พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 293 หัวเราะพูดคุย
นายใหญ่เฉินและเฉินเซ่าต่างอยู่ภายในกระโจมบนถนนเทียนเจีย พวกเขาไม่เหมือนกับเหล่าฮูหยินและลูกหลานที่กำลังดูโคมกันอยู่ด้านนอก เพราะพวกเขาชอบความเงียบสงบมากกว่า
พอเฉิงเจียวเหนียงเข้ามา สองคนพ่อลูกก็กำลังเฝ้ากระดานหมากรุกที่ยากจะแก้กันอยู่
แม้จะกั้นด้วยฉากบังลมผืนหนึ่ง แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยกันของเหล่าสตรีดังอยู่ทางด้านนั้น
“…ฉางชิงหนูก็ตอบว่าม้างามตัวหนึ่ง กั่วอี้ได้ยินก็เริงร่า คิดว่าเมื่อวานยังตอบไม่ถูก วันนี้พัฒนาขึ้นแล้ว จึงถามว่าใครเป็นคนสอนเจ้า ฉางชิงหนูจำคำพูดของพี่สะใภ้ได้ จึงบอกไปว่าพี่ชายสอนมา กั่วอี้ถามอีกว่ายามนี้พี่ชายเจ้าอยู่ที่ใด ฉางชิงหนูตอบว่าอยู่ในบ้าน กั่วอี้ถามว่าพี่ชายเจ้าอยู่ที่บ้านทำอะไร ฉางชิงหนูบอกพี่ชายข้ากำลังคลอดลูกชายอยู่ในห้อง ยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย…”
นายใหญ่เฉินหลุดหัวเราะออกมา
หลังฉากบังลมทางนั้นก็หัวเราะกันยกใหญ่
เฉินตันเหนียงหัวเราะพลางกอดแขนเฉิงเจียวเหนียงไว้ น้ำตาเล็ดไปหมด
แม่นางเฉินสิบแปดกับพวกพี่สาวน้องสาวยิ่งพูดไม่หยุด เสียงหัวเราะดังกระหึ่มขึ้นทั้งกลุ่ม
“ไปเอามาจากที่ใดอีกแล้ว ยิ่งเล่าก็ยิ่งไม่เหมือนผู้ใหญ่!” ฮูหยินเฉินมือหนึ่งปิดปาก อีกมือชี้ฮูหยินฉินแล้วยิ้มเอ่ย
เด็กสาวด้านนอกยิ่งเบียดกันเข้ามามากขึ้น คนที่ไม่ได้ยินก็ฟังคนที่ได้ยินเล่าซ้ำอีกรอบ เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเป็นระลอกระลอก
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเหล่านี้ เฉิงเจียวเหนียงที่สีหน้ายังคงเรียบเฉยจึงโดดเด่นอย่างยิ่ง
“แม่นางเฉิง” ฮูหยินฉินยิ้มมองนาง “ไม่น่าขันหรือ”
“ไม่น่าขัน” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าตอบ
ฮูหยินฉินนิ่งอึ้ง แล้วหุบยิ้มลงพลัน
“น่าขันเพียงนี้ เหตุใดเจ้ารู้สึกว่าไม่น่าขันเล่า” นางเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าเล่าเรื่องน่าขันมาเรื่องหนึ่งสิ”
“ข้าทำไม่เป็น” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าตอบ
“แม่นางเฉิงจุดนี้แหละที่เจ้าขาด อายุยังน้อย แต่ไม่ชอบพูดชอบคุย” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ย
ฮูหยินเฉินกระแอมขึ้นเบาๆ
“ไม่ได้สนิทสนมพอที่จะพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง” นางเอ่ยเตือนเสียงเบา
แม่นางเฉิงคนนี้ไม่ใช่พวกสตรีที่ล้อมหน้าล้อมหลังเหล่านั้น ที่จะให้เจ้าได้เล่นตลกอย่างภาคภูมิใจได้
ถึงเวลานั้นขายขี้หน้าขึ้นมา มิตรก็ไม่ได้ผูก ซ้ำยังกลายเป็นศัตรูกันอีก
“คำพูดข้านี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย แม่นางเฉิงคงไม่โกรธหรอก” ฮูหยินฉินย่อมเข้าใจความหวังดีนี้ของนาง จึงยิ้มมองเฉิงเจียวเหนียง “ข้าจะเล่าให้แม่นางฟังอีกเรื่อง เจ้าต้องขำได้แน่…”
“พอแล้วท่านแม่” ท่านชายฉินสิบสามที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขัดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
สายตาภายในห้องต่างมองไปที่เขา
เพราะต่างเป็นตระกูลที่คุ้นเคยกันดีจึงไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ท่านชายฉินสิบสามจึงได้เข้ามานั่งหน้ากระโจมด้วย
“ที่ท่านเล่าก็ไม่ได้น่าขันเพียงนั้น ทุกคนแค่หัวเราะพอเป็นพิธีให้เท่านั้น” เขายิ้มเอ่ย “บางคนไม่ได้ตั้งใจจะเล่าเรื่องตลก แต่ก็ยังทำคนหัวเราะได้”
เขากล่าวจบก็นึกไปถึงตอนที่เฉิงเจียวเหนียงพูดผิดในหอเต๋อเซิ่ง พลันหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
พอเขาหัวเราะ สาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านหลังก็รู้ทันทีว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ทันใดนั้นก็ขำกันออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วรีบกลั้นไว้ มองท่านชายฉินสิบสามด้วยความไม่พอใจ
เหล่าสตรีในกระโจมเห็นเขาหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุก็ต่างมึนงง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านชายฉินสิบสามท่านยังไม่ทันจะเล่าก็ทำตัวเองขำเองเสียแล้ว” ฮูหยินเฉินยิ้มเอ่ย
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งภายในห้อง
ท่านชายฉินสิบสามก็หัวเราะตามไปด้วย เขาใช้พัดปิดปากไว้ สายตาของเขากับเฉิงเจียวเหนียงสบกันเข้าก็ยิ่งหัวเราะจนตาหยี
“แม่นางเฉิงมานั่งนี่สิ”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันนั้น เสียงนายใหญ่เฉินดังขึ้นหลังฉากบังลม
“นายใหญ่ พวกเราเหล่าสตรีกำลังพูดคุยกัน ท่านก็มาขัดจังหวะเสียได้” ฮูหยินฉินยิ้มเอ่ย
“แม่นางเฉิงไม่ใช่สตรีธรรมดา สิ่งที่พวกเจ้าพูดคุยกัน นางไม่ชอบฟังหรอก ไม่สู้มาเล่นหมากรุกกับข้าจะดีกว่า” นายใหญ่เฉินยิ้มบอก
ท่านชายฉินสิบสามเลิกคิ้วขึ้นมองเฉิงเจียวเหนียงที่ลุกขึ้น
“ไปเถิด” ฮูหยินฉินยิ้มแล้วเอ่ยบอก “เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
“นี่ ทำเช่นนั้นได้ที่ไหนกัน” ฮูหยินเฉินยิ้มบอก “แค่รถม้าที่ใช้ส่งคน บ้านข้าจะไม่มีเชียวหรือ”
“พวกเจ้าเอาแต่ตอบแทนอยู่ผู้เดียว ให้โอกาสข้าได้ทำด้วยสิ” ฮูหยินฉินเอ่ยบอกพลางลุกขึ้นสั่งสาวใช้ด้านหลัง “เจ้าอยู่นี่ ดูแลรับใช้แม่นางให้ดี”
สาวใช้ยิ้มเอ่ยรับคำ
ทุกคนลุกขึ้นส่งแขก ท่านชายฉินสิบสามเดินนำออกไปก่อน
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ เสียเวลาเปล่า” ฮูหยินเฉินกระซิบถาม
“ไม่เสียเปล่าหรอก เหตุใดจึงรู้ว่าเสียเปล่าเล่า” ฮูหยินฉินยิ้มพลางกระซิบตอบ “ข้าเพิ่งเคยเจอคนที่ฟังเรื่องตลกของข้าแล้วไม่ขำออกมาได้ ข้าไม่เชื่อว่าจะทำให้นางขำไม่ได้”
ฮูหยินเฉินถลึงตามองนางอย่างไม่พอใจ
ฮูหยินฉินเม้มปากยิ้ม ใช้พัดตบๆ แขนนางแล้วเดินจากไป
เหล่าสตรีคนอื่นๆ ดูเหมือนจะออกกระโจมไปดูทิวทัศน์บนถนนกัน ภายในกระโจมจึงเงียบสงบขึ้น
พอเฉิงเจียวเหนียงเข้ามา นายใหญ่เฉินและเฉินเซ่ายังเฝ้ากระดานหมากกันอยู่เช่นเดิม
“มาเล่นหมากรุกดีกว่า เงียบสงบดี ดีกว่าเรื่องตลกพวกนั้นนัก” นายใหญ่เฉินยิ้มบอก
“ทุกสิ่งล้วนมีข้อดีของมัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นแล้วนั่งลงด้านข้าง
“ดูเหมือนว่าแม่นางเฉิงจะไม่เคยแค้นเคืองสิ่งใดมาก่อน” นายใหญ่เฉินยิ้มเอ่ย
“เพราะไม่มีสิ่งใดน่าแค้นเคือง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เพราะล้วนสมหวังดั่งใจคิดมาโดยตลอด”
ประโยคนี้กล่าวมาอย่างไม่เกรงใจ
นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนี้
ทว่าลองมองดูดีๆ แล้ว นางก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
มีแต่เรื่องไม่สมดั่งใจหวัง มนุษย์จึงได้แค้นเคือง เช่นตัวเขากระมัง
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างกังวลใจว่าแม่นางเฉิงจะไม่มาบ้านเขา ยามนี้มาคิดๆ ดูแล้ว เหตุใดนางจะไม่มา
แม้ว่านางมาแล้วจะเจอปัญหา แต่นางก็ยังได้สมดั่งปรารถนา นางไม่ใช่คนน่าสงสารที่ต้องการการปลอบโยน แต่เป็นผู้ชนะที่ผู้คนเคารพยำเกรง
มือเฉินเซ่าชะงักเบาๆ หมากตัวสีขาวในมือเอียงเล็กน้อยจากตำแหน่งที่ตั้งใจวางไว้
นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมายกใหญ่ ไม่กล่าวอะไร เพราะยามที่เขาพูด สายตาไม่ได้ละไปจากกระดานเลยแม้แต่น้อย
บนกระดานหมากถึงคราวที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ระยะเวลาในการลงหมากแต่ละครั้งของสองคนพ่อลูกยาวนานขึ้นเรื่อยๆ
นายใหญ่เฉินจับหมากสีดำไว้ด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าดึงสายตาออกจากกระดานหมากไปยังเฉิงเจียวเหนียง
“แม่นางคงจะคิดออกแล้วว่าควรวางหมากอย่างไร” เขาเอ่ยถาม “เจ้าว่าข้ายังมีโอกาสชนะหรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงมองกระดานหมากแล้วยื่นมือไปคีบหมากดำขึ้นมาตัวหนึ่ง วางลงบนกระดานโดยไม่ต้องคิด
“ชนะแล้ว” นางเอ่ยพลางชักมือกลับ
นายใหญ่เฉินกับเฉินเซ่าต่างมองไปที่กระดานด้วยสีหน้าตกตะลึง
ที่แท้ฆ่าหมากไปตัวหนึ่งก็พลิกกระดานได้ ผู้ชนะกลับมาแพ้ ผู้แพ้กลายเป็นผู้ชนะ
เฉินเซ่ามองกระดานหมากครู่หนึ่งก็ยิ้มขื่นออกมา
“แม่นาง หากจะลงมือครั้งหน้าก็เอ่ยบอกก่อนสักคำได้หรือไม่” เขาเอ่ยขึ้นอย่างมีนัย “เวลามากมายของข้าเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เสียแล้ว”
“เรื่องนี้ อย่าได้โทษข้า” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางๆ พลางเอ่ยตอบอย่างมีนัยเช่นกัน
นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมายกใหญ่
“เอาล่ะ แพ้แล้วก็แล้วไปเถิด หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเอง อย่ามาโทษคนอื่นเช่นนี้” เขาเอ่ยบอกแล้วโบกมือ “ดื่มชา ดื่มชา”
สาวใช้ยกกระดานหมากออกไปแล้วถวายชาหอมมาแทน
“ชิมดูเสียหน่อย” นายใหญ่เฉินยิ้มบอก
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขอบคุณแล้วยกดื่มคำหนึ่ง จากนั้นก็ชะงักค้าง
“เป็นชาเขียวที่ฝ่าบาททรงดื่ม” นายใหญ่เฉินยิ้มบอก
“ฝ่าบาทหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามพลางมองนายใหญ่เฉิน “ในวังน่ะหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ชาหอมใหม่ในวัง” เฉินเซ่าเอ่ยตอบ “ข้ายังมีอีกนิดหน่อย หากแม่นางชอบก็เอาไปดื่มเถิด”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้ายิ้มๆ
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่ค่อยชอบดื่ม” นางเอ่ยบอกแล้วดื่มชาในถ้วยจนหมด “ดึกมากแล้ว ข้าต้องกลับแล้ว”
นายใหญ่เฉินพยักหน้าอมยิ้มมองนาง
“แม่นางเฉิง” เฉินเซ่าเอ่ยเรียก
เฉิงเจียวเหนียงหยุดฝีเท้าแล้วมองเขา
“ทำคุณงามความดีให้มาก อย่าผิดหลักเต๋า” เฉินเซ่าเอ่ยบอก
“คุณงามความดีหรือ หลักเต๋าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้า ที่แท้ที่ท่านเป็นขุนนางก็เพื่อสิ่งนี้หรือ มิน่าเล่าโชคจึงไม่ดี”
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว
“ท่านต้องรู้ว่าที่ครานี้เจ้าโชคดีนั้นเป็นเพราะเจ้ายืนอยู่บนหลักแห่งเต๋า หากเข้าทางมารนอกลู่ทางไป ผลคงไม่ใช่เช่นนี้แล้ว” เขาเอ่ยบอก
“ใต้เท้าเฉิน ท่านกำลังไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองเขา “เล่นพรรคเล่นพวก ไม่สนถูกผิด นี่จึงจะเป็นสิ่งที่ท่านควรจะรู้ให้ชัดในยามนี้”
เฉินเซ่ามองนางหันหลังเดินจากไปอย่างตกตะลึง
นางพูดถึงอะไร นางรู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
เล่นพรรคเล่นพวก ไม่สนถูกผิดอย่างนั้นหรือ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีแต่พวกตำแหน่งสูงๆ จึงจะทำได้หรอกหรือ กล่าวหาผู้อื่น ใส่ร้ายตามอำเภอใจ ทำทุกวิถีทางเพื่อโจมตีผู้ที่คัดค้านในราชสำนัก
นึกไม่ถึงว่านางจะบอกว่านี่คือหลักเต๋า!
“นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นเช่นนี้!” เฉินเซ่าขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
นายใหญ่เฉินแย้มยิ้มอยู่ด้านหลัง
“ไม่ใช่ว่านางเป็นเช่นนี้มาโดยตลอดหรอกหรือ” เขาเอ่ยถาม
สามารถยืมกำลังของผู้อื่นมาทำลายอันธพาล ถูกคุกคามด้วยอำนาจก็จัดการเหล่าขุนนางในราชสำนักเสียราบคาบ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็อับจนหนทางได้ยากในเรื่องที่ควรจะหลีกเลี่ยง สตรีนางนี้มีวิธีจัดการเพียงแค่วิธีเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ไม่ใช่ป้องกัน ไม่ใช่อดกลั้น แต่เป็นการโจมตีอย่างเด็ดขาดไร้ซึ่งความลังเล
ก็เหมือนกับคราวนี้ นางเป่าหูตัวเองไม่ได้ ก็หันมาหาคนที่นางจะเป่าหูได้โดยไม่ลังเล นางจึงได้ไม่สนใจว่าพวกเจ้าทำเพื่อการใด นางทำเพื่อสนองความต้องการของตัวนางเองเท่านั้น
นางทำเพื่อสนองความต้องการของตัวนางเอง เขาก็มีความปรารถนาของตัวเองเช่นกัน…
เล่นพรรคเล่นพวก ไม่สนถูกผิดอย่างนั้นหรือ เช่นนี้…ได้หรือไม่…
“แม่นางน้อย เจ้าคงรู้ว่าเจ้ากำลังพูดอันใด…” เฉินเซ่าพึมพำออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อน
ดูแล้วนอกจากเรื่องรักษาคนและฆ่าคนได้แล้ว เขารู้จักแม่นางน้อยผู้นี้น้อยเกินไปเสียแล้ว…
ค่ำคืนดึกดื่นมากขึ้น ลมแห่งสารทฤดูค่อยๆ พัดโชย
“ฝ่าบาท”
ขันทีเดินเข้ามาใกล้กำแพงเมืองเพื่อส่งเสื้อคลุมขนสัตว์มาให้
“เปลี่ยนมาใส่เสื้อกันลมผืนหนานี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเท้าแขนยันหัวไว้ มองไปยังนอกประตูเมืองอย่างเงียบๆ ยืนอยู่เช่นนี้ไม่ขยับไปไหนมาทั้งคืนแล้ว
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็เลิกงานแล้ว” เขาบอก
ในขณะเดียวกันขันทีอีกคนก็วิ่งขึ้นมาจากด้านล่าง ในมือถือแส้ยาวเอาไว้
เสียงใสดังบาดหูลอยล่องทั่วถนน
ในขณะที่เสียงแส้ดังขึ้น กลุ่มผู้คนที่หัวเราะพูดคุยกันก็หันมาทางประตูเมืองแล้วค้อมกายคำนับ จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับดังสายน้ำหลาก
แสงสว่างเจิดจ้าจากโคมไฟค่อยๆ ดับลง ความมืดยามราตรีค่อยๆ คืบคลานปกคลุมจนทั่ว กลืนกินความสว่างไสวบนถนนจนมืดดับ ทุกที่ค่อยๆ กลับสู่ความมืดมิด
“ฝ่าบาท”
ขันทีเอ่ยเตือนขึ้นเบาๆ
ด้านหน้าประตูเซวียนเต๋อรกร้างไร้ผู้คนแล้ว ผู้คนที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดถนนต่างรีบเร่งมือกันใหญ่
“กลับกันเถิด”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกระชับเสื้อคลุมหันหลังเดินจากไป
………………………