พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 216 ใจดำ
ท่านชายโจวหกมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ไม่ ไม่ใช่หญิงสาว แต่เป็นปีศาจต่างหาก
ตอนที่เขารู้ว่านางเรียกหาก็รีบมาในทันที
สามวันสามคืน เขามาตั้งแต่ฟ้ามืด คอยเฝ้าเวรยามที่เรือนหลังนี้
สามวันสามคืน เขาโป้ปดกับท่านแม่เพื่อมาที่เรือนหลังนี้
ก่อนที่นางจะเอ่ยปาก เขาเองก็สังหรณ์ใจอยู่แล้วว่านางอาจจะเรียกหา และเขาเองก็รู้ว่าท่านแม่ไม่ชอบนาง เพราะกลัวว่าจะถูกห้าม จึงสั่งให้บ่าวข้างกายมาคอยจับตาดู
เขาคิดว่าตนเองกำลังช่วยเหลือญาติพี่น้องสายเลือดเดียวที่กำลังฟาดเคราะห์ตกทุกข์ได้ยาก
นึกไม่ถึงเลยว่า ที่ตนโอบอุ้มให้ความอบอุ่นอยู่นั้นคืองูพิษ งูพิษเลือดเย็นที่ไร้หัวใจ!
นึกไม่ถึงเลยว่า การที่เขามาเยือนที่แห่งนี้อย่างตื่นเต้นดีใจในแต่ละวันจะกลายเป็นเรื่องตลก! เรื่องตลกที่น่าขัน น่าสมเพช น่าเศร้าใจนัก!
รังแกกันเกินไปแล้ว! รังแกกันเกินไปแล้ว!
บนโลกนี้มีหญิงสาวที่ร้ายกาจเช่นนี้ด้วยหรือ!
ท่านชายโจวหกกำหมัดแน่น ใบหน้าแดงก่ำ แทบอยากจะกลืนกินหญิงสาวผู้นี้ให้รู้แล้วรู้รอด
สวีเม่าซิวกระโดดลงรถเข้ามาขวางเฉิงเจียวเหนียงไว้ในทันที ไม่มีคำพูดใด ไม่มีการปลอบโยน
มีเพียงสายตาที่มองมาและท่าทีพร้อมตั้งรับ
สาวใช้ หลี่ต้าเสาและคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจจนชะงักไป
ยังไม่จบเรื่องนี้อีกหรือ
“อย่าลืมบอกข่าวดีกับเพื่อนรักของเจ้าล่ะ” เฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ด้านหลังสวี่เม่าซิวเอ่ยขึ้น
ท่านชายโจวหกหันหลังกลับ เขายกกำปั้นชกเข้าที่ต้นไห่ถัง
เสียงกิ่งไม้หนาแตกร้าวดังขึ้นก่อนจะร่วงหล่นลงมา
สาวใช้และปั้นฉินกรีดร้อง
จังหวะที่สวีเมาซิวกำลังคิดอยู่ว่าจะเรียกสติชายหนุ่มที่กำลังบ้าคลั่งผู้นี้ดีหรือไม่ ท่ายชายโจวหกก็หันหลังเดินจากไปก่อนแล้ว
ท่านชายโจวหกเดินออกไปอย่างรีบร้อน เขาวิ่งออกไปไกลจนลืมไปว่าตนเองขี่ม้ามา
ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินสวนมาจนเกือบจะชนเข้ากับท่านชายโจวหก โชคดีที่คนข้างกายว่องไวจึงช่วยไว้ได้ทัน
“สามหาว…” เหล่าองครักษ์ตะคอกใส่ แต่ทว่าท่านชายโจวหกก็เดินออกไปไกลเสียแล้ว พริบตาเดียวชายหนุ่มก็ถูกกลืนไปกับฝูงชนบนท้องถนน เสียงผู้คนก่นด่าดังโหวกเหวกตลอดทาง
ไม่นานความวุ่นวายก็สงบลง
ท่านชายโจวหกไม่รู้ว่าตนเดินชนใครไปบ้าง ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงตะโกนต่อว่า เขากลั้นใจเดินจ้ำออกไปให้ไกล จนกระทั้งมีใครคนหนึ่งตะโกนเรียกเขา
“ชายหก เจ้าทำอะไร”
เสียงนั้นทำให้ท่านชายโจวหกหยุดชะงักในทันใด เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นท่านชายฉินสิบสามที่นั่งอยู่บนรถกำลังกวักมือเรียกเขา
“โชคดีจริงๆ ที่พบเจ้า ข้ากำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดี ข้าจะมาบอกข่าวร้ายกับเจ้า” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “เมื่อครู่ข้าบังเอิญเจอท่านแม่ของเจ้าระหว่างทาง นางถามข้าว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้าก็โกหกแก้ตัวให้เจ้าไปแล้ว แต่ดูท่าทางนางคงไม่เชื่อ”
ท่านชายโจวหกมองเขาพลางยกยิ้มเหยเก หากเขาร้องไห้ไปเสียเลยยังจะน่าดูเสียกว่า
“เจ้านี่ เอาชื่อข้าไปอ้างเรื่อยเปื่อย โกหกไม่แนบเนียน แถมยังไม่บอกข้าก่อน หากถูกจับได้ขึ้นมา ข้าจะสมน้ำหน้าให้…” ท่านชายฉินสิบสามพูดต่อพลางหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเห็นว่าสีหน้าของท่านชายโจวหกดูแปลกไป “เจ้าเป็นอะไรไป ถูกผู้ใดตีมางั้นรึ”
เขาพูดจบก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง หัวเราะได้ครู่หนึ่งก็ต้องหยุดลง ก่อนจะมองไปที่ชายหนุ่มสีหน้าพิลึกที่อยู่เบื้องหน้า
“เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ท่านชายฉินสิบสามปรับสีหน้าก่อนจะเอ่ยถาม
‘มือที่ขาดเชียวนะ ข้าต่อได้แล้ว…’
‘อย่าลืมบอกข่าวดีกับเพื่อนรักของเจ้าล่ะ…’
ก็ถูกอย่างที่ว่า นี่คือข่าวดี ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันได้ว่านางสามารถรักษาขาของท่านชายฉินได้ ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ ความหวังเดียวที่เป็นจริงได้ แต่ทว่าไม่อาจพูดออกไปได้
จะว่าไป นางจงใจให้เป็นเช่นนี้แน่ๆ นางจงใจแน่ๆ
หากไม่พูดก็อึดอัด หากพูดออกไปก็อึดอัดเช่นกัน
ท่านชายโจวหกกำมือแน่น ทั้งร่างสั่นสะท้าน
“ชายหก เจ้ายังเห็นข้าเป็นเพื่อนอยู่หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
เพื่อนหรือ…
“ชายสิบสาม หากข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าทำ เจ้าจะทำหรือไม่” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงแหบพร่า
ท่านชายสิบสามยิ้ม
“ก็ต้องดูว่าเป็นเรื่องใด ข้าใช่ว่าจะรับปากผู้ใดง่ายๆ” เขาเอ่ย
ท่านชายโจวหกยกยิ้มมุมปาก
“เจ้าไม่เป็นเพื่อนกับข้าได้หรือไม่” เขาพูดขึ้น
ท่านชายฉินชะงักไป
“อ๋อ” ชายหนุ่มเข้าใจในทันที เขามองท่านชายโจวหกแล้วยิ้ม ก่อนจะยกไม้เท้าในมือขึ้นมาฟาดเขา “เจ้าโง่ คิดเล็กคิดน้อยอยู่ได้ ถูกเฉิงเจียวเหนียงแกล้งมาอีกล่ะสิ เจ้าเนี่ยนะ หากยังไม่ยอมปล่อยวาง ก็อย่าได้ไปเสนอหน้าให้นางเห็นเลย”
ปล่อยวางหรือ จะปล่อยวางได้อย่างไร…
ท่านชายโจวหกยิ้มอย่างขมขื่น
“ชายสิบสาม นางเพิ่งรักษาคนมือขาดคนหนึ่ง” เขาพูดขึ้น
ท่านชายฉินนิ่งชะงัก สีหน้าตกตะลึง ราวกลับไม่ได้ยินคำพูดของเขา
“มือข้างหนึ่งถูกตัด…” ท่านชายโจวหกยกมือขึ้นมาเทียบ “แล้วนางก็ต่อกลับเข้าไป…”
มือที่ขาดยังต่อได้…
นับประสาอะไรกับขาที่เป๋…
ท่านชายฉินสิบสามมองเขาอย่างตกตะลึง ไม่เอ่ยคำใด
เมื่อท่านชายโจวหกวิ่งออกไป ภายในเรือนก็เงียบสงบ นอกจากสาวใช้และปั้นฉินแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เหตุใดคำพูดนั้นถึงทำให้ชายหนุ่มบ้าคลั่งได้
ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าถามออกไปเช่นกัน สวีเม่าซิวย้ำอีกครั้งว่าหากส่งหลี่ต้าเสาถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้วจะกลับมาที่นี่ ก่อนจะออกรถไปในทันที
เมื่อรถม้าวิ่งออกไป จินเกอร์ก็ปิดประตูลง บรรยากาศภายในเรือนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองสาวใช้ทั้งสอง
“พวกเจ้าคิดว่าข้าใจดำใช่หรือไม่” นางถาม
สาวใช้และปั้นฉินเพิ่งได้สติก็รีบโบกมือไม้ไปมา
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่เจ้าค่ะ นายหญิงใจดำที่ไหนกันเจ้าคะ!” พวกนางเอ่ยอย่างร้อนรน
เฉียงเจียวเหนียงเผยยิ้มบาง นางไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป
“ข้าจะเก็บกวาดห้องให้เจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นในทันใด
“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงพูด “ข้าจะนอนที่ห้องหนังสือ”
หากช่วงไหนการเงินเอื้ออำนวย นายหญิงจะพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ห้องโถงที่หลี่ต้าเสานอนพักมากว่าสามวัน นายหญิงคงไม่ยอมนอนเป็นแน่
ปั้นฉินรับคำ
“เช่นนั้นข้าย้ายของไปที่ห้องหนังสือนะเจ้าคะ” นางเอ่ย
“ข้าช่วยอีกแรง” สาวใช้พูด
สองสาวใช้ยิ้มพลางเดินนำหน้าไป พอเดินมาถึงระเบียงก็ได้ยินเสียงตึงตังจากข้างกำแพง
“เจ้านั่นอีกแล้วหรือ…” สาวใช้ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น ก่อนหันไปมอง
บนกำแพงนั้นว่างเปล่า แต่ผ่านไปเพียงไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา พอเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงกำลังมองมาจึงส่งยิ้มแล้วโบกมือให้
“เจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง” เขาเอ่ยถาม
นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ผู้ใดจะยังไม่ได้กินข้าวกัน ใครจะไปว่างงานเช่นเจ้าล่ะ…
สาวใช้ส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าห้องไป
ปั้นฉินเม้มปากยิ้มแล้วเดินตามไปเช่นกัน เสียงของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังตอบกลับว่า “กินแล้ว”
“นานๆ ข้าจะได้ออกมาสักที ข้ากลัวนักว่าจะเจ้าจากไปโดยที่ข้าไม่รู้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอย
เชื่อก็แย่แล้ว มีหรือที่เจ้าจะสืบถามไม่ได้ ถึงจะไปแล้ว เจ้าก็รู้อยู่ดีว่าไปที่ใด
สาวใช้เบ้ปาก
“ช่วงนี้ข้าคงไม่ไปไหน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า
“ก่อนเจ้าจะไป อย่าลืมบอกข้าสักคำ” เขากำชับ
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“ข้าไม่อยากให้เจ้าไปเลย…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
สาวใช้ที่อยู่ในห้องเขย่ากระบอกพู่กันในมือไปมา ส่งเสียงฮึดฮัด
“ตอนนี้ยังไม่ไป” เฉิงเจียวเหนียงพูด
ตอนนี้ยังไม่ไป ก็ยังไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ หากวันหน้าจากไปจริงๆ จะอาลัยอาวรณ์จริงหรือไม่
ก็ยังไม่รู้
เรื่องที่ยังไม่เกิด จะกังวลไปเพื่อเหตุใด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะชอบใจ เขาพยักหน้าก่อนจะยกแขนขึ้นมาเกยกำแพง
“นี่ เมื่อครู่ข้าเห็นพี่ชายเจ้าร้องไห้วิ่งออกไป” เขานึกเรื่องน่าสนุกขึ้นไปจึงเอ่ยขึ้นมา
พี่ชายหรือ
ท่านชายโจวหกงั้นรึ
ไม่ผิดแน่ ชายผู้นี้สืบหาที่มาที่ไปของนายหญิงได้ ก็ย่อมรู้ว่าท่านชายโจวหกคือใคร
แต่ว่าท่านชายโจวหกร้องไห้อย่างนั้นหรือ
ปากนายหญิงนี่ช่าง…เสียจริง
“เจ้าทุบตีเขาหรือว่าด่าเขาล่ะ เด็กน้อยน่าสงสารยิ่งนัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางยิ้ม
“น่าจะเหยียดหยามเขา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยก่อนจะหันหลังแล้วยกมือขึ้น “คำพูดแสนใจดำ การกระทำแสนโหดเหี้ยม หากใครได้ยินก็คงคิดว่าข้านั้นใจดำ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะชอบใจ
“ไม่หรอก” เขาเอ่ย “ได้ยินคำพูดใจดำจากเจ้า นับเป็นเรื่องดี”
เรื่องดีอย่างนั้นรึ
สาวใช้และปั้นฉินที่กำลังเก็บกวาดชะงักมือลง ก่อนจะหันมาสบตากันอย่างสงสัย
………………………………