พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 231 พูดคุยอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อแสงท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ณ เรือนตระกูลเรือนหลิว ในห้องอันเงียบสงบของนั้นก็มีเสียงร้องอย่างดีใจดังขึ้น
“นายท่านฟื้นแล้ว!”
เหล่าสาวใช้ต่างตะโกนขึ้น บรรดาญาติที่อยู่ข้างๆ ก็กรูกันเข้ามาด้วยความปิติ
แม้นายหญิงเฉิงจะไม่ได้รักษา แต่ก็เตือนไว้ว่า อาการป่วยนี้หากฟื้นขึ้นมายิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งมีความหวังที่จะรักษาให้หายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นทุกคนจึงได้เชิญหมอหลวงมาอีกครั้ง
หลังจากทำการรักษาอยู่พักใหญ่ ราชเลขาหลิวก็ฟื้นขึ้นมาจริงๆ
ราชเลขาหลิวที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้น สายตาพร่ามัว เขาเหมือนอยากจะหันหน้าแต่กลับขยับไม่ได้
คนที่เข้ามามุงล้อมนั้นต่างก็จิตใจห่อเหี่ยว
ดูเหมือนว่าอาการป่วยไม่ได้ดีขึ้นเลย…
“นายท่าน นายท่าน ท่านยังจำข้าได้หรือไม่” หญิงในเรือนต่างก็เข้ามาล้อมด้วยน้ำตา
ราชเลขาหลิวสายตาพร่ามัว เนื้อตัวสั่นเทา ริมฝีปากสั่นเครือ เหมือนอยากจะพูด แต่ก็พูดไม่ออก
“หมอหลวงหลี่”
หมอหลวงที่พักอยู่ในเรือนตระกูลหลิวได้ยินเสียงจากข้างห้อง ก่อนจะถูกเหล่าญาติผู้ป่วยล้อมไว้ในทันใด
“นายท่านของเราไร้หนทางรักษาแล้วหรือ” พวกเขาพากันตะโกนออกมา
เดิมทีหากบอกว่ารักษาไม่ได้คนฟังคงเจ็บปวดจนขาดใจ แต่ในเวลานี้คนที่ตะโกนออกมากลับมีเฝ้าคอยด้วยความยินดี
โลกใบนี้ช่างประหลาดนัก!
หมอหลวงหลี่หัวแทบทิ่ม หน้าดำคร่ำเครียด
สารเลวสิ้นดี ที่แท้เจ้าคนพวกนี้ก็เชิญเขามาเพื่อยินคำนี้เองหรือ
แล้วจะได้แบกไปหานายหญิงหมอเทวดาผู้นั้น!
“รักษาไม่ได้แล้ว!” หมอหลวงหลี่ตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป “พวกเจ้าอยากจะไปหาใครรักษาให้ก็ไปเถิด!”
หากเป็นที่อื่นเวลาอื่น คนทั้งครอบครัวก็คงจะกล่าวขอโทษอย่างหวาดหวั่นแล้วรั้งไว้ไม่ให้ไป แต่…
“เร็วเข้า เร็วเข้า รีบแบกนายท่านไปหานายหญิงเฉิงเร็วเข้า!”
ในห้องโกลาหลวุ่นวาย ผู้คนเดินขวักไขว่วุ่นวายเบียดเสียดกันไปหมด ผ่านไปสักพักจึงจะสงบลง
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์”
บ่าวหน้าประตูห้องรีบหอบกล่องยาออกมายืนมองหาอาจารย์ของตน ก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากใต้โต๊ะเตี้ยข้างฉากกั้นแล้วพยุงโต๊ะเตี้ยไว้ด้วยมืออันสั่นเทา
“ท่านอาจารย์!” บ่าวเด็กติดตามรีบวิ่งเข้าไป มองดูอาจารย์ที่ถูกเบียดเสียดจนลื่นไถลไป ปิ่นบนหัวของเขาหลุดออก ผมขาวโพลนสยายออกมา บ่าวน้อยนิ่งตะลึงจนลืมว่าต้องเข้าไปช่วยพยุง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา
“เจ้าศิษย์สารเลว!” หมอหลวงหลี่ด่าอย่างโมโห
บ่าวเด็กติดตามจึงได้รีบยื่นมือไปพยุงตัวแล้วใช้แรงดึงเขาขึ้นมา
“อาจารย์ เรายังต้องไปอยู่หรือไม่” เขาถาม
“ไป!” หมอหลวงหลี่ตะโกนออกมา แล้วเดินออกไปด้วยขาอันสั่นเทา “ข้าจะไปฟ้องร้องคนตระกูลหลิว เหยียดหยามข้า! เหยียดหยามข้า! ข้าจะไปออกจากการเป็นขุนนาง ถอดชุดขุนนางนี้ออกไป แล้วกลับบ้านไปทำนาเสีย!”
สะพานอวี้ไต้ในเวลานี้ เฉิงเจียวเหนียงเพิ่งจะกินข้าวเสร็จ มองดูราชเลขาหลิวที่ถูกหามเข้ามา
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าข้ารักษาไม่ได้” นางเอ่ย
“นายหญิงเฉิง นายหญิงเฉิง ขอร้องล่ะ หมอหลวงหลี่บอกแล้วว่ารักษาไม่ได้” คนตระกูลหลิวร่ำไห้ขอร้อง
“พวกท่านคิดมากไปแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เขาไม่ตายหรอก”
คนตระกูลหลิวสีหน้าเศร้าหมอง
เมื่อได้ยินว่ารักษาไม่ได้แล้วก็ปลื้มปิติดีใจ แต่พอได้ยินว่าไม่ตายหรอก กลับเจ็บปวดแทบขาดใจ
โลกนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น สายตาของราชเลขาหลิวบนไม้กระดานก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
นายหญิงเฉิง นายหญิงเฉิง ขอร้องท่านช่วยชีวิตข้าด้วย…
เสียงพูดนั้นลอยมาเข้าหู
เกิดอะไรขึ้น เกิดเรื่องอะไรขึ้น
นายหญิงเฉิง…
นายหญิงเฉิง!
“ข้าก็หวังว่าราชเลขาหลิวจะอาการดีขึ้น คนดีอย่างใต้เท้าหลิวนี้ ข้าก็อยากพึ่งพิงเสียหน่อย”
เสียงหญิงสาวอันแหบพร่าลอยเข้าในหู
ราชเลขาหลิวหันหน้ามาด้วยอาการสั่นเทา มองดูหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
หญิงสาวผู้นั้นเหมือนได้ยินความเคลื่อนไหวของเขา จึงหันหน้ามา
ราชเลขาหลิวน่าจะเคยเห็นรูปลักษณ์หญิงผู้นี้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
เสื้อคลุมและกระโปรงสีดำ ผมดกดำถูกรวบไว้อยู่ด้านหลัง ใบหน้างดงามอ่อนช้อย นางคือหญิงงามคนหนึ่ง หญิงงามที่งดงามยิ่งนัก ตอนแรกเขาก็คิดแต่จะเอาทรัพย์สิน ไม่ได้สนใจตัวคน ราชเลขาหลิวเป็นคนพอเพียงไม่โลภ แต่เวลานี้มาคิดพิจารณาดูอีกที ก็รู้สึกว่าเมื่อได้ทรัพย์สินมาแล้ว ตัวคนก็น่าจะรั้งเอาไว้ด้วย
เพียงแต่อาจจะ…
หญิงงามมองดูเขาไม่ได้ละสายตา ดวงตาคู่นั้นช่างกลมโตและเป็นประกาย นัยน์ตาดำเข้มเหมือนหนองน้ำลึก
ทว่าแววตาแสนเศร้ายิ่งนัก
“กว่าข้าจะมีที่ยืนในเมืองหลวง ข้าไม่อยากให้มันสลายหายไปเช่นนี้” หญิงสาวเอ่ยอย่างช้าๆ “ใต้เท้าหลิว ก็รู้อยู่แก่ใจใช่หรือไม่”
กว่าจะมีที่ยืน ไม่อยากถูกแย่งไป หากจะทำลายข้า ข้าก็จะทำลายเจ้าก่อน
นางนี่เอง! นางนี่เอง!
มิน่าเขาถึงได้รู้สึกแปลกๆ แต่แรก เขาก็ว่าเรื่องมันแปลกๆ!
เรื่องไม่ชอบมาพากลจริงๆ ดั่งที่คิดไว้ แต่เขากลับละเลยเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นหญิงสาว เป็นคนสติไม่สมประกอบ!
เด็กบ้าแห่งเจียงโจว!
“เด็กบ้า…เจียงโจว…”
ราชเลขาหลิวตะโกนร้องอยู่ในใจ แต่เมื่อเอ่ยออกมากลับเป็นเพียงคำพูดพึมพำ
“ดูสิ ใต้เท้าพูดได้แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย ยังคงมองดูราชเลขาหลิวอยู่ “อาการป่วยของใต้เท้าไม่ถึงตายหรอก เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี”
เป็นเรื่องดีหรือ
ราชเลขาหลิวอยากจะลุกขึ้น อยากร้องตะโกน อยากด่า เขาอยากระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่
แต่ว่าเขากลับพบว่าตอนนี้ตนเองขยับตัวไม่ได้เลย
ความกลัวความโกรธและความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามาแทบจะทำให้เขาขาดใจไปชั่วขณะ
“สังหารนาง!” เขาชี้เฉิงเจียวเหนียงด้วยมืออันสั่นเทาได้ในที่สุด ปากก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันคลุมเครือ
ครั้งนี้คนที่อยู่ใกล้นั้นต่างก็ได้ยินกันแล้ว
คนตระกูลหลิวสีหน้ากระอักกระอ่วน เฉิงเจียวเหนียงกลับสีหน้านิ่งเฉยดังเดิม ก่อนจะขยับตัวยืดขึ้นอย่างช้าๆ
“นายท่านป่วยจนเลอะเลือนไปหมด” คนตระกูลหลิวรีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “นายหญิงเฉิงรักษาไม่ได้จริงหรือ ต้องการเงินเท่าไรก็ได้”
“หากสามารถหาเงินได้ ข้าจะไม่เอาหรือ” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าแล้วละสายตาไป มองดูคนในบ้านตระกูลหลิวแล้วก้มหน้าคำนับ “เพียงแต่ โชคชะตาไม่มีเวลา ฝืนไม่ได้”
คนตระกูลหลิวสีหน้าสิ้นหวัง แต่ก็จนใจเช่นกัน
“แต่ว่า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วหันหน้าไปมองราชเลขาหลิว “แม้ข้าจะรักษาไม่เป็น แต่ก็พอจะรู้มาบ้างว่า อาการป่วยเช่นนี้จะต้องฟื้นฟูบำบัดจิต ทำให้อารมณ์เบิกบานอยู่เสมอ จึงจะหายเร็วขึ้น มิเช่นนั้น…”
เมื่อพูดประโยคนี้ นางก็ส่ายหน้า
“อาการป่วยก็จะร้ายแรงยิ่งขึ้น” นางเอ่ย
ทำให้อารมณ์เบิกบานอยู่เสมอหรือ
ราชเลขาหลิวมองดูหญิงผู้นี้ คำด่าทอสาปแช่งที่ออกมาจากปากยิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ สุดท้ายมือที่ยกขึ้นก็ร่วงลงก่อนใต้เท้าหลิวจะสลบไป
เพียงเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ราชเลขาหลิวที่แทบไม่มีแม้แต่อาการหวัดอาการไข้กลับสลบไปถึงสองครั้ง แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ครั้งก่อนเป็นเพราะความดีใจ ครั้งนี้เป็นเพราะความโมโห
ในห้องโถงวุ่นวายขึ้นมาทันที เพียงแต่ไม่มีความเศร้าโศกใด
“นายหญิงเฉิง! ครั้งนี้จะตายแล้วใช่หรือไม่ รักษาได้หรือยัง”
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นก็มีเสียงคนจำนวนไม่น้อยตะโกนดังขึ้น ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความปลื้มปิติดีใจ
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
จินเกอร์ในเรือนขยี้จมูกไปมาอย่างอดไม่ได้ เมืองหลวงช่างแปลกประหลาดนัก คงต้องเรียนรู้อีกมาก
นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมา
“ทำให้อารมณ์เบิกบานอยู่เสมอหรือ” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วหัวเราะขึ้นอีก “คำพูดนี้ช่างโหดร้ายนัก เกินไปจริงๆ! อดความโกรธไว้ ทนความแค้นไว้ กลายเป็นคนพิการ จะเบิกบานได้อย่างไรเล่า เทพเทวดาก็ทำไม่ได้หรอก!”
เฉินเซ่าก็หัวเราะตามเช่นกัน เพียงแต่หัวเราะอย่างฝืนๆ และสีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
“แต่ก็น่าสงสารนัก” เขาเอ่ยอย่างลังเล “คนดีๆ คนหนึ่ง จู่ๆ ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หากป่วยอย่างช้าๆ ยังจะดีกว่า จะได้เตรียมใจทัน แบบนี้มันช่าง…ช่าง…”
คนเราช่างบอบบางนัก ดูเหมือนชีวิตจะสมปรารถนาราบรื่นทุกอย่าง ไม่มีอุปสรรคใดขวางกั้น แต่เมื่อใช้ปลายนิ้วสัมผัสแผ่วเบา คนเราก็แตกร้าวไปเหมือนตุ๊กตาดินปั้นได้
นิ้วมือนั้น เหมือนดังชะตาที่ไม่อาจเข้าใจได้ ไม่รู้ว่าจะมาจิ้มบนตัวเราเมื่อไร ความไม่รู้ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด
หญิงสาวผู้นี้ นับวันจะยิ่งเหมือนกับนิ้วที่กำหนดชะตาผู้อื่นแล้ว
เพียงนางสัมผัสเพียงแผ่วเบา ตั้งแต่เจียงโจวจนถึงเมืองหลวง มีคนมากมายเท่าไรที่เปลี่ยนความเป็นความตายในชั่วพริบตา
คนเช่นนี้ ไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือ
……………….