พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 270 พูดมา
คนต่างเมืองมากมายเข้าออกเมืองหลวงทุกวัน
เหล่าชายหนุ่มเงยหน้ามองชายชราร่างผอมในชุดเสื้อผ้าขาดวิ่น ในมือของเขาถือป้ายตราสัญลักษณ์อันหนึ่ง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นหมอดู
“สะพานเถียหม่าไปทางทิศตะวันตก” มีคนพูดขึ้นทันใดพร้อมกับชี้นิ้วอย่างขอไปที
สะพานเถียหม่าเป็นสถานที่ที่คนเหล่านั้นรวมตัวกัน
ชายชรารีบกล่าวขอบคุณ แต่แทนที่จะก้าวเดินออกไปแต่กลับจ้องมองพวกเขา
“ท่านทั้งหลายสนใจทำนายดวงชะตาหรือไม่” เขาถาม “ข้าไม่รับเงิน ถือว่ามีวาสนาต่อกันก็แล้วกัน”
ชายหลายคนยิ้มอย่างเหยียดหยามแล้วมองไปที่ชายชรา
หากเป็นยามอื่น เซี่ยงชีคงจะไล่ชายชราสิบแปดมงกุฎออกไปเป็นเสียงเดียวกับพวกเขาแล้ว แต่ยามนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจถึงได้เต้นรัวนัก จนยกมือขึ้นมากุมอกอย่างไม่รู้ตัว
“หากเป็นเช่นนั้น ก็ทำนายให้ข้าที” เขายิ้มพลางอธิบายกับคนรอบข้าง “ช่วงนี้ดวงข้าแย่นัก ไม่รู้เมื่อไหร่ดวงจะเปลี่ยนเสียที”
เมื่อพูดถึงดวงชะตา ทุกคนต่างเข้าใจ ก่อนจะหัวเราะลั่นไปตามๆ กัน จากนั้นชายชราก็เริ่มทำนายดวงทีละคน
ชายชรายิ้มและดูโหงวเฮ้งให้ทีละคน พูดทั้งเรื่องจริงเรื่องเท็จปะปนกันไป สรุปได้ว่าเป็นคำพูดประจบสอพลอทั้งหมด พอเขาพูดเพียงเท่านี้ หลายคนก็ได้แต่ฟัง ก่อนจะถึงตาของเซี่ยงชีอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่เซี่ยงชี ชายชราที่เดิมทีกำลังหัวเราะชอบใจกลับหุบยิ้มในทันที
“พ่อหนุ่ม เกรงว่าจะไม่ดีนะ” เขาเอ่ย
“หมายความว่าช่วงนี้ดวงจะยังไม่เปลี่ยนหรือ” คนข้างๆ ยิ้มถาม
เซี่ยงชีหัวเราะแห้งตาม
“เห็นท่าจะไม่ดี ไม่ดี จุดหว่างคิ้วเปลี่ยนเป็นสีดำ ต้องมีหายนะเกิดขึ้นเป็นแน่” ชายชราพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เซี่ยงชีมีเรื่องกังวลใจอยู่แล้ว ชักสีหน้าแล้วถุยออกมาหลังจากได้ยินคำพูดนั้น
“ไสหัวไปซะ” เขาตะคอก “โชคร้ายเสียจริง ”
คนอื่นก็พากันหัวเราะแล้วรีบไล่เขาออกไป
“พ่อหนุ่ม ข้าคือซินแส พูดตามความจริง มิได้พูดเท็จอย่างแน่นอน พ่อหนุ่มเชื่อข้าเถิด” ชายชราพูดต่อ และโบกมือไปมา “ขอเพียงสิบเหรียญเท่านั้น… ก็จะช่วยท่านแก้หายนะนั้น มิเช่นนั้นแล้ว เกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่…”
ยิ่งพูดยิ่งก็ยิ่งเหมือนจะยิ่งติดลมบน!
“ไสหัวไปซะ ถ้ายังไม่ไสหัวไป จะจับเจ้าส่งให้กับทางการ” เซี่ยงชีจ้องหน้าตะโกน แล้วลุกขึ้นยืน
ชายชรารีบถือป้ายวิ่งออกไป แต่ยังคงยืนดูจากระยะไกล
“ซวยจริงๆ ” เซี่ยงชีพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“ใครให้เจ้ารั้งเขาไว้เล่า คนหลอกลวงพวกนี้ชอบเอาเปรียบคนมากที่สุด ใครเดือดร้อน ก็จะเอาเปรียบคนนั้น” สหายเอ่ยพลางหัวเราะ
“ช่วงนี้เจ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือ” มีคนถามขึ้นด้วยความสงสัย
เซี่ยงชีสาปแช่งชายผู้หลอกลวงนั้นในใจไปหลายคำ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้ม
“ย่อมมีเรื่องให้ไม่สบายใจเป็นธรรมดา ข้าก็คือต้นตอของปัญหานี้เอง” เขาพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น
แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ก็ต้องลำบากเช่นนี้สินะ
ทุกคนยิ้มจากนั้นไม่ได้พูดคำใดต่อ
เซี่ยงชีลุกขึ้นยืน
“เป็นเพราะข้าปากมากเอง” เขาเอ่ย “นำเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเข้ามา พาลทำให้จิตใจเศร้าหมอง เห็นทีจะไม่ได้การณ์แล้ว ข้าคงต้องไปเล่นพนันสักสองตา ไล่ความซวยออกไปเสียหน่อย”
สหายทั้งหลายหัวเราะลั่น ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อไม่ก็คำพลางมองเซี่ยงชีเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ
พอปลีกตัวออกจากเพื่อนฝูง เซี่ยงชีชักสีหน้าทันที เขามองเห็นซินแสเฒ่าผู้นั้นที่เล่นหูเล่นตาใส่เขาอยู่ไม่ไกล ยิ่งทำให้เซี่ยงชีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในทันใด
“ไอ้แก่ตายยากนัก…” เขาดึงแขนเสื้อแล้วก้าวเดินออกไป
เมื่อชายชราเห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งหนีไป
เซี่ยงชีไล่ตามไปไม่กี่ก้าวก็หยุดตาม ก่อนจะสบถความโกรธออกมา ปั้นหน้าบึ้งตึงแล้วหันหลังเดินก้าวออกไป
ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมีแต่เรื่องกังวลใจทั้งนั้น…
สู้ออกไปซ่อนตัวข้างนอกดีกว่า…
นี่เป็นความคิดที่ดี!
เซี่ยงชีเร่งฝีเท้าทันที แต่ทันใดนั้นก็ถูกตบที่ไหล่
“เซี่ยงชี ตามพวกข้ามาที”
เสียงพูดของชายหนุ่มดังขึ้น
ทั้งน้ำเสียงและการกระทำนั้นทำเอาเซี่ยงชีตกใจจบแทบเข่าอ่อน เขามองเห็นชายแปลกหน้าหนึ่งคน ข้างกายเขายังมีชายหนุ่มอีกสองสามคน ทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเจ้าเป็นใคร จะทำอะไร” เซี่ยงชีตะโกนด้วยความตกใจ
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกผู้ชายหลายคนกุมตัวแล้วพาขึ้นรถม้าทันที
เซี่ยงชีตกใจกลัวสุดขีด
แย่แล้ว แย่แล้ว
หรือว่าตาแก่คนนั้นไม่ได้พูดโกหก เขาถึงวาระแล้วจริงๆ …
“กลางวันแสกๆ เช่นนี้ พวกเจ้าจะทำอะไร! ช่วยด้วย…”
รถม้าแล่นผ่านใจกลางเมืองพร้อมกับเสียงร้องตะโกน ปล่อยให้คนเดินผ่านไปมาแถวซุบซิบด้วยความประหลาดใจ
เซี่ยงชีตกใจแทบตาย รถม้าก็ได้หยุดลง เซี่ยงชีถูกผลักลงจากรถม้าและมองบริเวณโดยรอบอย่างตกตะลึง
นี่มันไม่ใช่ที่รกร้างลับตาคนอย่างที่เขาจินตนาการ แต่เป็นตรอกถนนที่มีคนเดินพลุกพล่าน และเขาก็เคยมาที่นี่เช่นกัน
“แขกผู้มีเกียรติ เชิญทางนี้…”
บ่าวหน้าร้านกล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น ยามนี้เป็นเวลามื้ออาหาร แม้ว่าหน้าประตูจะไม่ค่อยคึกคัก แต่ก็มีคนเข้าออกเป็นระยะระยะ
ธงของเรือนนางฟ้าโบกสะบัดตามแรงลม
“เข้าไป”
ชายผู้นั้นผลักเขาเข้าไปแล้วเอ่ย
เขาเดินโซเซ หลบสายตามองต่ำ
“พวกเจ้าจะทำอะไร”
“จับคนกลางวันแสกๆ ไม่เกรงกลัวกฎหมายกันเลยหรือ”
ขณะที่ตะโกนถามเสียงดังลั่น เซี่ยงชีก็ถูกผลักเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
ภายในมีคนสามคนนั่งอยู่ แต่สายตาเขากลับมองไปที่หญิงสาวผู้หนึ่งตั้งแต่แรกเห็น
“เจ้า!” เซี่ยงชีตะโกน
เขารู้ในใจอยู่แต่แรกแล้ว จึงไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
จะกลัวอะไร ทุกคนต่างพูดกันว่าครั้งนี้เรือนไท่ผิงไม่รอดแน่
“แม่นาง เจ้าคิดจะทำอะไร” เขาเอ่ยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขา
“ที่แท้เจ้าเป็นคนทำ” นางเอ่ย
“ข้าทำอะไร” เซี่ยงชียังคงพูดด้วยเสียงเดือดดาล
แต่กลับยิ้มเยาะในใจ
สาวน้อยจะหลอกถามข้าอย่างนั้นหรือ เจ้ายังอ่อนหัดอยู่มาก
“ใครสั่งให้เจ้าทำ” เฉิงเจียวเหนียงถามอีกครั้ง
เซี่ยงชียิ่งหัวเราะเยาะในใจ
นางคงมาสืบถามเบาะแสของศัตรูสินะ คงคิดว่ามีคนคิดร้ายต่อเรือนไท่ผิงละสิท่า
ที่จับเขามาก็แค่สุ่มจับมาถามดูสินะ
“แม่นาง เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่” แม้เซี่ยงชีจะหายโกรธแล้วแต่ความอดทนก็หมดลงเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าเจ้าไม่พูด ข้าก็จะทำอะไรเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางทุบโต๊ะ
เซี่ยงชีมองไปก็เห็นกระดาษหลายแผ่นวางอยู่บนนั้น
“เหล่านี้คือจดหมายร้องเรียนนิรนามที่ได้รับมาจากทางการ และนี่คือจดหมายที่เจ้าเขียนเมื่อเช้านี้…” เฉิงเจียวเหนียงพูด ผลักกระดาษบนโต๊ะไปข้างหน้า “เจ้าว่าข้าพูดถึงอะไร”
เซี่ยงชีแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่
น่าขันสิ้นดี! เถ้าแก่อะไรกัน!
เถ้าแก่ของเรือนไท่ผิงและเรือนนางฟ้ายุ่งจนบ้าไปแล้วหรือ ปล่อยให้หญิงสาวผู้นี้ออกมาวุ่นวายเช่นนี้!
ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังของเรือนไท่ผิงจะออกมาเคลื่อนไหวภายในไม่กี่วันนี้จริงๆ เสียแล้ว
“แม่นางน้อย ข้าไม่รู้จริงๆ ” เซี่ยงชีพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองไปทางโต๊ะ “แต่ว่าแม่นางน้อย ซ่งซานแห่งหอจดหมายเหตุเหมือนจะไม่อยู่ ขุนนางชั้นผู้น้อยเหล่านั้นเจ้าเล่ห์นัก เจ้าโดนพวกเขาหลอกเจ้าหยิบมาผิดแล้วล่ะ”
“แท้จริงแล้ว เจ้าถนัดเขียนมือซ้ายด้วย” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้นทันที
ว่าอย่างไรนะ
นางรู้ได้อย่างไร!
เซี่ยงชีหุบยิ้มในทันที หัวใจเต้นแรง ไม่เอ่ยคำใด
“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ามั่นใจมากเช่นนี้” เฉิงเจียวเหนียงพูด พร้อมกับค่อยๆ ขยำกระดาษที่อยู่ตรงหน้าไว้ในมือ
เสียงกระดาษถูกขยำเป็นก้อนดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงัด
หัวใจของเซี่ยงชีดูเหมือนจะถูกบดขยี้ด้วยเสียงนี้
นี่เจ้าปรักปรำข้า! ไม่มีหลักฐาน ข้าไม่กลัว!
“แม่นางพูดเรื่องอะไร” เขาส่ายหน้าพลางเอ่ยเสียงหนักแน่น
“ปากแข็งเสียจริง! ”
ชายหนุ่มที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างตะโกนขึ้น
“คิดว่าข้าจะแงะปากเจ้าไม่ได้หรือ”
ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ ก็ใช้ไม่แข็ง อาศัยการข่มขู่ให้กลัว วิธีการเช่นนี้ใช้กับพวกนักเลงไร้น้ำยามานักต่อนัก แต่ใช้กับเขาไม่ได้หรอก
เซี่ยงชีส่ายหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ไม่ใช่เพราะว่าข้าปากแข็ง ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเจ้าพูดถึงอะไร” เขาพูด
“อันที่จริงตั้งแต่ที่พวกฟ่านเจียงหลินเดินทางมาถึงเมืองหลวง คนแรกที่พบก็คือเจ้าใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม “และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาหนีทหารใช่หรือไม่”
“แม่นางคาดเดาเองอีกแล้วหรือ ไม่รู้ว่าเคยถามยืนยันกับพวกพี่เจียงหลินแล้วหรือไม่” เซี่ยงชีถามโดยไม่ตอบ ทั้งยังยิ้มอย่างเฉยเมย
“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงพูดขณะมองหน้าเขา “เจ้าก็รู้ว่าตอนนั้นพวกเขาถูกจับตัวไป ก็จะไม่มีผู้ใดได้พบเจอพวกเขาอีก”
เซี่ยงชีทำเสียงเย้ยหยันอยู่ในใจ
ไร้สาระ คิดว่าเขาจะกลัวคำข่มขู่ของเด็กสาวคนนี้หรืออย่างไร แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย แต่พวกเขาก็มีเส้นสายที่ส่งข่าวบอกกันวงในอยู่แล้ว
“เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เจ้าเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่รู้เชียวหรือว่าข้าจะถามเรื่องอะไร”
สีหน้าเซี่ยงชีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อันที่จริงแล้ว ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่ ไม่ได้ต้องการถามอะไรจากเจ้า และไม่ได้ต้องการให้เจ้ายอมรับผิดอะไรทั้งนั้น ข้าแค่อยากจะบอกให้เจ้ารู้ ในสิ่งที่ข้ารู้ก็เท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงพูดและมองหน้าเขา “ข้ารู้เรื่องที่เจ้าร้องเรียนพวกฟ่านเจียงหลินหมดแล้ว”
พูดไปพูดมาก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี
ความตื่นตระหนกของเซี่ยงชีหายไปทันที
“แม่นางพูดจาเหลวไหลเสียจริง” เขาพูด “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร แต่พวกเจียงหลินถูกจับเพราะเหตุใด ไม่ต้องให้ข้าพูด แค่ไปถามคนบนท้องถนน ทุกคนรู้เรื่องนี้กันทั้งหมด”
เขาพูดพลางโบกมือ
“เพราะเรือนไท่ผิงของพวกเจ้าก่อเรื่องจนฝ่ายตรงข้ามมาล้างแค้น และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก” เขาพูด “เหตุใดเจ้าต้องมาใส่ความข้าด้วย มีประโยชน์อันใด”
เฉิงเจียวเหนียงมองมาที่เขา ไม่แยแสคำพูดของเขา แต่ยังคงพูดต่อ
“เจ้ากับพวกฟ่านเจียงหลินเป็นพี่น้องร่วมสาบาน เจ้าตกหลุมรักแม่นางต่ง แต่แม่นางต่งตกหลุมรักสวีเม่าซิว เพียงแต่สวีเม่าซิวปฏิเสธที่จะแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ดังนั้น ตระกูลต่งถึงได้เลือกเจ้าเป็นเขยแทน”
เซี่ยงชีขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉิงเจียวเหนียงไม่ให้โอกาสนั้น
“แต่คนในตระกูลต่งกลับให้ความสำคัญกับสวีเม่าซิวตลอดมา… และแม่นางต่งเองก็ยากที่จะลืมคนรักเก่าไปได้…”
“ปีที่แล้วพวกสวีเม่าซิวมาถึงเมืองหลวงและพบเจอกับเจ้า ได้พูดคุยเรื่องหนีทหาร เดิมทีเจ้าอยากจะช่วยพวกเขา แน่นอนว่าเจ้าปฏิเสธไป โดยไม่ได้ร้องเรียนเรื่องนี้กับทางการ แต่กลับเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาไปจากที่นี่…”
“นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกันที่เมืองหลวงอีก และกลายเป็นแขกของตระกูลต่ง เจ้าขุ่นเคืองใจ ดังนั้นจึงเขียนจดหมายร้องเรียนนิรนามฉบับนี้…”
“เจ้าเป็นคนทำร้ายพี่น้องทั้งเจ็ด และนี่คือสิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้า”
เซี่ยงชีส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ทั้งหมดล้วนเป็นความคิดของแม่นางเองทั้งนั้น เมื่อเจ้าเชื่อเช่นนี้แล้ว ข้าก็จนปัญญา” เขาพูด
“ใช่ นี่คือสิ่งที่ข้าอยากจะพูด ส่วนเจ้าจะยอมรับหรือไม่ ข้าไม่สนใจ ข้าสนใจเพียงความจริงที่ปรากฏเท่านั้น” เฉิงเจียวเหนียงพูด
“หากเป็นเช่นนั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า ข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่” เซี่ยงชีเอ่ยเสียงแผ่ว
เฉิงเจียวเหนียงไม่ตอบ เซี่ยงชีก็ไม่ได้รอให้นางพูด หันหลังกลับแล้วเดินจากไป
เมื่อเดินเข้าใกล้ประตู เฉิงเจียวเหนียงเรียกเขาอีกครั้ง
“เมื่อครู่ เจ้าพูดว่าไม่รู้ว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่” นางเอ่ย
……………….