พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 310 ถามเมื่อเห็น
“โดนตีมาอีกแล้วหรือ”
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง บ่าวชราของตระกูลหวังขมวดคิ้วถาม
เมื่อมองเห็นแก้มทั้งสองข้างของผู้ติดตามหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บวมแดง ทำให้คนอื่นๆ ทั้งตกใจ ทั้งกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ทำไมเจ้าถึงได้โชคร้ายเช่นนี้”
“คราวนี้เจ้าโดนใครตีมา”
ผู้ติดตามหนุ่มทั้งโกรธ ทั้งรำคาญ
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร! ” เขาพูดจาโมโหสุดขีด “หลังจากตีเสร็จก็วิ่งหนีไปเลย! แม้แต่หมอก็วิ่งหนีไปด้วย! ”
เพื่อหยุดเสียงหัวเราะของทุกคน บ่าวชราจึงมองดูบาดแผลบนใบหน้าของผู้ติดตามหนุ่ม
“คนคนนี้เป็นนักสู้” เขาพูดพลางขมวดคิ้วอีกครั้ง “เจ้าพูดอะไรถึงทำให้เขาโกรธขนาดนี้”
“ข้าไม่ได้พูดอะไร ยังไม่ทันได้เห็นหน้าเขาเลย จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาทุบตีข้า! ” ผู้ติดตามตะโกนอย่างรู้สึกไม่ได้ความเป็นธรรม
บ่าวชราส่ายศีรษะ
“เล่าทุกอย่างที่เจ้าพูดออกไปให้ข้าฟังอีกรอบ” เขาเอ่ย
ผู้ติดตามหนุ่มพูดซ้ำสิ่งที่เขาพูดในเวลานั้น
“ก็ไม่มีอะไรหนิ”
พอทุกคนฟังจบต่างพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ครั้งนี้ข้าทำหน้ายิ้มสู้ และพูดอย่างสุภาพและนอบน้อม…” ผู้ติดตามหนุ่มพูดอย่างน้อยใจ
ครั้งที่แล้ว บ่าวชราบอกว่าท่าทางของตนค่อนข้างหยิ่งผยอง อาจทำให้อีกฝ่ายโมโหได้ ดังนั้น ครั้งนี้ โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าตระกูลโจวนั้นร้ายกาจนัก ระหว่างที่เขาเข้าไปพูดคุยจึงนอบน้อมและสุภาพมากกว่าปกติ
เขากลับถูกทุบตีอย่างไม่คาดคิด!
ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!
“ข้าคิดว่าอาจเป็นเพราะพูดว่าเรือนนางฟ้าเป็นของตระกูลโจวเลยทำให้อีกฝ่ายโมโหก็เป็นได้” บ่าวชราไม่ยิ้ม แต่กลับวิเคราะห์แทน “คนคนนั้นไม่ต้องการให้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรือนนางฟ้าและตระกูลโจว หรือโกรธเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเรือนนางฟ้าและตระกูลโจวกันแน่”
“ใครจะไปรู้เล่า! บ้าเอ้ย” ผู้ติดตามหนุ่มพูดอย่างโกรธแค้น และนึกบางอย่างออกจึงอุทาน “ใช่ ใช่ เขาน่าจะบ้า ทั้งศีรษะทั้งใบหน้าบวมเหมือนหัวหมูซะขนาดนั้น! ”
บ่าวชรายกมือ ส่งสัญญาณให้พวกเขาหยุดพูด
“ไปดูอาการเจ็บป่วยของแม่นางตระกูลเฉิงกันเถิด” เขาเอ่ย “เอาเป็นว่าตระกูลนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากอาการเจ็บป่วยของแม่นางตระกูลเฉิงหายเป็นปกติ การแต่งงานครั้งนี้ก็คุ้มค่านัก หากแม่นางของตระกูลเฉิงรักษาไม่หาย พวกเราก็ต้องตั้งท่าไว้ให้มั่น ข้าจะเขียนจดหมายถึงนายใหญ่และเล่าเรื่องของตระกูลโจวอย่างละเอียด”
“ถ้าอย่างนั้นท่านหมายความว่าเราต้องการให้ค่ากับตระกูลโจวหรือ” ผู้ติดตามคนหนึ่งถาม
“เมื่อจำเป็นก็ต้องให้ความสำคัญกับตระกูลโจว” บ่าวชราตอบ
ผู้ติดตามดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
ครั้งนี้ที่ตระกูลหวังยอมให้หวังสิบเจ็ดกับคนบ้าของตระกูลเฉิง เหตุผลหลักก็เพื่อตามใจหวังสิบเจ็ด ส่วนเหตุผลอีกครึ่งหนึ่งเพราะฮูหยินใหญ่เฉิง เนื่องจากต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉิง และเมื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉิงก็ย่อมละเลยตระกูลโจวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เวลานี้บ่าวชรากลับพูดจาเช่นนี้ออกมา หมายความว่าเมื่อตระกูลเฉิงและตระกูลโจวขัดผลประโยชน์กัน ตระกูลหวังจะโน้มเอียงไปทางตระกูลโจวมากกว่าตระกูลเฉิง
ตระกูลโจวคุ้มค่าพอที่ให้ทำเช่นนี้หรือ
ช่วงเวลากลางวันของหอเต๋อเซิ่งเงียบสงบและสวยงามมาก พวกบ่าวทั้งหลายก็ไม่ค่อยยุ่งเท่าไรนัก
“ชุนหลิง ชุนหลิง”
บ่าวคนหนึ่งกวักมือเรียก
สาวใช้ตัวน้อยที่เดินผ่านชั้นบนได้ยินเสียงเรียกจึงชะโงกหน้ายิ้มเล็กน้อย ยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว
“พี่ชาย พี่ชาย ขอบคุณพี่ชายมาก” นางพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข “เมื่อวานข้าออกไปข้างนอกกับแม่นางจูมา โดยเดินทางไปยังบ้านของตระกูลคังที่พี่ๆ ทั้งหลายเคยพูดถึงพอดี ต้องขอบคุณคำเตือนของพี่ๆ ทั้งหลายมาก ข้าเตรียมพิณไปมากกว่าหนึ่งตัว และได้ใช้มันจริงๆ ”
นางโค้งคำนับให้กับทุกคน
“นายหญิงชมข้า ตระกูลคังก็ตบรางวัลเป็นเงินให้กับข้าด้วย” นางพูดพลางหยิบถุงเงินออกมา “เงินนี่ให้พี่ๆ ซื้อน้ำชากิน”
“โถ ชุนหลิงจะเกรงใจกันมากเกินไปแล้ว”
“ถึงว่าแม่นางจูถึงชอบเจ้านัก”
ทุกคนต่างพูดชื่นชมนาง
“มา มา วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องอีกสองตระกูลให้ฟัง” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ชุนหลิงพยักหน้าขอบคุณเขา นั่งลงเพื่อฟังบ่าวผู้นั้นเล่าเรื่องที่น่าสนใจของตระกูลอันโด่งดัง
“อ่อ ที่แท้ตระกูลของพวกเขาเป็นแบบนี้นี่เอง หากพี่ไม่เล่า ข้าคงคิดไม่ถึง” พอนางฟังจบ จึงถามโดยไม่ตั้งใจ “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่ากุยเต๋อหลางเจียงแห่งตระกูลโจวเป็นคนประเภทใดกัน”
“ตระกูลโจวหรือ” บ่าวคนนั้นมองนางด้วยความประหลาดใจ “ชุนหลิงต้องการถามถึงตระกูลโจวหรือ”
“เมื่อวานขณะอยู่ที่บ้านของตระกูลคัง ได้ยินตระกูลคังพูดถึงตระกูลนี้ แสดงว่าต้องเก่งกาจมากแน่ๆ ” ชุนหลิงกระพริบตาถาม
บ่าวทั้งหลายตอบรับ
“ที่แท้ตระกูลคังพูดถึงนี่เอง ไม่แปลกใจเลย” พวกเขายิ้มพูด “แต่จริงๆ แล้วตระกูลโจวก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร”
ดวงตาของชุนหลิงเป็นประกาย
“เพราะอะไรหรือ” นางทำหน้าสงสัยถาม
เมื่อสร้างเรื่องว่าตระกูลคังพูดถึงตระกูลโจวขึ้นจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่คาดไม่ถึงว่าทุกคนกลับไม่ประหลาดใจเลย
ตระกูลโจวมีชื่อเสียงในเมืองหลวงเช่นนี้เลยหรือ
แต่ทำไมถึงพูดว่าไม่ได้เก่งกาจอะไรเล่า
“ชุนหลิง เจ้ามาช้าไป เมื่อปีที่แล้ว เมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น”
“…พวกเขาทั้งหมดถูกตัดสินประหารชีวิตแล้ว…”
“เมื่อคนมาถึงก็รักษาหายเป็นปกติ…”
“…กินหินทองคำ มีคนในเมืองหลวงตายไปนักต่อนัก…สุราและเนื้อสัตว์รักษาบัณฑิตถงจนหายเป็นปกติ…”
ตายแล้วฟื้น แม่นางหมอเทวดา ไม่แปลกใจเลยที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง
ชุนหลิงรู้สึกประหลาดใจหลังจากได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้
บ้านของตระกูลโจวกลับมีหมอเทวดาซ่อนอยู่!
“ดังนั้นแม้ว่าตระกูลโจวจะไม่ใช่ครอบครัวที่เก่งกาจอะไร แต่กลับมีอนาคตที่ก้าวหน้า”
“เรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า อี๋ชุนถัง ว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลโจว…”
“ดังนั้นตระกูลโจวเลยได้รับทั้งชื่อเสียงและโชคลาภ ขอเงินได้เงิน ขอคนได้คน ภายภาคหน้าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
คนบ้ากลับมีญาติฝั่งตายายเช่นนี้…
คำพูดวิจารณ์และเสียงหัวเราะของบ่าวเหล่านั้น ชุนหลิงกลับไม่ได้ยิน เพราะตอนนี้นางสติหลุดเล็กน้อย
คนบ้านั่นทำไมถึงโชคดีเช่นนี้
คนบ้านั่นกลับทำลายโชคลาภไปอย่างสูญเปล่า
หากพี่สาวน้องสาวของพวกนางมีบ้านเช่นนี้ ชะตากรรมของพวกนางจะเป็นอย่างไร
โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม!
“นี่พูดถึงตระกูลโจว มีความเกี่ยวโยงกับชุนหลิงเจ้าอยู่บ้างนะ” จู่ๆ บ่าวคนหนึ่งก็พูดขึ้น
ชุนหลิงตกตะลึงและมองไปที่บ่าวคนนั้น
“ข้าหรือ” นางถามอย่างสงสัย
“ใช่ แม่นางหมอเทวดาของตระกูลโจว จริงๆ แล้วไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลโจว แต่เป็นหลานนอกและมาจากเจียงโจว” บ่าวคนนั้นเอ่ย “ว่ากันว่าเดิมทีนางเป็นคนบ้า แต่กลายเป็นหมอเทวดาหลังจากได้รับการเบิกเนตรจากปรมาจารย์สูงสุดแห่งผู้บำเพ็ญพรต…”
“ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ คนตาบอดหวังจากถนนตงก็ได้รับเลือกจากเทวดาให้เป็นแม่หมอ ดังนั้น ท่านเทพยาดานะท่านเทพยาดาลำเอียงรักใคร่แต่คนพิการเหล่านี้…” บ่าวอีกคนหนึ่งเอ่ย
อะไรนะ! อะไรนะ!
ชุนหลิงมองไปที่บ่าวคนนั้นด้วยความประหลาดใจโดยไม่ปกปิดอีกต่อไป และหูอื้อจนพูดไม่ออก
“แม่นางเฉิง”
บ่าวชราที่ยืนอยู่นอกประตูของสะพานอวี้ไต้ปัดชุดและยกมือเรียก
โดยยืนเรียกไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู
“เจ้านี่เอง” จินเกอร์มองไปที่บ่าวชราและจำเขาได้ “มาทำไมหรือ”
ท่าทางก็ไม่ได้ดูแย่อะไร
บ่าวชรารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าแม่นางดีขึ้นแล้วหรือไม่ ท่านชายของข้าไม่สบายใจ เลยให้ข้ามาถาม” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
จินเกอร์พยักหน้า
“หายแล้ว” เขาตอบ
หายแล้วหรือ
บ่าวชราประหลาดใจอีกครั้ง
เจตนาพูดเช่นนี้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าล้มป่วยปางตายหรอกหรือ
เพียงชั่วพริบตาก็หายเป็นปกติแล้วหรือ
ระหว่างที่จะพูดต่อ ก็มีเสียงผู้หญิงดังมากจากด้านในและถามว่าใครมา
“คนของตระกูลท่านชายหวัง” จินเกอร์หันหน้าตอบ
เสียงผู้หญิงจากด้านในดูเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง และหลังจากนั้นไม่นาน นางก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ท่านหญิงเชิญให้เข้ามา”
เชิญให้เข้ามาได้
แค่นี้ก็ให้เข้าไปได้แล้วหรือ
บ่าวชรางุนงงเล็กน้อย ขมวดคิ้วทันที เด็กหนุ่มคนนั้นจงใจแกล้งพูดเกินจริงว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะเข้าบ้านของตระกูลเฉิงได้
นี่ไม่ใช่เข้าไปได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ
เมื่อก้าวเข้าไปในลานบ้าน ก็มองเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ใต้ระเบียงทางเดินทันที
มัดผม สวมชุดคลุมสีเขียว รูปร่างสง่างาม และดูสงบนิ่งซึ่งกำลังจ้องมองดูตนอยู่
จ้องมองตน…
เมื่อบ่าวชราพบเจอหญิงสาวสองครั้งก่อน ก็ได้มองสำรวจหญิงสาวผู้นี้แล้ว แต่นอกจากค่อนข้างงดงาม ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกเหนือจากนี้และรีบเบือนหน้าหนี แต่ครั้งนี้ ทำไมจู่ๆ จ้องมองนางแล้ว ถึงไม่อยากละสายตาจากนางเลย
ดวงตาสีดำวาวราวกับน้ำวนที่โผล่ขึ้นมาในแอ่งน้ำลึก ทำให้เขาหลุดเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เตรียมตัวจะกลับแล้วหรือ”
เสียงผู้หญิงดังขึ้น
บ่าวชราได้สติ รีบพยักหน้าแล้วรีบส่ายศีรษะ
ไม่หลงเหลือความสงสัยอยู่แล้ว คนป่วยที่ไหนมีแววตาเช่นนี้ได้
ดูเหมือนจะถูกพูดเกินจริง!
หรือบางทีตระกูลโจวมีอำนาจจนคนจำนวนมากต้องการวิ่งเข้าหาเพื่อเอาอกเอาใจ
แต่สิ่งที่ควรพูดก็ยังต้องพูด
“แม่นางเพิ่งจะหายป่วย ไม่รีบ ไม่รีบ” เขาเอ่ย
“ข้าสบายดี” เฉิงเจียวเหนียงพูด “เจ้ากำหนดไว้ว่าจะออกเดินทางเมื่อไหร่”
“แม่นางอยากไปเมื่อไหร่” บ่าวชราถามกลับ
“อีกสิบวัน” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
บ่าวชราไม่รู้ว่าเขาตอบตกลงและเดินออกไปอย่างไร เมื่อได้สติ เขาก็เดินออกไปที่ถนนนานแล้ว
เขาตอบรับจริงๆ ด้วย!
เมื่อนึกย้อนถึงการพบปะกับหญิงสาวผู้นี้และการถามตอบไม่กี่ประโยค แต่ถูกนางครอบงำอย่างสมบูรณ์
และที่สำคัญที่สุดคือเวลานั้นเขากลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ โดยคิดว่าการตอบโต้เช่นนี้เป็นเรื่องปกติ
เขารับมือกับเด็กบ้าตั้งแต่ยังเล็กอย่างนอบน้อมราวกับว่าเผชิญหน้ากับนายใหญ่ของตระกูลหวัง
ช่างเหลือเชื่อเสียจริง!
เป็นไปได้อย่างไร
บ่าวชรายืนบนถนนด้วยความงุนงง เพราะเขารู้สึกเกรงกลัวตระกูลโจว และต้องการผูกมิตรกับตระกูลโจว จึงทำดีกับนางจากสัญชาตญาณอย่างนั้นหรือ
ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน
ตระกูลโจว! ตระกูลโจวคือเรื่องสำคัญ!
ก่อนหน้านี้สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องการนำตัวแม่นางตระกูลเฉิงกลับเจียงโจว แต่ตอนนี้ต้องบอกกับทางตระกูลโจว และจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากตระกูลโจวก่อนเท่านั้น
บ่าวชรารีบเดินไปข้างหน้า
ไปบ้านของตระกูลโจวไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ ดังนั้นท่านชายหวังสิบเจ็ดต้องไปด้วยตนเอง
“ทำไมถึงรีบร้อนเช่นนี้”
หวังสิบเจ็ดพูดอย่างไม่เต็มใจ
“แล้วจะให้พูดอะไรกับตระกูลโจว เรามีจดหมายจากท่านอา รับตัวกลับไปเลยก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากตระกูลโจว…”
ต่อหน้าบ่าวชราเขามีสถานะเป็นนายน้อย แต่ไม่มีความน่าเกรงขามของนายน้อยอยู่เลย ดังนั้นเขาจึงต้องไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ที่น่าแปลกใจคือพวกเขาไม่ได้ถูกรั้งไว้นอกประตูเฉิงเจียวเหนียง แต่กลับถูกตระกูลโจวขวางไว้ ไม่ให้เข้าไป
“นายใหญ่ข้าไม่พบแขก” บ่าวเฝ้าประตูเอ่ย
“พวกเราเป็นคนของตระกูลหวัง…” บ่าวชราพูดด้วยรอยยิ้มอย่างนอบน้อม
ยังไม่ทันพูดจบ บ่าวเฝ้าประตูก็ขัดจังหวะเขาเสียก่อน
“ไป ไป ไม่ว่าใคร ก็ไม่พบทั้งนั้น”
นี่มันอะไรกัน!
“ทำท่าทางเช่นนี้ตั้งแต่ที่บ้านของแม่นางเฉิงน้อยแล้ว…” ผู้ติดตามหนุ่มรีบพูดเสียงทุ้มต่ำด้วยความคับข้องใจ
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีรถม้าวิ่งแล่นเข้ามา บ่าวตัวน้อยเดินลงจากรถพร้อมกับชายชราคนหนึ่ง
“หมอ หมอ เร็วเข้า เร็วเข้า” เขาเร่ง
“จะมาเร่งทำไม โรคมาเหมือนภูเขาพังทลาย โรคไปเหมือนเส้นด้าย จะช้าหรือเร็วหน่อยย่อมไม่เป็นอะไรหรอก…อีกอย่างไม่ใช้อาการปางตายสักหน่อย…หากปางตายจริงๆ ก็คงไม่เชิญข้ามา…” ชายชราบ่นพึมพำและก้าวเดินอย่างเชื่องช้า
หมอหรือ
“พี่ชาย มีคนเจ็บป่วยในบ้านหรือ” บ่าวชราอดไม่ได้ที่จะถาม
ทันใดนั้น บ่าวเฝ้าประตูก็กระโดดขึ้นราวกับแมวถูกเหยียบหาง
“ไม่ ไม่ บ้านข้าไม่มีคนล้มป่วย! ” เขาตะโกนโดยไม่พูดต่อ แล้วปิดประตูเสียงดังใส่
ทุกคนในตระกูลหวังตะลึง
“นี่มันอะไรกัน! ”
หวังสิบเจ็ดจ้องเขม็งเอ่ย
ครั้งที่ผ่านถูกมัดหลังจากได้เข้าไปแล้ว หน้าประตูสุภาพนอบน้อม แต่ครั้งนี้กลับไร้มารยาทตั้งแต่หน้าประตูเลยด้วยซ้ำ!
“ดู ดู ทำท่าทำทางเช่นนี้ตั้งแต่บ้านของแม่นางเฉิงน้อยแล้ว…” ผู้ติดตามหนุ่มรีบตะโกนอีกครั้ง
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกบ่าวชราตบศีรษะด้วยหลังมือ
“ไสหัวไปไอ้สวะ! ข้าไม่เห็นท่าทางไร้มารยามเช่นนี้ที่บ้านของแม่นางเฉิง! ” เขาด่าทอเสียงดัง
รอยแดงบนใบหน้าของผู้ติดตามหนุ่มยังไม่ทันจาง ก็ถลึงตากุมศีรษะและจ้องมองไปที่บ่าวชรา
“ข้าพูดอะไรผิด ตีข้าอีกทำไม…” เขาตะโกนอย่างน้อยใจ