พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 23 เหลือทน
เรื่องเศร้าโศกของฮูหยินใหญ่เฉิงไม่ลดลง และตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ
อาการป่วยของท่านชายเฉิงสี่นับวันยิ่งแย่ลง หมอเข้าออกบ้านนับครั้งไม่ถ้วน จนสาวใช้ได้เตือนให้วางแผนจัดเตรียมงานศพไว้ล่วงหน้า
เมื่อเทียบกับเรือนรองที่มีลูกชายเพียงคนเดียวแล้ว ลูกชายทั้งสี่คนของเรือนใหญ่ก็ไม่ได้ถือว่ามากจนเกินไป กิจการของครอบครัวต้องถูกส่งต่อให้กับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นลูกของบ้านใหญ่หรือบ้านเล็กก็ตาม ตราบใดที่ใช้นามสกุลเฉิงแล้ว ล้วนเป็นลูกรักของนายใหญ่เฉิงทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยสี่ยังเป็นลูกชายคนเล็ก ทายาทโดยตรงของฮูหยินใหญ่เฉิง ซึ่งลูกคนสุดท้องล้วนเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่อยู่แล้ว
นายใหญ่แห่งตระกูลเฉิงทอดถอนใจ ฮูหยินใหญ่ก็ร้องไห้วิตกกังวล ทำเอาทั้งนายและบ่าวในตระกูลเฉิงพากันเศร้าโศกตามไปด้วย
แม้แต่แม่นางเฉิงสี่กับแม่นางเฉิงหกที่ชอบทะเลาะกันมาตลอด ทุกวันนี้ทั้งสองเลิกต่อล้อต่อเถียงกัน และหันมากังวลกับอาการของพี่ชายแทน
เพราะในตระกูลมีพี่ชายหลายคน ยามเหล่าน้องสาวแต่งออกเรือนไปก็มักจะได้เปรียบ เพราะเหล่าพี่ชายเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่คอยปกป้องพวกนางในภายภาคหน้า
“ว่ากันว่าเจอผีในสระบัว” แม่นางเฉิงหกกระซิบ
แม่นางเฉิงเจ็ดตกใจกลัวจนโผเข้ากอดแม่นางเฉิงห้า
“แม่นางเฉิงหก เจ้าบ้าหรือ อย่าหลอกให้คนอื่นกลัว” แม่นางเฉิงสี่กระซิบ
“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงป่วยกระทันหันได้ล่ะ” แม่นางเฉิงหกกระซิบ “พี่สามบอกว่า ท่านชายสี่เห็นหญิงงามอยู่ที่สระบัว เลยทำให้ป่วยแบบนี้”
หลังจากนั้นแม่นางเฉิงหกพูดต่อด้วยเสียงทุ่มต่ำ
“สระบัวจะมีหญิงงามได้อย่างไร” แม่นางเฉิงหกกระซิบ “จะเป็นอะไรไปได้ นอกเสียจากผีสาว”
“ข้าไม่อยากอยู่ที่สระบัวแล้ว!” แม่นางเฉิงเจ็ดกรีดร้องด้วยความตกใจ ร้องเรียกหาแม่นม ก่อนจะวิ่งไปร้องไห้ไป
พี่น้องในบ้านต่างตกใจกับเสียงร้องของนาง แม่นางเฉิงเจ็ดตกใจกลัวจนวิ่งหนีออกไป เสียงภายในบ้านเงียบลงชั่วขณะ บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
“ขี้ขลาดชะมัด” แม่นางเฉิงหกกล่าวพลางโบกมือ “ข้าจะไปหาท่านแม่”
หลังจากพูดจบ แม่นางเฉิงหกก็ลุกขึ้นเดินจากไป
แม่นางเฉิงสี่กับแม่นางเฉิงห้าหันมาสบตากัน
“พี่สี่ เราย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะ จะได้ช่วยกันทำบัญชีให้เสร็จเร็วขึ้น เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดท่านแม่” แม่นางเฉิงห้ากล่าว
แม่นางเฉิงสี่รีบพยักหน้า
ขณะที่แม่นางเฉิงเจ็ดย้ายออกจากสระบัวไปอยู่กับแม่ของนางที่ห้องเอ่อร์ฝาง แม่นางเฉิงหกก็ได้ตามไปอาศัยกับฮูหยินใหญ่เฉิงด้วยเช่นกัน โดยแม่นางเฉิงหกอ้างว่าจะช่วยท่านแม่ทำงานบ้าน ทางด้านแม่นางเฉิงสี่กับแม่นางเฉิงห้าสองพี่น้องก็พักอยู่ด้วยกัน ทำให้ไฟบริเวณลานบ้านสว่างไสวอยู่ทุกค่ำคืน
ข่าวลือเรื่องผีริมสระบัวแพร่กระจายไปทั่ว จนทำให้สาวใช้ไม่กล้ามาที่สระบัว สระบัวที่เคยเป็นสถานที่คลายร้อนของบรรดาสาวใช้ บัดนี้กลับยิ่งเย็นยะเยือก เต็มไปด้วยกลิ่นไอของความพิศวง
นายใหญ่เฉิงและนายรองเฉิงหนักใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาสั่งลงโทษเหล่าสาวใช้ที่ปล่อยข่าวลือ ทั้งสองต่างรู้ดีว่าการหยุดข่าวลือนั้นช่างยากเหลือเกินแต่ก็พอทำได้ หนึ่งคือให้เหล่าลูกสาวย้ายกลับมาใช้ชีวิตที่สระบัวเหมือนเดิม และสองคือนายน้อยเฉิงสี่ตองหายป่วยโดยเร็ว
ข้อแรกแม้นายท่านทั้งสองจะบังคับขู่เข็นอย่างไร ลูกสาวทั้งหลายก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย รวมถึงเหล่าภรรยาเองก็ไม่ยอมให้กลับ ข้อหลังยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากจะหาหมอที่เก่งกว่านี้ได้
“นายหญิงเจ้าคะ ทุกคนต่างบอกว่าที่นี่มีผีสิง”
ปั้นฉินประคองเฉิงเจียวเหนียงเดินไปยังสระบัวอย่างระมัดระวัง นายหันซ้ายมองขวาตลอดเวลา หากจะบอกว่าปั้นฉินประคองเฉิงเจียวเหนียง เรียกว่าหลบอยู่หลังเฉิงเจียวเหนียงน่าจะเหมาะกว่า
“พวกเราอย่าตกปลาเลย” “นายหญิงไม่กลัวหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินกล่าว
“กลัวอะไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม “ผีต้องกลัวคนสิ”
“เหตุใดนายหญิงถึงคิดเช่นนั้น” ปั้นฉินถามต่อ
เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง
ปั้นฉินรู้ดีว่านายหญิงกำลังจะพูด จึงตั้งใจรอฟัง
“ไม่พูดดีกว่า เรื่องมันวุ่นวาย” เฉิงเจียวเหนียงตอบกลับปั้นฉิน
ปั้นฉินเบะปาก
“นายหญิงคิดว่าข้าโง่เกินไป จึงไม่อยากเล่าให้ฟัง” ปั้นฉินกล่าว
ทว่าสองประโยคนี้กลับทำให้ปั้นฉินโล่งใจและกังวลน้อยลง ปั้นฉินเดินเร็วขึ้นแล้วชี้ไปทางก้อนหินอย่างมีความสุข
“นายหญิง เบ็ดตกปลาของพวกเรายังอยู่ที่นี่!” ปั้นฉินร้องตระโกนด้วยความดีใจ พร้อมกับวิ่งนำไปก่อน
เฉิงเจียวเหนียงเดินตามไปอย่างช้าๆ พร้อมกับมองท่าทางตื่นตระหนกของปั้นฉินที่กำลังพูดอยู่
“ก็ไม่นะ” “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่า ไม่พูด ก็ดีเหมือนกัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวอย่างช้าๆ
พูดแล้วเข้าใจ ไม่พูดก็เข้าใจเหมือนกัน ฉะนั้น ข้าจะพูดหรือไม่พูด มีค่าเท่ากัน
เฉิงเจียวเหนียงถือคันเบ็ด นางนั่งลงบนก้อนหินแล้วมองดูน้ำที่กระเพื่อมจนนิ่งสงบ
ในความทรงจำอันเลือนลางนั้น ดูเหมือนว่าเฉิงเจียวเหนียงจะเป็นคนช่างพูด ช่างเจรจา แต่ความเป็นจริงเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น เฉิงเจียวเหนียงดูเหมือนไม่มีความสุขเลย นางพยามยามจะรื้อฟื้นความทรงจำ แต่ภายในใจกลับรู้สึกขมขื่น
“นายหญิง พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” ปั้นฉินที่กำลังเล่นดอกไม้และกิ่งไม้เอ่ยขึ้น พร้อมกับใช้มือบังแสงแดดที่ส่องตาอยู่
เฉิงเจียวเหนียงรู้สึกถึงความแสบร้อนบนผิวหนัง นางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาบังแสงแดดเล็กน้อย
มีคนบอกว่าผีกลัวแสงแดด แล้วอย่างนางจะเรียกว่าผีหรือไม่?
ทันใดนั้นแสงอาทิตย์ก็ถูกเมฆบดบัง
“นายหญิง ใส่มี่หลี เถอะเจ้าคะ” ปั้นฉินกล่าวพร้อมกับหยิบมี่หลีที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาสวมใส่ให้กับเฉิงเจียวเหนียง
แม้ว่าจะยังคงกลัวแสงแดด แต่เฉิงเจียวเหนียงก็ใช้เวลาอยู่ข้างนอกมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าถือเป็นสัญญาณดีที่บ่งบอกว่าร่างกายของนางดีขึ้นทุกวัน
“อืม” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว พร้อมกับตกปลาต่อ
สระบัวเงียบสงบกว่าแต่ก่อนนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครกล้าเดินผ่านเลย
เมื่อสาวใช้อายุราวสิบสี่สิบห้าปีนางนั้นเดินถึงมุมเลี้ยวด้านหน้า ก็ดูเหมือนว่าจะไม่กล้าเดินต่อ นางวางกระเป๋าในมือลงแล้วคุกเข่า
“ท่านชาย…ได้โปรด…ปล่อยข้าไป”
สาวใช้ตัวสั่นกำลังพยายามจุดกระดาษสีแดง แต่ด้วยความกลัวสุดขีด ยิ่งอยากจุดไฟให้ติดมากเท่าใด ไฟกลับยิ่งจุดไม่ติดมากเท่านั้น ตอนนี้สาวใช้ยิ่งรู้สึกว่าที่แห่งนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ไฟจุดไม่ติดอยู่แบบนี้หลายรอบ สาวใช้หวาดกลัวจบแทบจะร้องไห้ออกมา
“เจ้าทำอะไรน่ะ”
เสียงดังขึ้นในระหว่างที่สาวใช้กำลังคุกเข่าอยู่
สาวใช้เงยศีรษะขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว สิ่งแรกที่นางเห็นคือเงาดำของคน แถมในมือนั้นถือก้านไม้อยู่อีกด้วย
“ผี!” สาวใช้กรีดร้องด้วยความตกใจ ใจอยากวิ่งหนีออกไปให้เร็วที่สุดแต่กลับทำไม่ได้ เนื้อตัวของนางสั่นเทิ้มทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่
ปั้นฉินเองก็ตกใจจนกรีดร้องออกมาพร้อมสวมกอดเฉิงเจียวเหนียง
“ผี!” ปั้นฉินตะโกนเช่นกัน โดยไม่มองรอบกายใดๆ ทั้งสิน
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือไปตบปั้นฉินเบาๆ แล้วชี้มาที่ตัวเอง
ปั้นฉินถึงบางอ้อ
ปรากฎว่าสาวใช้กลัวเฉิงเจียวเหนียงที่สวมมี่หลีอยู่นี่เอง
“เจ้าทำเอาพวกข้าตกใจแทบตาย!” ปั้นฉินกระโดดพร้อมกับตะโกน “เหตุใดถึงขวัญอ่อนเช่นนี้”
ปั้นฉินลืมไปเลยว่าตัวเองก็กลัวเช่นกัน กลัวจนเข้าไปกอดเฉิงเจียวเหนียง
สาวใช้เงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ มองเห็นสาวใช้ร่างใหญ่พอๆ กับตน ซึ่งเป็นคนเป็นๆ ยังมีชีวิตอยู่
นางถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนมองอย่างตั้งใจถึงได้พบว่าเงาดำนั้นคือคนที่สวมมี่หลีอยู่
“พวกเจ้าเป็นใครกัน! จงใจมาหลอกให้กลัวหรือ!” สาวใช้ตะโกนกลับ ทั้งโกรธ ทั้งกลัว น้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ ความรู้สึกปนเปกันไปหมด
“ข้ากับนายหญิงมาตกปลา เจ้าวิ่งออกมากระทันหันแบบนี้ น่าตกใจยิ่งกว่า” ปั้นฉินกล่าว
นายหญิง?
นายหญิงทั้งหลาย ต่างไม่กล้าออกมาเที่ยวเล่นที่นี่ ฉะนั้นนายหญิงท่านนี้คือ…
“อ๋อ คือคนบ้าคนนั้นนี่เอง!” สาวใช้ตะโกนขึ้น
“เจ้าสิที่บ้า!” ปั้นฉินโต้กลับในทันที
ในฐานะที่อดีตเคยเป็นสาวใช้ประจำกายของท่านชายสี่ นางตั้งใจจะสั่งสอนปั้นฉิน สาวใช้ไร้มารยาทผู้นี้สักหน่อย ทว่าเห็นแก่ท่านชายสี่ที่จะอยู่ได้อีกไม่นาน หากต้องตายจากโลกนี้ไป เข่นนั้นเป็นคนบ้าไม่ดีกว่าหรือ
พอนึกถึงตัวเองที่ตามปรนนิบัติรับใช้ท่านชายสี่ก็ตั้งหลายปี หากจู่ๆ ท่านสียชีวิตขึ้นมา สาวใช้เหล่านี้เองก็ยังไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเองด้วยซ้ำว่าจะถูกส่งตัวไปที่ไหน คุ้นเคยแต่งานสบาย ปรนนิบัติดูแลเจ้านาย ใครจะทนทำงานที่ต้องใช้แต่แรงงานได้เล่า
ดูนางบ่าวเบื้องหน้าผู้นี้ แม้ว่าจะตามปรนนิบัติคนบ้าน แต่อย่างน้อยคนบ้าก็มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขับไล่ออกไปเมื่อไหร่
สาวใช้ร้องไห้ออกมา
ปั้นฉินตกใจเล็กน้อย ข้าดุจนนางร้องไห้เลยหรือ
“เจ้าจะร้องไห้ไปทำไม หยุดร้องได้แล้ว” ปั้นฉินรีบพูดขึ้นมา
สาวใช้ร้องไห้เสียงดังสนั่น ราวกับร้องออกมาให้หมด
ปั้นฉินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีจึงหันหน้ามามองเฉิงเจียวเหนียง เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกมาเปิดมี่หลีขึ้นแล้วจ้องมองสาวใช้ที่กำลังร้องไห้อยู่
“ปัญหาการขาดแคลนอาหารของพวกเรามีทางออกแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่ปั้นฉิน พร้อมกับกระซิบเบาๆ
……………………………………………………………