พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 219 ระมัดระวัง
ท่ามกลางแสงแดดอันแผดเผาในวัสสานะฤดู ใบไม้บนต้นไม้ร่วงหล่น ร่มเงาและความเย็นสบายในสวนเริ่มจะหดหายไป
เสียงร้องของจักจั่นท่ามกลางอากาศร้อนระอุฟังดูแสบหูมากกว่าเดิม
“เร็วเข้า เร็ว!” ชายหนุ่มท่าทางคล้ายพ่อบ้านตะโกนเสียงเข้ม
เร่งให้บ่าวกลุ่มหนึ่งถือไม้วิ่งไปจับจั้กจั่นครู่ใหญ่ ภายในสวนจึงค่อยเงียบสงบลง
“เจ้าโง่!”
ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงก่นด่าของราชเลขานุการหลิวในห้องหนังสือจึงดังก้องกังวาลมากเป็นเท่าตัว
โต้วชีกุมหน้าผากตนเอง บนร่างกายเต็มไปด้วยคราบชาหกเลอะเทอะ บนพื้นมีถ้วยชากลิ้งตกอยู่หนึ่งใบ
“ท่านปู่” เขาเอ่ยด้วยเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ “ขะ ข้าอยากจะสั่งสอนพวกเขานี่นา…”
ราชเลขานุการหลิวนั่งอยู่หลังโต๊ะ สวมเสื้อคลุมผืนเก่าเรียบๆ แม้ผ่านมาหลายทศวรรษยังคงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับใบหน้าอันซูบผอมของเขาที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน ใบหน้าแสนซื่อตรงนั้น ไม่ว่าจะพบเจอผู้ใดก็มักจะยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
น่านับถือ ทั้งยังดูเข้าหาได้ง่าย
สิบปีที่แล้วเขาดั้นด้นตรากตรำสอบจอหงวนจนสำเร็จ ไต่เต้าตั้งแต่อาลักษณ์ในกรมเลขาธิการขุนนางขั้นที่เก้า จนกระทั่งในวันนี้ได้เป็นราชเลนุการหลิวเน่ยเฉวียนแห่งหออาลักษณ์ลับ ผู้ที่มักสวมอาภรณ์สีเขียว คาดเข็มขัดหัวแรดสีดำ ที่เอวห้อยถุงปลาเงิน ขุนนางผู้ส่งตัวไปปฏิบัติงานข้างนอก จิตใจฝักใฝ่ในงานราชการ เป็นที่ปรึกษาชั้นเลิศของฮ่องเต้
ตอนแรกผู้คนต่างคิดว่าเขานั้นยากจน คงไม่มีปัญญาหาเส้นสายจากภายนอกได้ จึงไม่ได้สนใจใยดีเขาเท่าไรนัก
ศิษย์สำนักเดียวกันที่ยิ้มเยาะเขาเพราะคิดว่าคงไม่อาจประสบความสำเร็จ ในวันนี้พวกเขาต่างหวาดหวั่น จนกระทั่งยิ้มให้เขาอย่างสอพลอ
ทว่าเขายังคงปฏิบัติต่อทุกคนดังเดิม ไม่หาเรื่องใคร ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยเยาะเย้ยเขาหรือรังแกเขา แน่นอนว่าต่อมาโชคชะตาของคนเหล่านั้นล้วนไม่ดีสักเท่าไหร่
เขาให้ความสนิทสนมต่อผู้น้อย เชื่อมั่นในผู้บังคับบัญชา เรียนเก่ง ลายมืองดงาม มีประสบการณ์การทำงานมาหลายสิบปี ต่อให้เป็นงานราชการที่ซับซ้อนมากเท่าไร ก็เป็นเรื่องง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากสำหรับเขา ผู้ใดหาหนังสือหรือสารใดไม่เจอ หากให้เขาเข้าไปพลิกดูเพียงครู่เดียวก็พบ คนอื่นนึกกฎหมายหรือข้อบังคับไม่ออก แต่เขากลับบอกออกมาได้ทันที ยามได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง เขามักจะอยู่คนสุดท้ายของแถวเสมอ ไม่เคยใช้อำนาจข่มเบ่งผู้ใดจนต้องบาดหมางใจกัน
พวกเจ้าไปก่อนเลย พวกเจ้าไปก่อนเลย ตอนนี้ข้าก็ดีมากแล้ว ดีมากๆ แล้วล่ะ
เขามักจะพูดเช่นนี้
คนที่ซื่อสัตย์ มีความสามารถและไม่แก่งแย่งชิงดีกับใครเช่นนี้ ผู้บังคับบัญชาคนใดจะไม่รัก ไม่ไว้วางใจและไม่อยากพึ่งพากันเล่า
แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ไม่รัก ไม่ไว้วางใจ และไม่อยากพึ่งพาเขา ทว่าคนที่มาเป็นขุนนางด้วยหัวกลวงๆ จะมาเป็นศัตรูกับผู้มีประสบการณ์และไหวพริบ คนที่ครองตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงมาหลายสิบปีอย่างเขาได้อย่างไรเล่า งานในราชสำนักนั้นละเอียดซับซ้อน มักมีข้อผิดพลาด หากโชคร้ายถูกลอบกัดลับหลังย่อมต้องจากไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สามสิบปีแห่งการเพาะบ่มอย่างทะนุถนอม ทำให้ต้นอ่อนที่บอบบางไร้ราก เติบโตเป็นต้นไม้ที่มีรากพันและกิ่งก้านสอดสลับกันไปมาอย่างอุดมสมบูรณ์
ที่มีวันนี้ได้ ราชเลนุการหลิวได้ให้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากความตั้งใจจริง
ตั้งใจทำในทุกๆ เรื่อง ตั้งใจจำสิ่งต่างๆ ตั้งใจทำงาน ตั้งใจระแวดระวัง
แม้ว่าในตระกูลจะมีทรัพย์สมบัติมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังครอบครองที่ดินกว่าครึ่งหนึ่งของบ้านเกิดแล้ว แต่ในสายตาของคนในเมืองหลวงเขายังคงเหมือนบัณฑิตผู้น้อยที่เพิ่งเข้ากรุงมาเมื่อสามสิบปีก่อน มานะบากบั่น ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างจริงใจ ทำทุกเรื่องด้วยความจริงจัง
ไม่ว่าหนึ่งปี สิบปีหรือสามสิบปีเขายังตั้งมั่นในใจดังเดิม ยามตื่นขึ้นมากลางดึก ราชเลขานุการหลิวก็มักจะชื่นชมตัวเองเสมอ เพียงแค่ตอนกลางดึกเท่านั้น เขาจะนั่งอยู่หลังม่านที่เรียงซ้อนกันหลายชั้น นับจำนวนคนโชคร้ายที่ถูกตนเองใส่ร้ายแล้วครอบครองทรัพย์สินสมบัติก่อนจะถูกขับไล่ออกไป ทั้งยังได้ภรรยาและลูกสาวของตระกูลคนพวกนั้นมาอีก เขาหัวเราะออกมาอย่างอำมหิต ทว่าเป็นเสียงหัวเราะที่ไร้เสียง
แม้จะมีม่านรัตติกาลปกคลุมยามค่ำคืน เขาก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา เขาจะสวมหน้ากากนี้จนกว่าจะก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น
เขาเชื่อว่าต้องมีสักวันหนึ่ง
คราวนี้ขุนนางฝ่ายบู๊ท้าทายอำนาจของเขา โดยทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลัง นี่คือสิ่งที่ราชเลขานุการหลิวไม่อาจทนได้
เขาจะต้องลงมือสั่งสอนคนเช่นนี้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับเหล่าคนหยิ่งผยอง ไม่ดูพละกำลังตัวเองในสมัยก่อน ได้ยินมาว่าหญิงสาวตระกูลโจวล้วนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ หากได้หยอกเย้าท้าทายคงให้ความรู้แตกต่างจากหญิงตระกูลอื่นกระมัง
ทว่าจะทำการใดก็คงต้องระแวดระวัง ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนเช่นเคย
อย่างแรกก็องสั่งสอนเจ้าคนแซ่โจวนั่นเสียก่อน แล้วลองหยั่งเชิงทิศทางลม ดูว่าผู้ใดจะช่วยเหลือเขาบ้าง จากนั้นค่อยๆ วางแผนต่อไป
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหลานบุญธรรมไร้ประโยชน์ผู้นี้จะใจร้อนโดดเข้ามาลงมือระบายความแค้นเสียก่อน
นี่คือการเผยตัวตนอย่างไม่ต้องสงสัย! สะเพร่าเกินไปแล้ว!
“สั่งสอนอะไรกันเล่า! มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำเสียมากกว่า!” ราชเลชานุการหลิวก่นด่าอย่างเดือดดาล ก่อนจะนั่งลง แล้วยกแก้วชาขึ้นมาดื่ม “คนเขามีหมอเทวดาอยู่ เพียงแค่กระดิกนิ้วก็ต่อติดได้แล้ว เจ้าทำเช่นนี้นอกจากจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ยังมีประโยชน์อะไรอีก!”
โต้วชีกระวีกระวาดเดินเข้าไปรินชา
“หมอเทวดาผู้นั้นบอกว่าจะไม่รักษาคนที่ยังไม่ใกล้ถึงฆาต วันนี้หลี่ต้าเสาเพียงแค่แขนขาดเท่านั้น ไม่ได้จะตายเสียหน่อย แต่นางกลับช่วยไว้ แสดงว่านางต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหลี่ต้าเสาเป็นแน่ ยิ่งแน่ชัดว่าเรือนไท่ผิงเป็นสมบัติส่วนตัวของตระกูลโจว” เขาเอ่ยพลางหัวเราะร้าย
มีประโยชน์อะไร ต่อติดแล้วอย่างไร สุดท้ายแล้วก็เคยถูกตัดขาดมาก่อน ตกใจแทบตาย เจ็บปวดเจียนตาย ให้เรือนไท่ผิงรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร
ชีวิตคนเราลำบากลำบน ก็เพื่อให้ได้มีลมหายใจ
ราชเลขานุการหลิวมองเขาออกในคราเดียว ก่อนจะละสายตาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
คนต่ำต้อยเช่นนี้จะเก็บไว้นานไม่ได้แล้ว มิฉะนั้นไม่ช้าก็เร็วจะทำให้เขาเหนื่อยเจียนตาย…
ราชเลขานุการหลิวกลับมายิ้มบางๆ อีกครั้ง
“จัดการเสือแล้ว ลิงอย่าเพิ่งได้ใจ! เจ้ารีบร้อนอะไร” เขาเอ่ย
“ท่านปู่” โต้วชียิ้มตาม “พวกเขาติดกับแล้ว ออกไปจากเงื้อมือของท่านปู่ไม่ได้แล้ว”
ราชเลขานุการหลิวเหล่มองพลางยิ้มเหยียด
“หากเนื้อยังไม่เข้าปาก อย่าบอกว่าเป็นของตน” เขาเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
“ท่านปู่ ท่านมองพวกเขาดีเกินไปแล้ว” โต้วชียิ้มเอ่ย “ก็แค่ตระกูลโจวจะไปเก่งกาจอะไร ตอนนั้นอัครมหาเสนาบดีพลเรือนหายังหาเหตุผลมาบั่นคอแม่ทัพขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ได้ เห็นว่ามีคนมาขอความเมตตาให้เขาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ถูกประหารอยู่ดี ทหารกล้าสิบนายยังเทียบไม่ได้กับบัณฑิตหมวกทัดดอกไม้เพียงคนเดียว ทหารต่ำทรามพวกนี้ต้องรู้จักที่ของตัวเองเสียบ้าง”
“ตระกูลโจวน่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก ทว่าหมอเทวดาผู้นั้น” ราชเลขานุการหลิวเอ่ย พลางลูบเคราราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“เด็กบ้าจากเจียงโจวน่ะหรือ!” โต้วชีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนที่คิดจะวางแผนเล่นงานตนเองคือผู้ใด โต้วชีสืบข้อมูลของทุกคนในตระกูลโจมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ท่านปู่ ท่านพูดถูกตั้งแต่แรก” เขาเขยิบเข้าไปใกล้ ก่อนจะยิ้มอย่างเบิกบานพลางเอ่ย “เจ้าคนบ้าผู้นี้เป็นคนสติไม่สมประกอบอย่างแท้จริง พบเจอคนประหลาดเช่นนี้ก็ดี จะได้มีเคล็ดวิชาของคนประหลาดไว้ในมือ”
“ว่ากันว่า คนเราฝึกฝนวิชาแพทย์กว่าสิบปีถึงจะวินิจฉัยโรคได้ แต่เหตุใดหญิงสาวอายุเพียงสิบกว่าปีถึงได้เก่งกาจเช่นนี้” ราชเลขานุการหลิวเอ่ยเสียงแผ่วเบา
สมกับเป็นเคล็ดวิชา ตระกูลโจวช่างมีเคล็ดลับเยอะเสียจริง ปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพ เต้าหู้ อืม… ถึงเวลานั้นจะเอาอันไหนดีนะ หรือจัดการตระกูลโจวให้สิ้นซาก แล้วนำทุกอย่างเอาเข้ากระเป๋าตนเอง หากเป็นเช่นนั้น เขาจะกลายเป็นดั่งเสือติดปีกอย่างไม่ต้องสงสัย
ครั้นความคิดบรรเจิดขึ้น ราชเลขานุการหลิวก็นั่งตัวตรงในทันใด
“ไม่ว่านางจะเป็นคนบ้าหรือไม่ แต่ยามนี้นางคือที่มีวิชาชุบชีวิตคนตายได้ หากทำให้ตระกูลโจวอับจนหนทาง จนนางร้อนใจยื่นข้อเสนอออกมา หากมีผู้ใดสนใจขึ้นมา เกรงว่าจะไม่ดี” เขาเอ่ย พลางหรี่ตาลง รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงตรงไปตรงมาทั้งยังแฝงความถ่อมตน “ดังนั้นคนเราต้องมีหนทางสำรองไว้ เผื่อในอนาคตจะได้มีทางออก ไม่ควรไล่ตามคนจนตรอก เราได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับนายใหญ่โจวว่าจะทำอย่างไร ดังนั้นอดทนรอให้เขากลับมาเถิด”
รอเขากลับมาหรือ ข้าย่อมมีอีกเป็นร้อยวิธี…
จะว่าไปราชเลขานุการหลิวไม่ใช่คนใจกว้างนัก เขาเกลียดการที่ได้เห็นคนที่เขาไม่ชอบเดินลอยหน้าลอยตา
เห็นแล้วรำคาญใจนัก
พอพูดจบเขาก็หันไปมองโต้วชีอีกครั้ง
ช่วงที่ผ่านมานี้โต้วชีอารมณ์ดีนัก เริ่มกลับมาทาแป้งทัดดอกไม้ ฉีดน้ำหอมจนหอมฟุ้งอีกครั้ง
“เจ้าทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อย อย่าก่อเรื่อง หากทำลายแผนของข้า ข้าจะจัดการเจ้าก่อนเป็นคนแรก”
ราชเลขานุการหลิวเอ่ยอย่างช้าๆ
ฤดูร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ทั้งยังมีผู้อาวุโสใบหน้าใจดี เอ่ยกับตนด้วยเสียงอ่อนโยน แต่โต้วชีกลับคิดก่อสงครามเย็นกับเขาอย่างอดไม่ได้
“ขอรับ ขอรับ ข้าทราบขอรับท่านปู่” เขารีบยิ้มพลางตอบ
เช้าวันใหม่อันสดใส เสียงเคาะประตูที่ประตูบ้านของเฉิงเจียวเหนียงดังชึ้น
“ท่านมาอีกแล้วหรือ” จินเกอร์มองท่านชายโจวหกที่อยู่นอกประตู พลางเอ่ยขึ้น
สวีเม่าซิวที่อยู่กลางลานบ้านมองออกมา ท่านชายโจวหกที่ยกมือขึ้นมาผลักจินเกอร์ก็มองมาทางเขาเช่นกัน
“ท่านชายโจว” สวีเม่าซิวก้มศีรษะให้เล็กน้อยพลางเอ่ย
ท่านชายโจวหกไม่ได้แยแส มุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านใน
“ท่านชายสวีสาม”
เสียงชายของหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น แฝงความอบอุ่นภายใน
สวีเม่าซิวเห็นท่านชายฉินที่เดินตามหลังท่านชายโจวหกเข้ามา ก่อนจะก้มหัวทำความเคารพอีกครั้ง
“ข้าแซ่ฉิน ท่านเรียกข้าว่าชายสิบสามก็ได้” ท่านชายฉินแนะนำตัวเอง
สวีเม่าซิวไม่ได้ตอบเขา ทว่ามองไปทางท่านชายโจวหก
“ท่านชายหก น้องสาวของข้าเหนื่อยล้ามาหลายวัน กำลังพักผ่อนอยู่ หากท่านมีธุระ ค่อยมาวันหลังเถิด” เขาเอ่ย
ระหว่างที่เขาพูดอยู่นั้นเอง สวีปั้งฉุยและฟ่านซานโฉ่วก็เดินออกมาจากห้อง ก่อนจะแยกกันเข้าไปประกบท่านชายโจวหกอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก
น้องสาวอย่างนั้นหรือ…
ท่านชายโจวหกฮึดฮัด นอกจากจะไม่หยุดเดินแล้ว กลับกันยังเดินไปตามทางเดินราวกับกำลังเบ่งอำนาจ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกันอยู่ตรงหน้า ท่านชายฉินก็กุลีกุจอตะโกนห้าม
“ท่านชายสวีสาม พวกเรามาช่วยเหลือ เรื่องคราวนี้ย่อมดีกว่า หากมีคนมาช่วยเพิ่มอีกสักคน” เขาเอ่ย
ทันทีที่เอ่ยจบ เสียงเสื้อผ้าที่ลากไปกับพื้นก็ดังขึ้น ระเบียงด้านซ้ายปรากฏร่างหญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมา
ชุดกระโปรงสีเขียวครามไร้ลวดลายยาวลากพื้น ผมดำขลับถูกมัดรวบ ในมือถือพัดเล่มหนึ่ง นางมองออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“เจ้าคิดว่ามาช่วย แล้วข้าจะรักษาขาให้เจ้าหรือ” นางเอ่ยอย่างเสียงเรียบ “เช่นนั้น คุกเข่าของร้องข้ายังจริงใจกว่า ง่ายเสียกว่า”
……………………