พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 296 ไม่ฟื้น
หนังสือในมือของจิ้นอันจวิ้นอ๋องถูกโยนลงบนโต๊ะไม้เตี้ยอย่างแรง
“นางหมดสติไปหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“พะย่ะค่ะ เชิญหมอมาแล้วก็มากมาย แต่ก็ยังรักษาไม่หาย” ขันทีตอบเสียงแผ่วเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทันที
“ฝ่าบาท” ขันทีรีบมาขวางไว้ ก่อนจะส่ายหน้า “ไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดฝีเท้าลง
“หลายวันมานี้ฝ่าบาทออกไปข้างนอกบ่อยครั้งนัก จนไทเฮาและฝ่าบาทส่งคนมาถามแล้วว่าท่านไปที่ใด” ขันทีเอ่ยเสียงเบา “แม้จะพอแก้ตัวได้ แต่หากฝ่าบาทรีบร้อนออกไปตอนนี้ อาจเป็นที่สงสัยได้ เช่นนั้นแล้วคงแก้ตัวได้ยาก หากไทเฮามารู้เข้าเอาทีหลัง จะไม่เป็นการดีต่อแม่นางเฉิงนะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวถอยหลัง
แสงอาทิตย์ภายนอกสว่างสไว แต่ภายในห้องของเขากลับมืดสลัวราวกับไม่เคยมีแสงแดดส่องถึง
พอเห็นใบหน้าหม่นหมองของเด็กหนุ่มภายใต้แสงแดด ขันทีเองก็ร้อนใจไม่น้อย
แต่ว่าจะทำอย่างไรได้เล่า เพราะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ เขาเองก็จำใจต้องทำตาม แต่ก็เพราะความสูงศักดิ์อีกนั่นแล จึงไม่อาจปล่อยให้เขาทำอะไรตามใจได้เช่นกัน
“อีกอย่างถึงฝ่าบาทไปก็ช่วยอันใดไม่ได้ มีพวกบ่าวคอยจับตาดูอยู่ หากมีข่าวคราวคงไม่พลาดแน่นอน” เขาเอ่ยเสียงกระซิบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่เอ่ยคำใด เขาหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ
ขันทีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะคลานเข่าออกมาเพื่อออกไปด้านนอก
“บ่าวจะถามข่าวคราวเองพ่ะย่ะค่ะ” เขาคิดอะไรได้บางอย่างถึงเอ่ยขึ้น
เด็กหนุ่มที่อ่านหนังสืออย่างจดจ่ออยู่ในห้องไม่ตอบเขา เหมือนจะได้ยินแต่ก็คล้ายว่าจะไม่ได้ยิน เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจ้องมองอักษรทีละตัว ราวกับต้องการจำทุกตัวอักษรให้ขึ้นใจ
ขันทีก้มหัวคำนับแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะออกจากห้องไป
ตะวันลับฟ้าแล้วกลับขึ้นมาอีกครั้ง ยามฟ้าสว่างประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงถูกเปิดออก ฮูหยินโจวก็พลันเดินออกมาในทันใด
“ป้อนยาให้นาง ข้าจะไปปรึกษากับนายใหญ่เพื่อหาหมอมารักษา” นางเหลียวหลังมาบอก ไม่รอให้ปั้นฉินตอบอันใด สาวใช้ก็พยุงนางขึ้นรถม้าไปแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ปั้นฉินยืนอยู่หน้าประตูเรือน กัดเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาแดงก่ำ
นางหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในเรือน ก็เห็นสาวใช้กำลังพยุงร่างไร้สติของเฉิงเจียวเหนียงขึ้นบนเตียง มือข้างหนึ่งกำลังใช้เหยือกกรอกยาให้แก่นาง
ยากว่าครึ่งหนึ่งที่ป้อนให้ไหลย้อยลงมาจากมุมปาก
สาวใช้ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับแล้วป้อนยาต่อ
ปั้นฉินอดทนต่อไปไม่ไหวจนน้ำตาไหลออกมา
“ฮูหยินป้าไปแล้ว…” นางเอ่ยพึมพำ
พูดว่าไปหรือ สู้บอกว่าหนียังจะใกล้เคียงกว่า
เพราะสีหน้าของนางนั้นปกปิดความรู้สึกภายในไม่ได้เลยสักนิด
“ไปแล้วก็ปล่อยไปเถิด” สาวใช้บอกพลางหันไปมองนาง “ร้องไห้ไปทำไมกัน ถึงไม่มีพวกเขา ก็ยังมีพวกเรา นายหญิงต้องไม่เป็นอะไรไปแน่ รีบมาช่วยข้าพยุงนายหญิงเร็ว!”
ปั้นฉินรีบเช็ดหน้าตาก่อนจะรุดเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆ
ส่วนฮูหยินโจวเองเมื่อมาถึงก็รีบเดินเข้าเรือนไปหลังเดินจากรถ นายใหญ่โจวที่นั่งดื่มชาอยู่กลางโถงเห็นนางเดินเข้ามาก็พลันตกใจ
“เหตุใดเจ้าถึงกลับมาแล้วเล่า” เขาเอ่ยถาม “ เจียวเจียวร์ฟื้นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
ฮูหยินโจวนั่งลงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ข้าว่า คงไม่มีทางหายดี” นางเอ่ย
นายใหญ่โจวสีหน้าตื่นตระหนก
“เพราะเหตุใด เหตุใดถึงไม่มีทางหายดี” เขาผุดลุกผุดนั่งพลางตะโกนออกมา
“ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่นิด แม้แต่ยาก็กรอกไม่เข้าปาก” ฮูหยินโจวเอ่ย “เชิญหมอมาก็ตั้งหลายคน ต่างก็บอกว่าร่างกายไม่ได้เป็นอะไร แต่ไม่กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ แถมยังบอกว่าไร้สติเหมือนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งใดคือคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่กัน เช่นนั้นก็เหมือนกับตอนเป็นเด็กไม่ใช่หรือ กลายเป็นเด็กบ้าที่ไร้ความรู้สึก”
กลับมาบ้าอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
นายใหญ่โจวสีหน้าตื่นตระหนกในทันใด
“เจ้าคนตระกูลเฉินผู้นั้น! ทำให้เจียวเจียวร์ของเราต้องเป็นเช่นนี้!” เขาลุกขึ้นตะโกนในทันใด “ข้าจะไปหาเขา!”
“ท่านหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ฮูหยินรีบลุกขึ้นแล้วรั้งเขาไว้ในทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ท่านบ้าไปแล้วหรือ จะไปหาเขาอย่างนั้นหรือ จะไปหาเขาเพื่ออันใดกัน เพราะเขาพูดเพียงไม่กี่คำ ให้จดหมายแก่นาง จะกล่าวหาว่าเขาเป็นคนทำร้ายนางหรือ หากพูดไป ผู้ใดจะเชื่อกัน”
นั่นสินะ ผู้ใดจะเชื่อกัน ก็เหมือนผู้ใดจะเชื่อว่าราชเลขาหลิวคุยกับหญิงผู้นั้นแล้วเป็นอัมพาตไป ตอนนี้ก็เหมือนครึ่งเป็นครึ่งตาย
นายใหญ่โจวหยุดฝีเท้า
“อีกอย่าง ตอนนี้อำมาตย์เฉินก็ยังคงเป็นอำมาตย์เฉิน แต่นางกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว” ฮูหยิน
โจวเอื้อนเอ่ยออกมา
คนแกล้งบ้านั้นน่ากลัว แต่คนบ้าจริงนั้น ไม่น่ากลัวเลยสักนิด…
นายใหญ่โจวสีหน้าสับสนไม่น้อย
หากนางยังสุขสบายดี แม้จะก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตมากแค่ไหน หากนางชี้นิ้วสั่งในเขาทำอะไรเขาก็คงทำ แต่ตอนนี้…
“แต่ก็ยังต้องไปหาหมอฝีมือดีมารักษา” นายใหญ่โจวลูบเคราเอ่ยอย่างกังวลใจ เขาหันหลังแล้วก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอีกสองสามก้าวแล้วนั่งลง
ผู้ดูแลร้านอู๋เดินออกจากห้องโถงอย่างฉับไว สาวใช้เดินตามเพื่อส่งแขกอยู่ด้านหลัง
“ท่านลุงไม่มาหรือ” เขาเอ่ยถาม
สาวใช้แค่นหัวเราะ
“มาก็แปลกสิเจ้าคะ” นางเอ่ย “แถมยังส่งคนมาบอกว่าตอนนี้เขากำลังตามฮูหยินไป ไม่รู้ว่าจะไปเชิญหมอจากที่ใดมา นี่ก็ผ่านมาวันหนึ่งแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา”
“อย่าร้อนใจ อย่าร้อนใจ ข้ารู้จักหมอท่านหนึ่ง รักษาโรคซับซ้อนเช่นนี้โดยเฉพาะ ข้าจะไปเชิญเขามาเอง” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ย
สาวใช้พยักหน้า
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านผู้ดูแลอู๋ด้วย” นางเอ่ย
“ช่วยเหลือนางก็เท่ากับช่วยเหลือตัวข้าเอง” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ย “ไม่รบกวนหรอก”
คนอื่นจะทอดทิ้งนายหญิงไม่สนใจใยดีอย่างไรก็ได้ แต่พวกเขาทำเช่นนั้นไม่ได้ แม้คนนอกจะนิ่งเฉยไม่สนใจอย่างไรก็ได้ แต่พวกเขานั้นทำไม่ได้
สาวใช้พยักหน้า
มองดูผู้ดูแลร้านอู๋เดินออกไปอย่างรีบร้อน
นางยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องโถง
“ยังไม่ฟื้นอีกหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
ขันทีที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าขานตอบว่าใช่
“เชิญหมอมารักษาแล้วก็หลายคน ต่างบอกว่าร่างกายไม่เป็นอะไร เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ฟื้นขึ้นมา” เขาเอ่ยก่อนชะงักไปครู่หนึ่ง
“ก็เลยคาดว่าโรคเก่ากำเริบพ่ะย่ะค่ะ”
“โรคเก่าอย่างนั้นหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
“ฝ่าบาท แต่ก่อนแม่นางเฉิงเคยเป็นเด็กสติไม่สมประกอบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยเสียงแผ่ว “หมอต่างคาดว่า นาง…เสียสติไปอีกแล้ว”
เสียสติอย่างนั้นหรือ
‘นางเป็นนายหญิงน้อยหรือนายหญิงใหญ่กัน ท่าทางดูเหมือนนายหญิงน้อย เหตุใดถึงเหมือน…หญิงชราถึงเพียงนี้
‘ไม่มีอะไรหรอก ข้าป่วยมานานเท่านั้น’
‘ความดีชั่วของคน ความร้อนหนาวของโลก อารมณ์ความปรารถนาต่างๆ ผู้ป่วยต่างก็ลิ้มรสถึงมันได้ ไม่ว่าอายุเท่าใด’
จิ้นอันจวิ้นอ๋องปาหนังสือลงบนโต๊ะ
“เหลวไหล นางไม่มีทางเสียสติไปแน่” เขาเอ่ย
ไม่มีทางเป็นไปได้!
นางยังคงมีสติแน่นอน!
เสียงฝีเท้าวุ่นวายยังคงดังไม่หยุด เสียงร้องไห้ดังระงม ไอร้อนของควันไฟคละคลุ้งไปทั่ว
ไฟไหม้! ไฟไหม้!
เฉิงเจียวเหนียงหันมองไปรอบกาย ท้องฟ้ามืดมิด เปลวไฟสีแดงเพลิงกำลังแผดเผา ด้านหลังมีเงาคนที่กำลังวิ่งหนีอลหม่าน
ดูเหมือนว่านางจะอยู่ที่นี่มานานพอสมควร
นางค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า หมายจะมองให้ชัดว่าเบื้องหน้านั้นคือผู้ใดกัน ทว่าฝ่าเท้าเหมือนเหยียบลงบนสิ่งอ่อนนุ่มบางอย่าง
นางก้มหน้ามอง ท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ส่องแสงสะท้อนให้เห็นศพที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้น
ทั้งชาย ทั้งหญิง ทั้งคนแก่ ทั้งคนหนุ่ม ทั้งสมบูรณ์ดี ทั้งพิกลพิการกระจัดกระจายไปทั่ว
แววตานั้นไม่ได้แดงก่ำเพราะแสงของเปลวเพลิง แต่เป็นเพราะสีของเลือด
ตายหมดแล้ว ตายกันหมดแล้ว
เสียงสะท้อนกึกก้องในหัว ตายกันหมดแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมา ทว่ากลับไร้ความรู้สึก ไม่เจ็บปวดแต่อย่างใด
เปลวไฟเบื้องหน้าค่อยๆ มอดดับไป เงาของร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ร่างนั้นกลืนไปความมืดสนิทของยามค่ำคืน ทว่ายังพอมองออกว่าเป็นร่างของชายผู้หนึ่ง
ภาพความทรงจำและเสียงของคนเป็นพ่อเคยผุดขึ้นมาในหัวของนางอยู่บ้าง ทั้งยังปรากฏภาพความทรงจำของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สอนวิชาแพทย์ให้แก่นาง ซึ่งนางเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นผู้ใด แล้วคนผู้นี้คือใครกัน
“เจ้าเป็นใครกัน” นางถามออกไปอย่างอดไม่ได้ นางอยากเดินเข้าไปใกล้ ทว่าเท้ากลับก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น
“เช่นนี้ ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น เสียงนั้นทุ่มต่ำแหบพร่า ให้ความรู้สึกบีบคั้นราวกับความมืดมิดมิปาน “เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
ดีแล้วเรื่องอันใดกัน
“เจ้าเป็นใครกัน” เฉิงเจียวเหนียงตะโกนถามอีกครั้ง พยายามเบิกตาหมายจะมองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทว่าน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่นั้นกลับทำให้ภาพพร่ามัว
มือข้างหนึ่งอุดจมูกและปากของนางไว้
ลมหายใจขาดห้วงไปในทันที
เฉิงเจียวเหนียงอยากจะดิ้นหนี ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงทนทรมานกับการหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้
นางตายไปแบบนั้นหรือ
ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของนาง มือข้างหนึ่งไล้ไปที่ดวงตาของนางแล้วปาดน้ำตาออก
ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดก็พลันสว่างรำไรขึ้นมา เบื้องหน้าปรากฏใบหน้าของชายผู้หนึ่ง
นั้นคือดวงตาคู่หนึ่งอย่างแน่นอน
ดวงตาสีดำขลับดั่งท้องฟ้ายามรัตติกาล
“ลืมไปหมดแล้ว ก็ดีแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงตาเบิกโพรงในทันใด นางรู้สึกถึงความเจ็บปวด! เจ็บปวดที่หัวใจ!
นางก้มลงมองที่หน้าอกของตน กริชรูปร่างประหลาดปักอยู่ที่กลางอกของนาง เลือดไหลอาบไปทั่วเหมือนกองไฟที่ลุกลาม หัวใจที่กำลังเต้นตุบถูกควักออกมา
นั่นคือหัวใจของนางหรือ
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นก่อนจะล้มลงไป สายตามองเห็นเพียงชายคนหนึ่งกำลังเดินออกไปไกลเรื่อยๆ เขาจ้องมองนาง ริมฝีปากขยับไหวอย่างเชื่องช้า
เขาเหมือนตะโกนเรียกชื่อหนึ่ง ทว่ากลับไร้สิ้นเสียง
นั่นคือชื่อของข้าหรือ
คืออันใดกัน
ข้าคือใคร
ข้าคือใคร
จินเกอร์ยืนอยู่หน้าประตู มองดูปั้นฉินที่แนบหูกับริมฝีปากของเฉิงเจียวเหนียง สีหน้าดูทั้งร้อนรนและกังวลใจ
“พี่ปั้นฉิน เป็นอย่างไรบ้าง นายหญิงพูดออกมาหรือ” เขาถามในทันที “พูดว่าอย่างไร จะฟื้นแล้วใช่หรือไม่”
“นายหญิงฟื้นแล้วหรือ”
สาวใช้ที่ก้าวเข้าประตูมาได้ยินจึงร้องตะโกนอย่างดีใจ ก่อนจะรีบพุ่งตัวเข้ามาในทันที นางผลักจินเกอร์ออกไปแล้วเข้ามาในห้อง
หญิงสาวยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง
สาวใช้สีหน้าหม่นหมองลงในทันใด
“เมื่อครู่นายหญิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง” ปั้นฉินเอ่ย สีหน้าดูสับสนไม่เข้าใจ
“พูดว่าอย่างไร” สาวใช้ชะงักไปก่อนจะถามอย่างดีใจในทันที
“เหมือนจะพูดว่า ข้าคือใคร” ปั้นฉินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
ข้าคือใครอย่างนั้นหรือ
สาวใช้ตกตะลึงในทันใด
“ก่อนที่นายหญิงจะหมดสติไปก็ถามคำถามนี้” ปั้นฉินเอ่ย “พออ่านจดหมายที่ได้มาจากใต้เท้าเฉินก็ถามคำถามนี้… ตอนนี้ก็เอาแต่พูดคำนี้ หมายความว่าอย่างไรกันแน่”
จดหมายที่ใต้เท้าเฉินเอามาให้…
ทั้งหมดเป็นเพราะจดหมายที่ใต้เท้าเฉินเอามาให้…
จดหมายฉบับก็มีเนื้อความแปลกประหลาดเพียงสามคำ เจ้าเป็นใคร
นายหญิงหมดไปก็เพราะใต้เท้าเฉินมาหา เรื่องนี้พวกนางบอกกันนายใหญ่โจวไปแล้ว หากคราวนี้หมายจะให้นายใหญ่โจวเป็นคนออกหน้าคงเป็นไม่ได้
“ตระกูลเฉิน ถึงผู้ใดจะกลัว แต่ข้าไม่กลัว” สาวใช้กัดฟันแน่น “ข้าจะไปหาเขา!”
ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลเฉิน ท่านชายฉินสิบสามกำลังเดินเข้าประตูไปอย่างรีบร้อน
“ท่านชายฉิน ท่านชายฉิน นายท่านมีแขกอยู่ ขอท่านได้โปรดรอสักครู่” บ่าวที่หน้าประตูห้องรีบเอ่ยขวางเขาไว้
“มีแขกอย่างนั้นหรือ รออย่างนั้นหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะ “วันนี้นอกเสียจากฝ่าบาทจะเสด็จ ผู้ใดก็ต้องหลีกทางให้ข้า!”
บ่าวเรือนตระกูลเฉินสีหน้าตื่นตระหนก
ว่าอย่างไรนะ
“เฉินเซ่า เรื่องนี้ข้าต้องการคำอธิบายจากเจ้า!”
ท่านชายฉินสิบสามตะโกนลั่น ประตูเรือนถูกเปิดออกก่อนชายหนุ่มจะก้าวเท้าเข้าไป
…………………….