พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 205 แอบสืบ
ท่านชายโจวหกยืนลังเลอยู่กลางลานบ้านสักพักหนึ่ง
ครั้งก่อนเขาให้ขนมจากวัดเสวียนเมี่ยวไปแล้ว ไม่รู้ว่านางจะเข้าใจหรือไม่
พอนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา
หญิงผู้นี้เจ้าเล่ห์เป็นที่สุด นางจะไม่รู้ได้อย่างไร!
“เตรียมม้า!”เขาส่ายหน้าแล้วตะโกนขึ้นพร้อมก้าวเท้าออกไป
“ท่านมาทำอะไรอีก! นายหญิงข้านอนหลับอยู่!”
“นอนอะไรกันเล่า!” ท่านชายโจวหกตะคอกแล้วเตะประตูออก
เสียงตึงตังทำให้สาวใช้และปั้นฉินต่างวิ่งมา
“ท่านมาทำอะไรอีก” สาวใช้เท้าเอวเลิกคิ้วถาม
“ข้ามาถามว่าขนมของข้า ถูกปากพวกเจ้าหรือไม่” ท่านชายโจวหกเองก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน
ข้ออ้างอะไรกัน!
“ไปแจ้งความ” สาวใช้ตะโกนขึ้น
“ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาถาม ข้าก็จะตอบให้”
เสียงของเฉิงเจียวเหนียงลอยมาจากในห้อง สาวใช้เหลียวหลังก็เห็นเป็นเฉิงเจียวเหนียงที่ไม่รู้ว่ามานั่งคุกเข่าหวีผมอยู่กลางห้องโถงตั้งแต่เมื่อไหร่
ท่านชายโจวหกไม่ได้เข้ามาในห้อง แต่ยืนมองเฉิงเจียวเหนียงในห้องจากระเบียงทางเดิน
“ท่านพ่อเจ้าหาคู่แต่งงานให้เจ้าแล้ว” เขาเปิดประเด็น
เมื่อได้ยินดังนั้น สาวใช้และปั้นฉินต่างก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด
“แล้วท่านพ่อเจ้าเล่า” เฉิงเจียวเหนียงวางหวีในมือลงด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยดังเดิม
ความหมายก็คือตระกูลโจวไม่ยอมให้ตระกูลเฉิงเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาด…
“ท่านพ่อข้ายังหาไม่ได้” ท่านชายโจวหกเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด
“เชื่อว่าเขาคงจะหาได้เร็วๆ นี้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ไม่ว่าเมื่อใดที่นางเอ่ยปากพูด ท่านชายโจวหกมักจะสัมผัสได้ถึงการเหยียดหยามเย้ยหยันอยู่เสมอ
ท่านชายฉินสิบสามบอกว่าเขารู้สึกไปเอง เขากังวลไปเอง
แต่ว่าฟังดูสิ นี่เป็นมันประชดกันชัดๆ! เหมือนว่าตระกูลโจวโลภมาก อยากได้สมบัติของนางอย่างนั้น!
“พวกข้ามายุ่งเรื่องเจ้าเองล่ะ ขัดขวางคู่หมั้นคู่หมายที่พ่อเจ้าหามาให้” ท่านชายโจวหกเย้ย เขาหันหลังสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
เสียงประตูดังโครมคราม สาวใช้ทั้งสามในเรือนสบตากัน
อย่างไรเสียเจ้าหมอนี่ก็ไม่เคยปกติเหมือนชาวบ้านเขาอยู่แล้ว
สาวใช้ไม่สนใจเขาอีกต่อไป ก่อนจะบอกให้จินเกอร์ปิดประตู แล้วรีบนั่งลงตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างร้อนรน
เฉิงเจียวเหนียงสางผมต่อ
“ทำอย่างไรอะไรหรือ” นางถาม
“โธ่ เรื่องแต่งงานของท่านอย่างไรเล่า” สาวใช้เอ่ยอย่างร้อนรนแล้วเหลียวไปมองประตู “ลืมถามไปว่าเป็นคนตระกูลใดอีก”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ อย่างไรเสียก็ต้องมาบอกข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
แน่นอนอยู่แล้ว…
แต่ตอนนี้ไม่ได้หมายความเช่นนี้
“นายหญิง ท่านไม่รู้สึกร้อนรนหรือเจ้าคะ” สาวใช้เดินเข้าไปเอ่ยถามเฉิงเจียวเหนียง
หากมองจากใบหน้าของหญิงผู้นี้ จะไม่สามารถมองออกว่านางอยู่ในอารมณ์ใด หรือจะบอกว่านางไม่มีอารมณ์ใดอยู่แล้ว
เรื่องที่ว่าเฉิงเจียวเหนียงมีสินเดิมก้อนใหญ่อยู่นั้น สาวใช้ก็รู้ดี การที่หญิงผู้หนึ่งมีสินเดิมจำนวนมากนั้นเป็นทุนที่แข็งแกร่งในการแต่งงาน แต่ข้อด้อยของเฉิงเจียวเหนียงนั้น ทำให้สินเดิมเหล่านี้กลายเป็นตัวเรียกเคราะห์ร้ายมาเยือน
ต้องมีเคราะห์เพียงเพราะมีทรัพย์สินเหล่านี้ อีกยังเคยเป็นเด็กสติไม่สมประกอบมาก่อนด้วย
การออกเรือน ไม่ง่ายถึงเพียงนั้น จะต้องเป็นแผนของตระกูลเฉิงที่ต้องการฮุบสินเดิมเป็นแน่
การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ แม่สื่อเป็นคนชักนำ พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ จะทำอย่างไรดี
เฉิงเจียวเหนียงส่งสัญญาณเรียกปั้นฉินมามัดผมให้พลางมองไปที่สาวใช้
“มีอะไรต้องร้อนรนกันเล่า” นางเอ่ย
สาวใช้ชะงักไปชั่วขณะ
“นายหญิง ท่าน…ท่านไม่โกรธหรือเจ้าคะ นายท่านหาคู่ให้ท่านแล้วนะเจ้าคะ” นางถาม
นางเน้นเสียงที่คำว่า ‘นายท่าน’
พ่อที่ทอดทิ้งลูกตนเองแต่เด็ก จะคาดหวังให้เขาทำเพื่อลูก หาคู่ดีๆ ให้ลูกด้วยใจจริงได้หรือ
“ไม่สมควรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองนางตากะพริบ
ทั้งสองสบตากันพักหนึ่ง
นั่นสิ เรื่องแต่งงาน พ่อแม่เป็นคนกำหนดมิใช่หรือ ก็สมควรแล้วนี่…
จะทำอย่างไรได้เล่า คนที่จนปัญญาต้องเผชิญกับเรื่องที่น่าจนใจ…
“ก็เพราะเหตุนี้นี่แหละเจ้าค่ะ ถึงได้น่าร้อนใจ หากเป็นคนไม่ดีขึ้นมา จะใช้ชีวิตอย่างไรเจ้าคะ…” สาวใช้ถอนหายใจ
เฉิงเจียวเหนียงมองนางแล้วยิ้ม
“ยังไม่ได้ใช้ชีวิต จะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่ดี” นางเอ่ย
ปั้นฉินที่อยู่ด้านหลังมวยผมยาวดกดำให้เฉิงเจียวเหนียงแล้วเสียบหวีเล็กเอาไว้ เมื่อนางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย
ใช้ชีวิตอย่างไรหรือ
ท่านพ่อจากไป วัดเต๋าไฟไหม้ ไร้ทรัพย์สินเงินทอง เด็กหญิงกำพร้ากับสาวใช้ผู้อ่อนแอจะใช้ชีวิตอย่างไรหรือ
ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้กลับบ้าน
คนในครอบครัวดูถูกทอดทิ้ง ไล่ไปอยู่วัดเต๋า ถูกหลงลืมจะใช้ชีวิตอย่างไรหรือ
ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้มาเมืองหลวง
วันที่ดี วันที่ร้าย ผ่านไปอย่างไร เป็นอย่างไรบ้าง นายหญิงเป็นคนกำหนดมาโดยตลอด ยิ่งกว่านั้น นายหญิงผู้นี้ไม่เคยใช้ชีวิตที่ดีเลย แค่เรื่องแต่งงาน เมื่อคิดดูแล้ว ก็ไม่นับว่ามีอะไร
“เช่นนั้น นายหญิง บ่าวไปสืบให้ว่านายท่านคุยเรื่องแต่งงานกับตระกูลใดดีหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้อดถามไม่ได้
“ไม่ต้องรีบไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วยิ้มเล็กน้อย “รอให้นายใหญ่เฉิงและนายใหญ่โจวเลือกเสร็จแล้วค่อยถามก็ไม่สาย”
สาวใช้ถอนหายใจแล้วกลับไปนั่ง เมื่อเห็นนายบ่าวทั้งสองสีหน้านิ่งสงบแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“มิน่าละ นายหญิงถึงให้พวกเราชื่อปั้นฉิน” นางยิ้ม
แต่ปั้นฉินไม่เข้าใจ
“ทำไมหรือ” นางถาม แล้วมัดผมจุกสุดท้ายขึ้นไป
สาวใช้มองดูนางแล้วถอนหายใจ
“เพราะว่าเจ้าเป็นคนฉลาดอย่างไรเล่าปั้นฉิน พวกข้าโง่เขลานัก นายหญิงอยากให้พวกเราเรียนรู้จากเจ้า” นางเอ่ย
ปั้นฉินป้องปากหัวเราะคิกคัก
“พี่ปั้นฉินล้อข้าเล่นอีกแล้ว” นางเอ่ย
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น เมื่อก่อนข้าคิดว่าตนเองฉลาดนัก คนอื่นก็พูดกันเช่นนี้” สาวใช้เอ่ย “แต่ยิ่งได้ติดตามนายหญิงนานขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนโง่เขลายิ่งนัก มีหลากหลายเรื่อง จู่ๆ ก็ไม่เข้าใจขึ้นเสียอย่างนั้น”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดแล้วสิ” ปั้นฉินจัดแจงเสื้อคลุมของเฉิงเจียวเหนียงแล้วถอยหลังไปยิ้มให้สาวใช้
“คนเราเกิดมามีสมอง ไม่คิดอะไร จะทำได้หรือ” สาวใช้ถอนหายใจ
เมื่อเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงถือหนังสือขึ้นมา ทั้งสองก็ออกไปยังโถงทางเดิน จินเกอร์ที่ยืนอยู่ในเรือนได้ยินที่นางพูดก็หัวเราะขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ถามสิ ไม่เข้าใจก็ถามเลยสิ” เขาเอ่ย
สาวใช้พยักหน้า
“ใช่ ไม่เข้าใจ ข้าก็ต้องถามให้เข้าใจ” นางเอ่ยแล้วยื่นมือมาจับ ปั้นฉินกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ได้ยินเสียงตึงตังลอยมาข้างหู
ไม่นะ
มีคนมาอีกแล้วหรือ
สาวใช้เหลียวไปมอง จินเกอร์ก็หันหน้าไปตามหาเสียงเช่นกัน
เสียงตึงตังดังขึ้นอีกครั้ง
“ทางนี้ ทางนี้”
พร้อมด้วยเสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ดังขึ้น
สาวใช้และจินเกอร์ต่างก็มองไป บนกำแพงที่แสงแดดสาดส่องนั้น มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งยื่นหน้าโผล่ขึ้นมา
“นายหญิงเจ้าอยู่หรือไม่” เขาเกยกำแพงถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เขาอีกแล้ว!
สาวใช้จ้องตาเขม็ง
“ไม่อยู่” นางเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว
“สาวใช้คนนี้ แม้แต่โกหกยังพูดไม่เป็น” เขาเอ่ย “เมื่อครู่บ้านเจ้ามีแขกมา เจ้าบ้านจะไม่อยู่ได้อย่างไร”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าไม่ใช่แขกเสียหน่อย” สาวใช้โมโห นางถามน้ำลายแล้วเดินเข้าห้องไป
“ข้าก็เป็นแขกที่มาเยือนเช่นกัน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตะโกนเสียงดัง “เพียงแต่ ข้าไม่สะดวกจะเข้าทางประตูเท่านั้น”
เขาเอ่ยพลางก้มหน้าลงมองคนข้างหลังเพื่อส่งสัญญาณ
เสียงตึงตังดังขึ้นอีกครั้ง
“ดูสิ ข้าเคาะประตูแล้ว” เขาเอ่ย
สาวใช้กระทืบเท้า จังหวะที่นางกำลังจะเดินเข้าห้องโถงไป ก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงเดินออกมา
“นายหญิง คนนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามอง จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็เผยรอยยิ้มให้กับนาง
“ข้าจะมาถามเจ้า” เขาเอ่ย “ว่าขนมของข้าอร่อยหรือไม่”
สาวใช้เบิกตาโต วันนี้เป็นวันอะไรกัน วันนี้คำทักทายในเมืองหลวงกลายเป็นคำนี้ไปแล้วหรือ
“พอใช้ได้” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“แล้วเจ้าชอบกินหรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม “ข้าเอามาให้เจ้าอีก”
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งเสียง ‘อ่อ’
“ก็แค่ของกิน ที่จริง มีก็ดี ไม่มีก็ได้” เขาพยักหน้าแล้วมองดูเฉิงเจียวเหนียงด้วยรอยยิ้ม “นี่ ชายหนุ่มคนเมื่อครู่นั้นเป็นอะไรกับเจ้าหรือ”
โธ่เจ้าหมอนี่ เขานึกว่าตัวเองเป็นใครกัน สนิทสนมกันมากนักหรือ เขากล้าถามออกมาได้อย่างไรกัน
สาวใช้จ้องเขม็ง
“เป็นพี่ชายบ้านท่านลุงข้าเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องร้อง ‘อ้อ’ แล้วพยักหน้า
“ฟังดูเหมือนจะโมโห พวกเจ้าทะเลาะกันหรือ” เขาถาม
สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโต
“ไม่ใช่ เขามาแจ้งข่าวกับข้า” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“เรื่องอะไรหรือ” จิ้นอันวิ้นอ๋องแขนเกยบนกำแพงแล้วถามอย่างสงสัย
“เรื่องแต่งงาน” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
สาวใช้หันหน้าไปจ้องเฉิงเจียวเหนียงอีก
สนิทสนมกันจริงๆ หรือ เรื่องเช่นนี้ก็ตอบได้หรือ
“อย่างนั้นหรือ ตระกูลใดหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเกยกำแพง โน้มตัวเข้ามาถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะเลือกตระกูลใด” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะขึ้นมา
“เจ้านี่ใช้ได้เลยนี่ มีหลายตระกูลมาสู่ขอน่ะ” เขายิ้ม
“ก็แค่ถึงอายุแล้วเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า
“ไม่แน่หรอก” เขาเอ่ย “ข้าก็ถึงอายุแล้ว แต่ก็ยังไม่มี”
ขณะที่เขาพูดอยู่ก็ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มครั้งนี้ไม่เหมือนกับรอยยิ้มอันสดใสก่อนหน้า ครั้งนี้มีความอ่อนโยน แต่เมื่อความอ่อนโยนนี้บวกกับคำพูดนี้แล้ว กลับรู้สึกว่าน่าหดหู่ใจนัก
สาวใช้มองดูเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
จริงหรือ
หน้าตาเช่นนี้ไม่มีใครทาบทามเรื่องแต่งงานเลยหรือ
ดูจากการแต่งตัวแล้ว ก็ไม่เหมือนคนยากจนที่ไม่มีปัญญาสู่ขอภรรยานี่
“มีไม่ใช่ว่าจะดี ไม่มีก็ใช่ว่าจะไม่ดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “มีหรือไม่มี เราตัดสินใจเองไม่ได้ ดีหรือไม่ดี เราลิขิตเองได้”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะตบกำแพง
“เจ้ามีให้เลือกมากมายจนตาลายไปหมดล่ะสิ” เขาถาม “ข้าช่วยเจ้าดูดีหรือไม่ ข้าสนิทสนมกับตระกูลในเมืองหลวงนัก”
เมื่อเห็นชายหนุ่มหญิงสาวที่คนหนึ่งยืนอยู่โถงทางเดิน คนหนึ่งอยู่บนกำแพงพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย สาวใช้ก็อดทอนถอนใจไม่ได้
ปั้นฉินที่ออกไปนั่งพับเสื้อผ้าตรงโถงทางเดินตั้งแต่ก่นหน้าก็หันมองมาด้วยสายตาใครรู้
สาวใช้เห็นท่าทีอันผ่อนคลายของนางแล้ว ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
“ข้าว่า นับวันข้าจะยิ่งเลอะเลือนสับสนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” นางพึมพำ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องรู้สึกว่าความคิดของตนนั้นดียิ่งนัก ดวงตาก็เปล่งประกายยิ่งขึ้น แล้วพยุงตัวกับกำแพงยื่นข้ามมาอีกครั้ง
“หากเจ้าเลือกไม่ได้ หรือไม่สะดวกจะสืบ ก็มาถามข้าได้ ข้าจะสืบให้เจ้าอย่างละเอียดเอง รับรองว่าพวกแม่สื่อนั้นหลอกเจ้าไม่ได้แน่นอน” เขาเอ่ย
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “ขอบคุณ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องโบกมือ
“ขอบคุณตอนนี้เร็วเกินไป รอให้ช่วยเจ้าเลือกคู่ดีๆ ได้ก่อน แล้วเจ้าค่อยมาขอบคุณข้า” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขาแล้วยิ้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้มหน้าฟังคนด้านล่างพูดอะไรบางอย่างแล้วก็ขมวดคิ้วทันใด
เวลานี้ ในเรือนไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ ความมืดมิดยามค่ำคืนก็กล้ำกรายเข้ามา
“ข้าต้องไปแล้ว” เขาพูดกับเฉิงเจียวเหนียง
จินเกอร์กำลังจุดไฟในเรือนทีละดวง แสงไฟกลับส่องจนทำให้ในเรือนนั้นมืดสลัว เงาของหญิงสาวผู้นั้นตรงโถงทางเดินนั้นเลือนรางจนมองใบหน้าไม่ชัดเจน เห็นเพียงนางก้มโค้งคำนับให้
“เฉิงเจียวเหนียง” เขาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงตะโกนขึ้น
ท่ามกลางความมืดสลัวนั้น หญิงสาวที่ท่าทีเรียบร้อยมองดูเขา
“เจ้าชื่ออะไรหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม “ข้าชื่อฟังป๋อจง”
ฟังป๋อจง
สาวใช้พูดชื่อในใจแล้วรีบหาตระกูลที่แซ่ฟังในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
แซ่นี้พบเห็นได้บ่อยนัก ขุนนางบู๊บุ๋นในราชสำนักต่างก็มีคนแซ่ฟังนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งราชนิกูลก็ยังแซ่ฟัง…
“ข้าไม่รู้ว่าข้าชื่ออะไร” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องร้อง ‘อ้อ’ แล้วพยักหน้า ไม่รู้ว่าเหตุใด คำพูดที่ฟังดูน่าขันเช่นนี้ เขากลับรู้สึกสงสาร หดหู่ใจ และจนใจยิ่งนัก
หญิงสาวที่สติไม่สมประกอบแต่เล็ก ไม่รู้ชื่อของตน หรือไม่ก็อาจจะไม่มีใครตั้งชื่อให้กระมัง
บันไดสั่นไหวไปชั่วขณะ จิ้นอันจวิ้นอ๋องจับกำแพงไว้แน่น
“ต้องไปแล้วขอรับ…”
ขันทีที่จับบันไดให้อยู่นั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบาด้วยความร้อนรน
นั่นสิ ต้องไปแล้ว
ยังไม่ถึงเวลาที่จะทำทุกอย่างตามใจชอบ จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยุงกำแพงเอาไว้
“ข้าไปก่อนนะ” เขาเอ่ย “ได้ยินว่าเจ้าชอบขนม ข้าก็ดีใจ”
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าคำนับอีกครั้ง จังหวะที่ลุกขึ้นมา เด็กหนุ่มบนกำแพงนั้นก็หายตัวไปแล้ว ไฟในเรือนก็ถูกจุดครบทุกดวงจนสว่างไสว
“นายหญิง ท่านไม่ระแวงคนผู้นี้เลยนะเจ้าคะ” สาวใช้เดินเข้ามาพูดในสิ่งที่ตนสงสัยและเป็นกังวล
“ข้าพูดอะไรไปหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองเขาแล้วถามด้วยสีหน้าอมยิ้ม
“ท่านบอกความลับของตนไป อย่างเช่นเรื่องแต่งงานจะบอกผู้อื่นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ย
“ความลับหรือ” เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม “เจ้านึกว่าข้าไม่บอก แต่หากเขาอยากรู้แล้วจะสืบไม่ได้ความหรือ”
สาวใช้ชะงักไปทันใด
เด็กหนุ่มผู้นั้นบอกว่าสนิทสนมกับคนในเมืองหลวงนัก เขาสืบเรื่องพวกนางมาโดยตลอด เด็กหนุ่มผู้นั้นรู้ว่าพวกนางซื้อเรือนของตระกูลเฉิน เมื่อครู่ยังเรียกชื่อเล่นของนายหญิงอีก
ในเมืองหลวงนี้ท่านชายโจวหกก็ใช่ว่าไร้ชื่องเสียงเรียงนาม หากอยากรู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แม้จะเป็นเรื่องลับเพียงใด ขอเพียงมีใจคิดอยากจะถาม สุดท้ายก็ถามได้ความอยู่ดี
เมื่อคิดดูอีกที บทสนทนาของทั้งสองเมื่อครู่นี้ ขนมอร่อยหรือไม่ อร่อย เจ้าจะหาคู่หรือ ใช่ ให้ข้าช่วยสืบ ได้ เจ้าชื่ออะไร ข้าไม่รู้…
ที่จริงก็ไม่ได้พูดอะไรเลย…
ล้วนเป็นคำพูดที่ไม่มีเนื้อหาใจความทั้งสิ้น…
สาวใช้ลูบผมที่ลู่ตกลงมา
แต่ว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในหัวสับสนไปหมด
“แย่แล้ว นับวันข้าคงเลอะเลือนขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ” นางอดพึมพำไม่ได้ “ดูเหมือนว่าอีกไม่นาน นายหญิงจะต้องคืนข้าให้นายใหญ่เสียแล้ว”
…………………………..