นางถามขึ้นอีกครั้ง
“ท่านชายผู้นั้นน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่นางเจียวเหนียง อาจจะแก่กว่าปีสองปี ใบหน้างดงาม ท่าทางเป็นกันเอง แม้จะดูมุทะลุอยู่บ้างแต่ก็รู้จักขอบเขต ไม่ได้แสดงกิริยาล่วงเกินหรือไม่ให้เกียรติแม่นางแต่อย่างใด” แม่นมนึกพลางเอ่ยอย่างจริงจัง นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา
“ดูท่าทางเขาดีใจนักยามได้พบแม่นาง”
ฮูหยินเฉินส่งเสียงรับทราบแล้วพยักหน้า
“ขอแค่ไม่ล่วงเกินกันเป็นพอ” นางเอ่ยแล้วถอนหายใจออกมา “หากเขาล่วงเกินนาง พวกเจ้าอย่าได้เพิกเฉยเหมือนนางเป็นคนอื่นคนไกล ให้ดูแลนางดั่งลูกสาวของตระกูลเรา ไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใด
ก็ขอให้ปกป้องนาง”
แม่นมขานรับในทันที
“ข้าหวังเพียงว่าเด็กคนนั้นจะได้แต่งงานกับคนดีๆ” ฮูหยินเฉินเอ่ยแล้วมองไปทางเฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน นายใหญ่จางก็ถูกจางเฉินหลานชายของตนตีเข้าที่ต้นแขน
“ท่านปู่ ท่านปู่ นั่นคือเรือนไท่ผิง นั่นคือของที่เรือนไท่ผิงทำ!” เขาร้องตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
นายใหญ่จางขยับถอยห่าง
“ข้าไม่แก่ถึงขนาดไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเสียหน่อย” เขาเอ่ยพลางถลึงตาใส่หลานชาย นายใหญ่จางขยับกายยืนให้มั่นคง เพราะเมื่อครู่คนเยอะเบียดเสียดจนเขาแทบเสียหลัก
แม่นางผู้นั้นเก่งนักเรื่องเสาะหาวิธีทำอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ
“ท่านปู่ ท่านปู่ ปั้นฉินบอกว่าเถ้าแก่ร้านเรือนไท่ผิงก็มาด้วยไม่ใช่หรือ ท่านช่วยแนะนำให้ข้า
รู้จักที” จางเฉิงเอ่ยพลางมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นเต้น “เมืองหลวงช่างดีเช่นนี้ ข้าเริ่มไม่อยากไปเสียแล้วสิ”
นายใหญ่จางก็เหลียวซ้ายแลขวาเช่นกัน ก่อนคิ้วจะเริ่มขมวดเล็กน้อย
ยามพิธีชงชาฌานเสร็จสิ้น ผู้คนก็เริ่มแยกย้ายกันกลับ ฝูงชนกรูกันออกไป เบียดเสียดกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่เห็นนางในอุโบสถ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ยามจิ้นอันจวิ้นอ๋องย่ำเท้าเข้าประตูวังหลวงก็เป็นเวลาคล้อยบ่ายแล้ว
“องค์ชายดูมีความสุขนัก” นางกำนัลเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะหันไปมองที่ประตูวัง
“ขอแค่ได้ออกไปเที่ยวเล่น องค์ชายก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ” นางกำนัลอีกคนยิ้มพลางส่ายหน้า “แต่ไม่ยอมตั้งใจเรียนหนังสือเนี่ยสิ หากไทเฮารู้เข้า คงร้อนใจอีกเป็นแน่”
กล่องใบหนึ่งที่ถือมาตลอดทางถูกวางลงบนพื้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องขยับกายนั่งลงด้วยรอยยิ้ม
ขันทีนั่งคุกเข่าลงอีกฝั่ง เขามองกล่องใบนั้นแล้วหันไปมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“องค์ชายขอรับ” เขาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านว่างามนักหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะลั่น ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบเขา
“แน่นอนว่างามอยู่แล้ว” เขาเอ่ยแล้วถอนหายใจออกมา รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มชี้ไปที่กล่องบนพื้น “เจ้าดูสิ ของขวัญวันเกิดของข้า นางเป็นคนให้มา”
เขาเน้นย้ำที่คำว่า ‘ของข้า’
บางทีแม่นางผู้นั้นอาจจะพูดเล่นไปเช่นนั้นก็ได้ องค์ชายต้องดีใจถึงขนาดนี้เชียวหรือ ว่าแต่
เหตุใดองค์ชายถึงเอ่ยปากบอกนางว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตน
องค์ชายคงว้าเหว่มานานเกินไปจริงๆ
องค์ชายพูดออกไปอย่างน่าระรื่นว่าน่าตกใจแล้ว แต่ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนของคนฟัง เท่าที่ได้ยินจากองค์ชาย นี่คือการพบกันครั้งที่สองของทั้งคู่ หากแต่พูดคุยกันอย่างผ่อนคลายราวกับสหายที่สนิทสนมกันมาแรมปี หรือเป็นเพราะผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมาด้วยกัน
“เด็กคนนั้นบอกว่านางเป็นคนทำเองกับมือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อ
ขันทีที่เพิ่งได้สติกลับมาก็ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
“พะย่ะค่ะ พะย่ะค่ะ ยินดีกับองค์ชายด้วยพะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางก้มหัวคำนับลงกับพื้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเปิดกล่องออก จ้องมองขนมสามชิ้นที่เหลืออยู่ภายใน
“ข้าจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ท่านแม่เคยทำสิ่งนี้ให้ข้ากิน” องค์ชายโพล่งขึ้นมา
ขันทีสั่นไปหมด สีหน้าดูลำบากใจ
“เอ่อ แต่ก็ไม่รู้ว่ารสชาติจะเหมือนกันหรือเปล่านะพะย่ะค่ะ” เขาพูดพลางยิ้มเจื่อนออกมา
“องค์ชายรีบชิมดูสิขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงจ้องขนมอยู่อย่างนั้น ไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่
“คงจะเหมือนกันนั่นแหละ ขนมก็เหมือนกันหมด แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ ข้าน่ะลืมรสชาติของขนมไปตั้งนานแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมา
ขันทีก้มหน้าไม่พูดไม่จา
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก
“องค์ชายขอรับ ฮ่องเต้และไทเฮาให้คนนำของขวัญวันเกิดมามอบให้ขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องปิดฝากล่องลงก่อนจะดันมันเข้าใต้โต๊ะ เขาหันหลังกลับแล้วคำนับ
ประตูถูกเปิดออก ขันทีสี่คนเดินยกถาดยิ้มหน้าระรื่นเข้ามา บนถาดนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องเขียนอย่างพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึก ทั้งยังมีเครื่องประดับทองและหยกส่องประกายระยิบระยับ
“ฮ่องเต้มอบเครื่องเขียนหนึ่งชุด เข็มขัดหยกหนึ่งเส้น”
“ไทเฮามอบจานหินโมราลายจินผิงทัวหนึ่งคู่ พร้อมชุดถ้วยชา”
“ฮองเฮามอบอัญมณีจากหนานไห่สิบสองชิ้น”
“กุ้ยเฟยมอบ…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะยืดหยัดตัวขึ้นแล้วคำนับอีกครั้ง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาเอ่ยเสียงกึกก้อง
ณ เรือนไท่ผิง หลี่ต้าเสากำลังนั่งคุกเข่าลงแล้วคำนับ
“ขอบคุณนายหญิงยิ่งนัก” เขาเอ่ย
เขาก้มหัวจรดพื้นไม่ลุกขึ้น น้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก
“ขอบคุณข้าทำไมกัน ข้าไม่ได้เป็นคนแกะสลักเต้าหู้เสียหน่อย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
หลี่ต้าเสายังคงก้มหน้าดังเดิม
เขานึกถึงเรื่องราวในอดีต ครั้งหนึ่งเคยก้มหน้าคุกเข่าต่อหน้าคนผู้หนึ่ง อ้อนวอนไม่ให้เขาไล่ตนออกไป ร้องขอหนทางอยู่รอดให้แก่ตัวเอง
เขาเป็นลูกศิษย์ติดตามอาจารย์มาตั้งแต่อายุสิบขวบจนกระทั้งอายุได้สิบแปดปี นอกจากทำอาหารแล้วเขาทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง เขาไม่ต้องการส่วนแบ่งผลกำไรจากนายใหญ่โต้ว ขอแค่ไม่ไล่เขาออกไป เงินจะน้อยสักแค่ไหนเขาก็ยอม
เขาพูดไม่เก่ง ทำเป็นแค่เพียงก้มหัววิงวอน
ได้โปรดเถิดท่าน ได้โปรดเถิดท่าน ได้โปรดเถิดเถ้าแก่ ได้โปรดเถิดเถ้าแก่
หลี่ต้าเสาหมอบอยู่กับพื้น แขนเสื้อที่แนบกับใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
แต่ทว่าคำวิงวอนของเขานั้นไม่เป็นผล สุดท้ายเขาถูกไล่ออก กลายเป็นคนไร้ค่า ทั้งยังป่วย
ปางตาย ขายวัวก็แล้ว ขายที่นาก็แล้ว ยังต้องขายที่ดินสินเดิมของภรรยาอีก แม่ของตนก็แก่เฒ่าไม่รู้ความ ภรรยาก็ร่างกายอ่อนแอ หากเขาตายไป ก็พอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
หากเขาจากโลกนี้ไปที่นาคงถูกขายไปจนหมด ตามด้วยบ้านที่ถูกขายทิ้ง จากนั้นภรรยาคงถูกทางบ้านบังคับให้แต่งงานใหม่ ส่วนลูกคงถูกปล่อยให้หิวตาย ไม่ก็ถูกขายทิ้ง ส่วนแม่คงหิวตายอยู่กลางป่า หากโชคดีคงมีชาวบ้านเอาเสื่อผืนเก่ามาห่อศพแล้วขุดหลุมฝัง แต่หากโชคร้ายคงกลายเป็นอาหารในท้องหมาป่า
จากนั้นผู้คนในหมู่บ้านก็พากันซุบซิบนินทาว่าบ้านนี้เหตุใดถึงได้น่าสงสารนัก แต่ผ่านไปไม่นานก็คงหยุดกันไปเอง จนสุดท้ายครอบครัวของเขาก็ถูกลืม ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้
ไม่ว่าจะจบอย่างไร ก็คงไม่มีทางเป็นเหมือนทุกวันนี้ได้
เขาถืออาหารที่ตนทำเองกับมือ เดินตามหลังพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ถวายอาหารพร้อมกับเหล่าราชนิกูล ท่ามกลางสายตายของผู้คนมากมาย เขาค่อยๆ ก้าวย่างเข้าอุโบสถไป ทำพิธีพร้อมกับพระอาจารย์ ถวายอาหารที่ตนทำเองต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดับด้วยหยกและทองคำส่องแสงระยับพราวตา
หลี่ต้าเสาผู้นี้เป็นคนทำอาหารนั้นเอง!
หลี่ต้าเสาผู้นี้ ในที่สุดก็ลืมตาอ้าปากได้เสียที!
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เช่นไรกัน เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หางตาเหลือบไปเห็นสาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านข้าง
‘พี่ชาย ข้าเชิญหมอมาดูอาการป่วยท่าน’ หลี่ต้าเสานึกถึงเรื่องในอดีต
เขากำลังหมดสติรอความตายอยู่ในบ้าน แต่ในหูยังคงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน
‘หมอรักษาท่านแล้ว อีกไม่นานคงหายดี อย่าได้กังวลไปเลย’
หลี่ต้าเสาเงยหน้ามองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ขอบคุณนายหญิงยิ่งนักที่ช่วยรักษาข้า” เขาเอ่ยเสียงสะอื้นก่อนจะก้มหัวลงอีกครั้ง “ในวันนี้ ข้าหายดีแล้ว”
นางไม่เพียงแต่รักษาอาการป่วยของเขา แต่ได้รักษาชีวิตของเขาไว้ด้วย
……………………………………………………….