พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 28 พึ่งพาญาติ
ท่านยายของข้างั้นหรือ
นี่มันสำเนียงเมืองหลวงนี่
หรือว่าจะเป็น…
“ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่ บังเอิญเจอท่านชายโจวหกที่ด้านนอกประตู นึกไม่ถึงเลยว่าพวกท่านจะเป็นญาติกัน จะได้พากันเข้ามาพร้อมกัน” หมอเหลียวยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อตอนอยู่เมืองหลวงข้าเคยไปพักบ้านตระกูลโจวอยู่หลายวัน”
พ่อบ้านและคนอื่นๆ ก็พากันเข้ามา เลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก
คนใช้หน้าบ้านรู้จักหมอเหลียวกันทุกคน เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาจึงไม่ได้ถามไถ่อะไร ฉะนั้นพอเห็นเขาเดินเข้ามาพูดคุยยิ้มแย้มกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง จึงพากันคิดว่าเป็นคนของท่านเอง ไม่คิดว่าจะเป็นญาติพี่น้องของตระกูล
ท่านชายตระกูลโจวผู้นี้ก็เหลือเกิน ไม่ยอมพูดอะไรสักค่ำ จู่ๆ ก็เดินเข้าบ้านคนอื่นหน้าตาเฉยแบบนั้น แถมยังไม่พูดไม่จามายืนดูเรื่องชุลมุนวุ่นวายภายในตระกูลคนอื่นเสียอย่างนั้น
คนตระกูลเฉิงที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งโกรธและอับอาย
พวกตระกูลขุนนางฝ่ายทหารนั้นหยาบคาบไร้มารยาทอย่างที่เขาว่ากันจริง!
“ท่านชาย ท่านเป็นญาติของนายหญิงหรือเจ้าคะ” ฉินถามด้วยเสียงสั่น
ท่านชายโจวหกมองหน้านางแล้วพยักหน้า
“ดีจังเลยเจ้าค่ะ ท่านมาแล้ว ท่านมาเยี่ยมนายหญิงของข้าใช่หรือไม่” ปั้นฉินเอ่ยอย่างดีใจ.
ท่านชายโจวหกไม่ได้พูดอะไร เขาหันไปมองนายใหญ่ตระกูลเฉิงที่ทุกคนถูกละเลย แล้วโค้งคำนับทำความเคารพ
“ข้าน้อยบุตรชายคนที่หกของตระกูลโจว ได้รับจดหมายที่ท่านลุงส่งมา ท่านพ่อจึงส่งข้าน้อยมาตอบด้วยตัวเอง” เขาพูดด้วยเสียงดังฟังชัด
นี่สิท่าทีที่ควรจะเป็นของเด็กรุ่นหลัง คนตระกูลเฉิงโล่งอก
“ไปคุยกันที่ห้องโถงเถอะหลานชาย” นายใหญ่เฉิงกล่าว
ท่านชายโจวหกคำนับอีกครั้ง ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเดินตามพ่อบ้านที่นำทางไป
ปั้นฉินเหม่อมองตามหลังเขา
“พอแล้ว เรื่องนี้ให้มันจบเพียงเท่านี้” นายใหญ่เฉิงกล่าว การมาเยือนของคนตระกูลโจวกำลังปั่นป่วนความคิดของเขา ”หมอเหลียวบอกว่าท่านชายสี่หายดีแล้ว สาวใช้สองคนนี้ก็หวังดี แต่การกระทำเลินเล่อ ความดีก็หักล้างเรื่องที่ทำผิดไป ให้มันจบแค่นี้เถอะ อย่าให้ใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
“ขอบพระคุณนายท่าน ขอบพระคุณฮูหยิน” ชุนหลานร้องไห้คุกเข่าหมอบกราบ
ปั้นฉินที่เพิ่งได้สติก้มหัวคำนับ
ฮูหยินใหญ่รู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อสามีและหมอล้วนเห็นว่าสาวใช้สองคนนี้ช่วยท่านชายสี่ไว้ หากตนยังคงจะเอาเรื่องที่สาวใช้ทั้งสองทำอะไรโดยพลการ เหล่าบริวารทั้งหลายคงผิดหวังในตัวนางเป็นแน่
“กลับไปบอกต่อกัน ต่อไปถ้าเกิดเรื่องแบบนี้อีก…” เฉิงฮูหยินเอ่ย อันที่จริงแล้วนางอยากบอกว่า
หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีกจะลงโทษอย่างหนัก แต่ก็คิดได้ว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครั้งจริงๆ แล้วไม่ได้สาวใช้สองนางนี้ช่วยไว้ ลูกชายของนางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้วแน่ๆ …
“ต้องมารายงานข้า ไม่ว่าจะใช้วิธีไร้สาระแค่ไหน หากรู้ว่าพวกเจ้าหวังดี ข้ากับนายท่านก็จะเชื่อพวกเจ้า” นางพูดอย่างช้าๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงฮูหยิน ชุนหลานดีใจเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
“ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ” นางก้มลงคำนับ จนหน้าผากจรดลงกับพื้นอยู่หลายครั้ง
ปั้นฉินกล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไปอย่างเร่งรีบ ลืมแม้กระทั่งทำความเคารพ นางรีบกลับไปบอกข่าวดีให้นายหญิงของตัวเอง
ลูกสาวคนหนึ่งที่เสียมารดาไป แต่ยังมีครอบครัวฝ่ายแม่สนับสนุนอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก
สาวใช้ทุกคนออกไปหมดแล้ว นายใหญ่และนายรองตระกูลเฉิงพากันไปห้องโถงเพื่อพบแขกรุ่นหลานที่มาจากตระกูลโจว
ฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองพูดคุยกันที่ด้านหลังห้องโถง คาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าตระกูลโจวมาเพื่ออะไร
“ยังดีที่เจ้าเตือนข้าก่อนหน้านี้ ไม่อย่างนั้นคงส่งเด็กคนนั้นไปวัดเต๋าแล้ว คนตระกูลโจวนึกจะมาก็มา เกิดอยากจะพบขึ้นมา ข้าคงเปลืองน้ำลายแก้ตัวแย่” เฉิงฮูหยินเอ่ย นางรู้สึกโชคดีเป็นอย่างมา
ฮูหยินรองยิ้ม
ในใจรู้สึกเสียดาย หากรู้แต่แรกว่าคนตระกูลโจวจะมา คงบอกให้ฮูหยินใหญ่ส่งนางไปวัดเต๋าดีกว่า
ขณะเดียวกันเฉิงเจียวเหนียงเองก็ทราบเรื่องที่คนตระกูลโจวมาแล้ว หากเทียบกับความตื่นเต้นของปั้นฉินแล้ว ที่นางแสดงออกมานั้นดูไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าแม้จะตื่นเต้นแค่ไหนนางก็ยากที่จะแสดงออกมา
ปั้นฉินคุกเข่าลงต่อหน้านาง แล้วจับไหล่ของนางไว้
“นายหญิงเจ้าขา แบบนี้ดีแล้วเจ้าค่ะ แม้ว่าฮูหยินจะไม่อยู่แล้ว แต่ท่านลุงทั้งหลายก็ยังนึกถึงท่านอยู่ ไม่ได้ทอดทิ้งหรือไม่สนใจท่าน” นางได้กล่าวด้วยความดีใจ
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยเสียงอืมตอบรับ
“ท่านชายหกมาเจ้าค่ะ” ปั้นฉินกัดปากล่าง ทำตาใสแป๋วแล้วกล่าว” เมื่อก่อนข้าไม่เคยพบท่านชายหกเลย ถึงข้าจะเป็นสาวใช้ที่ฮูหยินใหญ่ซื้อมา แต่ก็ถือว่าเป็นคนตระกูลโจวเหมือนกัน แต่ว่าข้าไม่เคยรู้จักท่านชายหกเลย”
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้านาง
นางบอกว่า เป็นคนตระกูลโจว…
“ท่านชายหกอายุเท่าไหร่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงถาม
นี่เป็นประโยคแรกที่นางถามปั้นฉินหลังจากเข้ามา
“ดูแล้วน่าจะสิบหก ไม่ ไม่ เหมือนจะสิบเจ็ด” ปั้นฉินรีบตอบ นึกภาพท่านชายหนุ่มน้อยพร้อมครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“เจ้าบอกว่าเขาเข้ามาเงียบๆ ยืนมองพวกเจ้าเกือบค่อนวันงั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
นายหญิงถามเรื่องนี้ทำไมกัน ปั้นฉินพยักหน้า จู่ๆ ก็นึกถึงเสียงที่ได้ยินและภาพที่เห็นในตอนนั้นจนเหม่อเลย
“ท่านชายหกมาได้ทันเวลาพอดีเจ้าค่ะ ตั้งแต่วินาทีนั้นข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น รู้สึกเหมือนกับตอนที่ฮูหยินใหญ่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยความคิดถึง
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าไม่พูดอะไร พิงเก้าอี้แล้วดูตัวหนังสือบนฉากกั้นต่อ ครั้งนี้นางเปลี่ยนไปเขียนด้วยมือซ้ายแทน
เปลี่ยนซ้ายขวาสลับไปมา ฝึกมือสองข้างให้ว่องไวมากขึ้น
“นายหญิง เราไม่ไปพบท่านชายหกหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ นั่งลงเมื่อพูดจบ ”รอท่านชายหกมาเองดีกว่าเนอะเจ้าคะ”
“รอเขามาเองเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว” เขามาแน่นอน”
ปั้นฉินตอบ” เจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง โอกาสแก้แค้นของเจ้ามาถึงแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ปั้นฉินร้อง ”เอ๊ะ” แล้วมองนางด้วยความไม่เข้าใจ
แก้แค้นอะไรเจ้าคะ
เฉิงเจียวเหนียงหยิบสมุดที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมา เปิดออกมาหน้าหนึ่งแล้วชี้
วันนี้สาวใช้ขโมยหัวไชเท้าสดไปอีกหนึ่งตะกร้า นายหญิงไม่ได้ทานอาหาร
ไม่นานท่านชายโจวหกก็ตามนายรองเฉิงมา
“กลัวว่านางจะตกใจคนเยอะ เลยให้นางพักอยู่ที่นี่” นายรองเฉิงกล่าว
พูดจบก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เด็กข้างหน้าคนนี้เป็นแค่เด็กกะโปโลคนหนึ่ง ทำไมตัวเองต้องมาอธิบายอะไรให้เขาฟังด้วย อีกอย่างนี่คือลูกสาวของตัวเอง ให้นางพักที่ไหนก็พัก ใครจะทำไม
นายรองเฉิงหน้านิ่งไม่พูดอะไร
“ขอแค่อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ไหนก็ได้” ท่านชายโจวหกกล่าว ”น้องสาวได้กลับบ้านก็ดีแล้ว รังทองรังเงินก็ไม่ดีเท่ารังสุนัขของตัวเอง”
นายรองเฉิงโกรธมาก
ไอ้เด็กคนนี้ กล้าด่าเขาต่อหน้าเลยหรือ
“ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องไกลบ้านขนาดนี้ ตอนนี้ข้าอยากกลับบ้านเหลือเกิน” ท่านชายโจวหกหันหลังกลับไปมองหน้านายรองเฉิงแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง” ท่านลุงออกบ้านไปร่ำเรียนตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นก็ไปรับราชการต่างเมือง ข้านับถือท่านยิ่งนัก”
นายรองเฉิงกระแอมขึ้น ใบหน้าคลายความโกรธลง
“ชายที่ดีต้องมีเป้าหมายและความทะเยอทะยานที่ก้าวไกล โตขึ้นเจ้าก็จะเป็นแบบนี้”
พวกเขาพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในลานบ้านที่เฉิงเจียวเหนียงอาศัยอยู่
หญิงคนงานและสาวใช้ยืนต้อนรับและทำความเคารพ
ปั้นฉินที่ยืนอยู่ใต้ห้องโถงเรียกด้วยความดีใจ “นายท่าน ท่านชาย”
ตั้งแต่ลูกสาวคนนี้กลับมา เป็นครั้งแรกที่นายรองเฉิงก้าวเข้ามาในลานบ้านของลูกสาว แต่เรือนหลังนั้นเขาไม่อยากเข้าไปจริงๆ
ทันใดนั้นกลิ่นในห้องสมัยแบเบาะของเด็กคนนี้ก็ลอยเข้ามาในจมูก จนเขาแทบหายใจไม่ออก
“นายหญิงของเจ้าตื่นอยู่หรือหลับอยู่” นายรองเฉิงยืนหยุดนิ่งแล้วถามปั้นฉิน
ท่านชายโจวหกเองก็ยืนหยุดนิ่งมองปั้นฉินที่ยืนอยู่ในห้องโถงของเรือน
“ตื่นเจ้าค่ะ ตื่นเจ้าค่ะ ” ปั้นฉินรีบตอบ “ข้าจะไปพยุงนายหญิงออกมาเจ้าค่ะ”
ไม่รอให้นายรองเฉิงพูดอะไร ปั้นฉินก็หมุนตัวเข้าไปแล้วไม่นานก็พยุงเฉิงเจียวเหนียงออกมา
“นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงเจ้าคะ ดูเร็วเจ้าค่ะ นี่คือท่านชายเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยพร้อมพยุงไหล่เฉิงเจียวเหนียงให้มองไปทางท่านชายโจวหก
มองหญิงสาวตรงหน้า นายรองเฉิงและท่านชายโจวหกต่างตกใจเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยความในใจที่มีต่อรูปร่างหน้าตาของนางออกมา หญิงสาวก็เอ่ยเสียงแทรกขึ้นมาก่อน
“ข้าหิว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
นายรองเฉิงตะลึงงัน คำพูดสวยหรูที่คิดมาในหัวหายไปในพริบตา
ท่านชายโจวหกตาไม่กระพริบ เขากวาดสายตามองผ่านเฉิงเจียวเหนียงไป แต่กลับหยุดอยู่ที่ปั้นฉิน
เขาดูมือของนางที่เขย่าไหล่ของเฉิงเจียวเหนียงอยู่ ทันใดนั้นรอยยิ้มที่มุมปากก็หายไปในพริบตา
“ท่านลุง!” เขาสีหน้าไม่สู้ดีนัก หันไปจ้องนายรองเฉิงตาเขม็งคิ้วขมวด ก่อนจะตะโกนเสียงดังขึ้น
“นี่หมายความว่าอย่างไรกัน”
…………………………………………………………