พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 297 ถามใจ
แม่นมตระกูลฉินวิ่งกรูเข้ามาในห้องโถง ขัดจังหวะฮูหยินฉินที่กำลังหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกับเหล่าสาวใช้
“มีอะไรหรือ ชายสิบสามกลับมาแล้วหรือ” ฮูหยินฉินถาม สีหน้าของนางดูประหลาดใจปนขุ่นเคืองเล็กน้อย “อาจารย์ประสาอะไร… จับคนขังให้อ่านหนังสืออยู่ในเรือน คงอ่านจนเหนื่อยล้าไปหมดแล้วกระมัง…”
“เร็วเข้า เร็วเข้า พวกเราไปดูกันดีกว่าว่าเขาจะอ่อนเพลียสักแค่ไหนกันเชียว”
เหล่าสาวใช้พากันหัวเราะคิกคัก
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่เจ้าค่ะฮูหยิน ท่านชายสิบสามยังไม่กลับมาที่เรือน แต่ไปที่เรือนตระกูลเฉินเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยในทันใด
ฮูหยินฉินชะงักไปครู่หนึ่ง
“ไปทำอันใดที่เรือนตระกูลเฉินเล่า” นางถาม “เขาไปสนิทสนมกับตระกูลเฉินตั้งแต่เมื่อใด”
“ฮูหยินเจ้าคะ ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเพราะสนิมสนม แต่ไปหาเรื่องเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยอย่างร้อนรน “มีบ่าวมาส่งข่าวเมื่อครู่ เกรงว่ายามนี้คงถึงเรือนตระกูลเฉินแล้ว ฮูหยินรีบไปเถอะเจ้าค่ะ”
หาเรื่องอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินฉินยกพัดขึ้นมาป้องปากแล้วหันไปมองสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย
“ชายสิบสามไปหาเรื่องผู้อื่นถึงบ้านเป็นกับเขาด้วยหรือนี่” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม่นมคุกเข่าลง
“ฮูหยิน อย่าเอาแต่เล่นอยู่เลยเจ้าค่ะ” พวกนางร้องตะโกน
“ก็ได้ เช่นนั้นก็เล่ามาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางยิ้ม ท่าทางดูไม่กังวลใจเลยสักนิด “เอาเป็นว่าชายสิบสามของข้าต้องไม่ใช่ฝ่ายผิดแน่นอน”
“เรื่องเป็นอย่างไรยังไม่ชัดแจ้ง ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ดูเหมือนว่าแม่นางเฉิงล้มป่วย คล้ายว่าตระกูลเฉินจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ท่านชายเลยไปเอาความกับเขาเจ้าค่ะ” เหล่าแม่นมตอบ
ฮูหยินฉินตกตะลึง
“แม่นางเฉิงป่วยหรือ” นางถาม
เหล่าแม่นมพยักหน้า
“ป่วยมาได้สองวันแล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าหมดสติไปแล้วยังไม่ฟื้น” พวกนางตอบ
“โธ่ สวรรค์ เหตุใดข้าถึงไม่รู้ข่าวเลยเล่า ถึงว่าละชายสิบสามถึงได้ร้อนใจเช่นนั้น” ฮูหยินฉินเอ่ยพลางพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนในทันใด
“ไป ไปกัน พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เหล่าแม่นมรีบพากันเดินตามนางออกไปข้างนอก
“ฮูหยินจะไม่บอกนายใหญ่ก่อนสักหน่อยหรือเจ้าคะ…” พวกนางเอ่ยถาม “จะได้ให้นายใหญ่ไปด้วย…”
“เรื่องเช่นนี้จะให้นายใหญ่ไปทำไมเล่า นางเป็นหญิงสาวตัวคนเดียว แถมยังล้มป่วยอีกต่างหาก ผู้ชายจะไปได้อย่างไร” ฮูหยินฉินเอ่ย
หญิงสาวตัวคนเดียวหรือ
เหล่าแม่นมชะงักไปชั่วขณะ
“ฮูหยิน พวกจะไปเรือนตระกูลเฉินใช่ไหมเจ้าคะ” พวกนางเอ่ยถาม
“เราจะไปเรือนตระกูลเฉินกันเพื่ออันใดเล่า ชายสิบสามก็ไปแล้วไม่ใช่หรือ พวกเราจะไปเยี่ยมแม่นางเฉิงต่างหาก” ฮูหยินเฉินเอ่ยพลางมองเหล่าแม่นมที่ถามคำถามเมื่อครู่อย่างสงสัย
เหล่าแม่นมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
ไปเรือนแม่นางเฉินอย่างนั้นหรือ
“ฮู…ฮูหยิน แล้วตระกูล…ตระกูลเฉิน…” พวกนางอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดเช่นไรดี
“เอ๊ะ ตระกูลเฉินอันใดอีก…” ฮูหยินฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
ใช่แล้ว ใช่แล้ว ที่เรือนตระกูลเฉินมีเรื่องสำคัญกว่า
เหล่าแม่นมหันไปมองนาง
“ชายสิบสามก็เป็นเพียงคนคนหนึ่ง แถมอายุยังน้อย…” ฮูหยินฉินพยักหน้าพลางชี้นิ้วเอ่ย “ไปบอกนายใหญ่ เผื่อว่าชายสิบสามเถียงไม่ชนะ คนเป็นพ่อจะได้ออกโรง…”
ว่าอย่างไรนะ! เหล่าแม่นมเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง
ไม่ได้ไปห้ามหรอกหรือ นอกจากจะไม่ห้ามที่ท่านชายสิบสามไปหาเรื่องตระกูลเฉินแล้ว ยังจะให้นายใหญ่ไปด้วยอีกหรือ
เพียงเพราะแม่นางเฉิงอย่างนั้นหรือ
“แน่นอนว่าเพื่อแม่นางเฉิง”
ณ ห้องหนังสือของเฉินเซ่าในเรือนตระกูลเฉิน ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้าเฉิน ท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร”
เฉินเซ่าสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ เขาตื่นตระหนกที่เฉิงเจียวเหนียงจู่ๆ ก็ล้มป่วยไปเสียอย่างนั้น แถมยังป่วยหลังจากได้อ่านจดหมายที่เขามอบให้ และตกใจว่าคนที่มาเอาความถึงบ้านไม่ใช่คนจากตระกูลโจวแต่กลับเป็นท่านชายผู้นี้
ทว่าก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นท่านชายผู้นี้มาโดยตลอด…
ตั้งแต่เรื่องของราชเลขาหลิวไปจนถึงเรื่องทหารหนีทัพ มองผิวเผินดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องอันใด แต่ที่ทุกเรื่องลงเอยเช่นนี้ล้วนแต่มีเขาอยู่เบื้องหลัง
“อาการป่วยนางเป็นอย่างไรบ้าง เชิญหมอมารักษาหรือยัง” เฉินเซ่าเอ่ยพลางลุกยืนขึ้นแล้วตะโกนเรียกให้คนเตรียมรถ “ไปตามหมอมา พวกเรารีบไปกันเถิด”
“ท่านอย่างแสร้งทำเป็นสงสารเลย” ท่านชายสิบสามเอ่ยขัดจังหวะ
“ท่านชายสิบสาม ท่านพูดเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร” เฉินเซ่าขมวดคิ้วเอ่ย
“จดหมายฉบับนั้น ท่านเป็นคนตั้งใจมอบให้นางใช่หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“จดหมายฉบับนั้นไม่ใช่ของข้า แต่เป็นของสหายเก่าของนางที่วานให้ข้ามอบให้นาง หากข้าไม่มอบให้นางต่างหาก เช่นนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าผิด” เฉินเซ่าเอ่ย
“สหายเก่าหรือ ผู้ใดจะรู้กันว่าเป็นสหายเก่าของท่านหรือว่าสหายของผู้ใดกันแน่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางมองไปที่เฉินเซ่า “อาการสติไม่สมประกอบของนางหายดีแล้ว แต่ว่าความรู้สึกยังกลับมาไม่ครบถ้วน จำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แต่ท่านกลับไปตามหาสหายเก่าของนาง ใต้เท้าเฉิน ท่านรู้จักโรคนอนละเมอหรือไม่”
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว
“คนนอนละเมอ หากผู้ใดพบเห็นอย่างได้ตะโกนร้องเรียกเป็นอันขาด ต้องหลบเลี่ยงหรือว่าปล่อยไปเสียเช่นนั้น หากเผลอตะโกนเรียกคนนอนละเมอให้ฟื้นขึ้นมา คนผู้นั้นจะตกใจตื่นจนเสียสติ” ท่านชายฉินสิบสามพูดต่อพลางมองเฉินเซ่า “แม่นางเฉิงยามนี้ก็เหมือนกับคนที่กำลังนอนละเมอ จำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แต่จู่ๆ ท่านก็พรวดพราดเข้ามา ร้องตะโกนบอกว่านางคือผู้ใด เหมือนกับเอาไม้ตีแสกหน้าคนปกติคนหนึ่ง นางจะรับได้อย่างไร”
เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่เพราะเป็นเช่นนี้อีกนั่นแล เฉินเซ่าถึงได้ทำสีหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ท่านชายสิบสาม เรื่องของสหายเก่าเป็นเรื่องจริง จดหมายฉบับนั้น พวกข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเนื้อความว่าอย่างไร เพียงเพราะหาสหายเก่าของนางเจอ ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นอาจารย์ของนางด้วย ข้าก็เลยมัวแต่ดีใจ และคิดว่านางก็คงดีใจเช่นกัน ทว่ากลับละเลยเรื่องนั้นไปเสียได้…” เขาพูดถึงเพียงเท่านั้นก็ถอดหายใจออกมาอีกครั้ง พลางส่ายหน้า “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะกลายเป็นเช่นนี้…”
“ใต้เท้าอย่าได้เสียใจไป เพราะผลลัพธ์ก็น่าดีใจไม่น้อยใช่หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางหัวเราะเยือกเย็น
“ท่านชายสิบสาม เจ้ายังเด็ก ข้าไม่ถือโทษเจ้าหรอก” เฉินเซ่าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเฉินเซ่าผู้นี้เป็นคนอย่างไรก็เป็นคนเช่นนั้น ข้ารู้ชัดแจ้งว่าตนเองทำอะไรอยู่ และไม่เกรงกลัวคำกล่าวหาเลื่อนลอยของเจ้า”
“เช่นนั้นท่านใต้เท้าเฉินเซ่ารู้หรือไม่ ว่าข้ากล่าวหาท่านว่าอย่างไร” ท่านชายฉินสิบสามมองเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เฉินเซ่าชะงักไปครู่หนึ่ง
“นางรักษาอาการป่วยของนายใหญ่ตระกูลท่านจนหายดี ทว่ากลับไม่เคยพึ่งพาบารมีของตระกูลท่าน เพียงไม่นานก็ยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้ในเมืองหลวง เหล่าคนที่ต้องการแย่งชิงกิจการของนาง บ้างก็ตายไปแล้ว บ้างก็พิการ มีทั้งนักเลงอันธพาลไปจนถึงราชเลขาหลิว หลายครั้งที่นางทำให้ท่านต้องประหลาดใจ ขณะที่ท่านประหลาดใจ ในใจก็คงก่อเกิดความริษยากระมัง… หญิงสาวเช่นนั้นแต่กลับฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย เป็นผู้ใดก็คงอดจะหวาดกลัวไม่ได้ จากนั้นในที่สุดก็มาถึงคราวของท่าน… ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางมองหน้าเขา
จังหวะการพูดของเขานั้นเนิบช้า แต่เสียงก้องกังวาลสมดั่งเป็นคนหนุ่ม พอเขาเริ่มพรรณนา ภาพเรื่องราวในอดีตก็เริ่มแวบเข้าในหัวของเฉินเซ่า
“ผู้ใดจะไปรู้ว่าเรื่องที่ท่านและเจ้ากรมกิจการเกาโต้เถียงกันมานานนับปี จะมีจุดจบเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะสำเร็จแต่กลับกลายเป็นที่น่าผิดหวัง และทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะหญิงสาวผู้หนึ่งวิ่งโร่ไปคุยกับอาจารย์เจียงโจวที่เป็นคนนอก คนเช่นนี้ คนที่พูดเพียงคำเดียวก็สามารถทำลายสิ่งที่พวกท่านสั่งสมมานานหลายปี ผู้คนมากมายต้องจบชีวิตและหมดอนาคตเพราะนาง คนเช่นนี้คงน่ากลัวไม่น้อยเลยใช่หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางยิ้มบาง “คนเช่นนั้น หากจู่ๆ ล้มป่วยลง หมดสติไม่ฟื้นขึ้นมา ในใจของท่านคงคลายกังวลไปไม่น้อยสิท่า”
เสียงม้วนหนังสือกระแทกกับโต๊ะเตี้ยดังลั่นขึ้นมา
เหล่าบ่าวที่ยืนอยู่นอกห้องพากันหนีออกไป
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” เฉินเซ่าเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด “ข้าเฉินเซ่าผู้นี้ประพฤติตนเที่ยงธรรม คิดว่าข้าจะเกรงกลัวคำกล่าวหาของเจ้าหรือ”
ท่านชายฉินสิบสามมองเขาไม่เอ่ยคำใด ยกมือขึ้นคำนับแล้วหันหลังเดินออกไป
“เช่นนั้นแล้ว เบื้องหลังของเรื่องนี้เป็นฝีมือของพวกเจ้าหรือ” เสียงของเฉินเซ่าดังขึ้นจากด้านหลัง
ท่านชายฉินสิบสามหยุดฝีเท้าลงแล้วเหลียวกลับมามองเขา
“อันที่จริง เบื้องหลังหลายเรื่องเป็นฝีมือของข้า ใต้เท้า หากแม่นางเฉิงเป็นอะไรไป ไม่นานท่านก็จะได้เห็น ว่าข้าจะทำการอันใดต่อหน้าท่านอย่างเปิดเผย” ท่านชายฉินเอ่ยพลางยิ้มบาง
พูดจบก็หันหลังก้าวยาวออกไป
เฉินเซ่าที่อยู่ในห้องยังคงสีหน้าเคร่งขรึม เขาส่ายหน้าอีกครั้งก่อนถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้าเด็กนี่!” เขาเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน “รีบไปเตรียมรถ”
บ่าวที่ยืนอยู่หน้าประตูขานรับในทันทีแล้ววิ่งออกไป เฉินเซ่าเองก็ไม่รีรอที่จะเดินออกจากห้องหนังสือมุ่งหน้าไปยังลานบ้าน
สาวใช้บังเอิญเจอท่านชายฉินสิบสามที่หน้าเรือนตระกูลเฉินก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“นั่นคือจดหมายฉบับนั้นหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม
“ท่าน ท่านรู้ด้วยหรือ” สาวใช้ถามอย่างประหลาดใจ ก้มลงมือจดหมายที่กำอยู่ในมือ
ท่านชายฉิบสิบสามยื่นมือออกไปคว้าก่อนจะเปิดอ่าน
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ หากมีเหตุอันใดให้ไปหาบ่าวของข้า เหตุใดถึงไม่ไป” เขาถาม
ยามนี้สีหน้าของท่านชายนั้นตึงเครียด ไม่ได้ยิ้มแย้มสดใสเหมือนเช่นเคย
สาวใช้พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“เช่นนั้นหากวันหน้าเกิดเหตุอันใดจะไปหาตระกูลโจวก็ได้ บ่าวของท่านชายหกก็ยังอยู่หน้าประตูเรือน พวกเจ้าบอกกับเขาก็ได้ เขาจะเป็นคนมาบอกข่าวข้าเอง” ท่านชายฉินสิบสามพยักหน้า ไม่รอให้นางเอ่ยคำใด ก่อนจะคืนจดหมายให้สาวใช้แล้วเดินจากไป
สาวใช้อ้ำอึ้ง เหลียวมองประตูบ้านตระกูลเฉิน แล้วเหลียวไปมองท่านฉินสิบสามอีกครั้ง
“กลับไปดูแลนายหญิงของเจ้า หรือไม่ก็ดูแลกิจการร้านให้ดี เรื่องอื่นข้าจัดการเอง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยทั้งที่ไม่หันหลังกลับมา เขาพลิกตัวขึ้นม้า ไม่รอให้สาวใช้พูดอะไรก็ควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว
สาวใช้หันไปตะโกนเรียกอยู่หลายหน ทว่าม้าของชายหนุ่มได้วิ่งออกไปไกลเสียแล้ว
‘วันนี้ข้าจะมาบอกแม่นางว่าช่วงนี้ข้าต้องติดตามอาจารย์คนใหม่ไปเรียนหนังสือ ไม่ได้อยู่ที่เรือนเป็นประจำ หากแม่นางมีเรื่องอยากพบข้า ให้บอกกับบ่าวที่หน้าประตูเรือนข้า ข้ากำชับกับพวกเขาไว้แล้ว’
คำที่ชายหนุ่มเคยพูดดังขึ้นมาในหัว
จากเดิมที่คิดว่าพูดไปอย่างนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะจริงจังถึงเพียงนี้
สาวใช้ถอนหายใจ แหงนหน้ามองประตูเรือนตระกูลเฉิน ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดแล้วหันหลังเดินจากไป
ณ โรงเตี๊ยม บ่าวของท่านชายหวังสิบเจ็ดเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ท่านชาย ท่านชาย แย่แล้วขอรับ”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่หงุดหงิดอยู่เป็นทุนเดิมแล้วยิ่งโมโหขึ้นกว่าเดิม
“หากข้าแย่กว่านี้ ก็คงต้องตายแล้วละ” เขาตะคอก
“ท่านชาย ไม่ใช่ท่านที่ตาย แต่เป็นแม่นางตระกูลเฉิงต่างหากที่ใกล้ตาย” บ่าวตระกูลหวังร้องตะโกน
ว่าอย่างไรนะ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดนั่งตัวตรง บ่าวที่ติดตามก็พากันลุกขึ้น
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า ก็ดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ นางจะตายได้อย่างไรกัน” เขาถาม
“ขอรับ เมื่อครู่ข้าจะไปบอกกับนางว่าวันพรุ่งนี้จะออกเดินทาง แต่ถูกขวางไว้ในอยู่ด้านนอก คนมากันมากมาย บอกว่านางล้มป่วย ป่วยเพียงไหนกันเชียวคนถึงเข้าออกเรือนกันให้วุ่นวายขนาดนั้น แถมยังไม่ให้ข้าเข้าไปอีก” เขาพูดต่ออย่างรีบร้อน “ต้องป่วยหนักอย่างแน่นอน”
ป่วยหรือ เช่นนั้นไม่ต้องกลับก็ได้สิ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“เร็วเข้า ข้าจะไปเยี่ยม” เขาเอ่ย
“ท่านชาย ไปไม่ได้นะขอรับ ท่านยังป่วยอยู่” บ่าวชราขวางเขาไว้ทั้งยังจ้องตาเขม็ง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่บ่าวอีกคน “เจ้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถามให้ชัดว่าป่วยเป็นอะไร”
บ่าวผู้นั้นขานรับ
“เจ้าไปดูมาให้ดี หากป่วยจริง พวกเราก็จะได้รอ จะพานางกลับทั้งที่ยังป่วยไม่ได้” ท่านชายหวังสิบเจ็ดพูดต่อ
บ่าวขานรับอีกครั้ง
กู่ป๋อที่อยู่ข้างๆ ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
ในใจของท่านชายคิดการอันใดอยู่เขาย่อมรู้แจ้ง ทว่าบางเรื่องก็จำเป็นต้องหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง เพียงแต่เรื่องนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้
หากแม่นางเฉิงผู้นั้นป่วยจริง ก็คงพานางเดินทางไปด้วยไม่ได้ อย่าว่าแต่เดินทางเลย งานแต่งก็คงต้องยกเลิก อย่างไรเสียเดิมทีการมาสู่ขอก็ทำไปเพื่อเอาใจท่านชายเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดจะตบแต่งกันจริงจัง หากป่วยจริงก็ดี ท่านชายจะได้ล้มเลิกไปเสีย