พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 32 ไปเถิด
ข้าอยากได้สาวใช้นางนั้น
ฮูหยินใหญ่เฉิงรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ยินประโยคนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน
“สะ…สาวใช้ของเจียวเหนียงนางนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่ถาม
นายใหญ่เฉิงพยักหน้า
“เขามาเพื่อรับนางอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่ถามต่อ
“เขาพูดเช่นนั้น” นายใหญ่เฉิงกล่าว
ความต้องการของเขาผิดความคาดหมายของทุกคนไปอย่างมาก
“เลิกคิดได้แล้ว ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไป เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่สาวใช้ในบ้านของเราอยู่ดี” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “หากเขาเอ่ยปากขอ เราก็ให้ไป หากเขาไม่พูด เราก็ทำเฉยๆ ไว้ ดังสุภาษิตที่ว่าทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้านทาน”
พูดถึงเพียงเท่านี้ ฮูหยินใหญ่ก็พลันนึกถึงนางขึ้นมา
“อีกอย่าง ตั้งแต่สาวใช้นางนี้มาอยู่ที่บ้านก็สร้างเรื่องมากมาย ตระกูลของเราเลี้ยงคนอย่างนางไว้ไม่ได้หรอก”
ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว
นายใหญ่เฉิงพยักหน้า
“บอกสาวใช้นางนั้นว่าไปเถอะ ให้นางไปอยู่กับนายที่แท้จริง” นายใหญ่เฉิงกล่าว
เหล่าบรรดาสาวใช้ได้ยินคำสั่งจึงเดินออกไป ไม่นานก็เดินกลับเข้ามา
“นายใหญ่ ฮูหยินเจ้าคะ ไม่ต้องบอกนางแล้วเจ้าค่ะ นางอยู่ด้านนอกและพบกับท่านชายโจวหกแล้ว” สาวใช้กล่าว
ฮูหยินใหญ่เฉิงหัวเราะ
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี เรื่องของบ้านเขาก็ให้เขาจัดการเอง” ฮูหยินใหญ่กล่าว พูดจบนางก็หัวเราะออกมาพร้อมกับถือพัดโบกสะบัด ก่อนจะมองไปที่นายใหญ่เฉิง “ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางจะยอมไปหรือไม่นะเจ้าคะ”
“กลับบ้านพร้อมท่านชายหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถามด้วยความประหลาดใจ
ท่านชายโจวหกพยักหน้า
“ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ!” ปั้นฉินดีใจมาก “ข้าจะไปบอกนายหญิง”
ปั้นฉินหันหลังกำลังจะเดินจากไป แต่นึกอะไรบางอย่างออกจึงหยุดเดิน
“ท่านชาย นายใหญ่อนุญาตแล้วหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม
“เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลพวกเขาสักหน่อย เหตุใดถึงต้องได้รับอนุญาตจากพวกเขาก่อน” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วเอ่ย
ปั้นฉินตะลึงไปชั่วครู่
“แต่ว่านายหญิงเป็นคนของตระกูลเฉิงนะเจ้าคะ” ปั้นฉินถาม
ท่านชายโจวหกยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก
“นายหญิงที่ไหนกัน ข้าหมายถึงเจ้า” ท่านชายโจวหกกล่าว
“เอ๊ะ” ปั้นฉินตะลึงพร้อมกับมองไปที่ท่านชายโจวหก “ท่านไม่ได้มารับนายหญิงของข้าหรือเจ้าคะ”
“นี่เจ้าโง่ฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ” ท่านชายโจวหกมองสำรวจปั้นฉิน คิ้วขมวดด้วยความหงุดหงิด “นายหญิงของเจ้าแซ่โจวงั้นหรือ เก็บข้าวของเร็ว พวกเราต้องเดินทางออกจากที่นี่ก่อนอาทิตย์ตกดิน”
ท่านชายโจวหกกล่าว พร้อมกับหันหลังเดินจากไป
ปั้นฉินยืนนิ่งอยู่กับที่ ในหูมีแต่เสียงอื้ออึงเต็มไปหมด
อันที่จริงเฉิงเจียวเหนียงนั้นตื่นตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ปั้นฉินกำลังกำชับสาวใช้ให้ดูแลนาง แต่เพราะนางนอนจนเบื่อแล้วจึงลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง เสียงขยับตัวของเฉิงเจียวเหนียงทำให้เหล่าสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกถึงกับตกใจ เสียงกระซิบนินทาของเหล่าสาวใช้ดังลอดเข้ามาจนนางได้ยิน
การพลิกหนังสืออ่านท่ามกลางความเงียบนั้นแตกต่างกับการดูรูปภาพหรือตัวอักษรที่มีเพียงสองแถวบนฉากกั้นห้อง ตัวหนังสือถี่ยิบมากมายประดังเข้าตา แค่เห็นก็ทำให้สายตาพร่ามัวจิตใจว้าวุ่น นางถึงกับต้องหลับตาลงชั่วขณะถึงรู้สึกดีขึ้น
จะอ่านหรือไม่อ่านดี
เฉิงเจียวเหนียงมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ พร้อมกับก้มศีรษะลงอีกครั้ง
เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกพะอืดพะอมนั้นหายไปด้วยการใช้ฝ่ามือปิดตัวหนังสือเอาไว้แล้วดูทีละแถว ตัวหนังสือจึงจะไม่ซ้อนทับกัน
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วนางจะอ่านตัวหนังสือได้เพียงแถวเดียวก็ตาม
แต่ก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวันแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นว่าใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว ก้อนเมฆสีเพลิงราวกับกำลังลุกไหม้ ทำให้ขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง
คำนินทาของบรรดาสาวใช้ที่วิตกกังวลอยู่ด้านนอกเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“เหตุใดถึงยังไม่กลับมาอีก… ”
“อาจไปทำธุระที่อื่นอยู่ก็เป็นได้… ”
“นายหญิงของนางเป็นคนบ้า ไม่มีคนดูแลไม่ได้…”
“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ…”
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่ด้านนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ แล้วปิดหนังสือลง
“เข้ามาหาข้าหน่อย” นางตะโกนเรียก
เสียงพูดจากด้านนอกหยุดลงในทันที ลานหน้าบ้านเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของลมหายใจ
เพียงไม่นานสาวใช่ที่ทั้งตัวสั่นทั้งหวาดกลัวก็เดินเข้ามา
“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้คุกเข่าพร้อมกับขานตอบด้วยเสียงสั่น ไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้น
“ข้าอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพร้อมกับมองไปที่สาวใช้
“ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบพลางเงยหน้าขึ้น ขณะนั้นพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสายัณห์อันสว่างไสวของดวงอาทิตย์สาดส่องหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าของนาง แสงแพรวพราวส่องไสวไปชั่วขณะ
แม่เจ้า เหตุใดนางถึงงดงามเช่นนี้ แถมยังไม่มีกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก…
สิ่งที่คนเหล่านั้นพูดเป็นคำโกหกทั้งสิ้น!
ปั้นฉินก้าวเข้ามาในเรือนอย่างเร่งรีบ
“นายหญิงตื่นแล้วหรือยัง” นางรีบถาม แต่ยังพูดไม่จบประโยคก็เหลือบเห็นสาวใช้ที่อยู่ตรงทางเดินหันหลังมามองนาง
เสียงของปั้นฉินหยุดลงทันที
“นายหญิง น้ำมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดแต่หลบสายตา นางคุกเข่าก้มหน้าและนำถ้วยน้ำชาวางไว้บนโต๊ะเตี้ย
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือออกมาหยิบแก้วน้ำชา
ปั้นฉินได้สติกลับมาจึงรีบเดินเข้าไปแล้วนั่งคุกเข่าลง
“นายหญิงต้องการดื่มน้ำเย็นหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินพูดพลางเอื้อมมือไปจับถ้วยน้ำชาเพื่อวัดอุณหภูมิ
“ได้ทั้งนั้น ข้ารอสักครู่ค่อยดื่มก็ได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“เจ้าค่ะ” ปั้นฉินตอบ พร้อมกับเก็บมือแล้วนั่งลง
“นายหญิงต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่เจ้าคะ” ปั้นฉินนึกขึ้นได้จึงรีบถาม
“ข้าเปลี่ยนชุดให้นายหญิงแล้ว” สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงทางเดินรีบกล่าวด้วยความตื่นเต้น เหมือนกับว่าได้ทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ไป
“อืม” ปั้นฉินกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ
“นายหญิง มื้อดึกนี้อยากทานอะไรหรือเจ้าคะ ปั้นฉินจะลงมือทำให้ทานเจ้าค่ะ” ปั้นฉินกล่าวไปยิ้มไป
เฉิงเจียวเหนียงมองหน้าปั้นฉิน
ปั้นฉินหลบตาลง ไม่กล้าสบตา
“บะหมี่เย็น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“ได้เจ้าค่ะ” ปั้นฉินก้มหน้าขานตอบ
“ข้าจะรีบไปทำเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยพร้อมกับยืนขึ้น
ปั้นฉินเพิ่งก้าวลงขั้นบันได ก็มีสาวใช้เดินมายืนรออยู่ตรงนอกประตู
“แม่นางปั้นฉิน คนของท่านชายโจวที่อยู่ตรงประตูสองถามว่าท่านพร้อมแล้วหรือยัง” นางกล่าว
ปั้นฉินตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ใบหน้าขาวซีด
“แม่นมช่วยไปบอกท่านชายทีว่า ขอข้าทำบะหมี่เย็นให้กับนายหญิงอีกสักครั้งก่อนไป” ปั้นฉินเอ่ยตัวสั่นเทา
เฉิงเจียวเหนียงวางถ้วยน้ำชาลง
“หากพี่ปั้นฉินไม่ว่างทำ ก็ไปเถอะ ข้าให้ห้องครัวจัดเตรียมให้ได้” หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าว
“ข้าทำได้!” ปั้นฉินตะโกนกลับ
สาวใช้สะดุ้งตกใจ นางมองไปยังปั้นฉินที่น้ำตาไหลพราก รู้สึกงุนงงยิ่งนัก
ปั้นฉินหันหลัง ก่อนจะก้มหน้าแล้วรีบเดินไปยังห้องครัว
“ไม่ต้องทำแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “เจ้าไปเถอะ”
ปั้นฉินหันหลังและคุกเข่าหมอบลงกับพื้นร้องไห้สะอื้นเสียงดัง
สาวใช้ที่อยู่นอกประตูและริมทางเดินต่างพากันตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“นายหญิง นายหญิง เจ้าคะ“ ปั้นฉินกล่าวพร้อมน้ำตา ก่อนจะคุกเข่าคลานไปข้างหน้า “ข้าไม่ไปแล้ว ข้าจะไปบอกท่านชายหกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อพูดจบนางก็ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไป
สาวใช้มองตะลึง
“เกิดอะไรขึ้น” นางถามอย่างงวยงง
ไม่มีใครตอบนาง
ปั้นฉินวิ่งไกลออกไปมากแล้ว สาวใช้ที่อยู่นอกประตูก็วิ่งตามไป
สาวใช้หันหลังกลับมามองเฉิงเจียวเหนียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ผมยาวของนางถูกปล่อยสยาย เฉิงเจียวเหนียงสวมเสื้อผ้าแพรสีเรียบทรงหลวม นั่งนิ่งเหมือนเช่นเคย ท่าทางราวกับว่าเห็นทุกอย่าง แต่ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย
รู้ว่าต้องกิน ดื่ม ถ่าย นอน ก็นับว่าเก่งแล้ว แต่สำหรับรัก โลภ โกรธ หลง นั้นนางคงไม่เข้าใจเป็นแน่
“บอกห้องครัวด้วยว่าข้าจะกินบะหมี่เย็น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ดูสิ เป็นอย่างที่พูดไม่มีผิด!
“ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
คนบ้าผู้นี้ใช่ว่าจะไม่รู้ความ แถมยังไม่ส่งเสียงหัวเราะหรือร้องไห้โวยวาย ที่สำคัญคือไม่ทำร้ายผู้อื่น เพียงแต่ชอบเอาแต่นั่งนิ่งเงียบ กินแล้วก็นอน ขอแค่มีคนช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็พอแล้ว ช่างดูแลง่ายอะไรเช่นนี้
สาวใช้เดินจากไปอย่างร่าเริง
เฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่ในห้องโถง ถือถ้วยน้ำชาไว้ในมืออย่างนิ่งสงบ
เมื่อเห็นปั้นฉินร้องไห้ ท่านชายโจวจึงขมวดคิ้วแน่น
“ข้าเห็นว่าเจ้าทำคุณงามความดี เป็นวีรสตรีผู้หนึ่ง จึงอยากจะพาเจ้ากลับไปพร้อมๆ กัน เหตุใดเจ้าถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายเช่นนี้” เขาเอ่ยพลางจับบังเหียนขึ้นขี่ม้า
วีรสตรีอย่างนั้นหรือ ท่านชายหกพูดถึงตัวนางใช่หรือไม่ ท่านชายเห็นคุณค่านางมากเพียงนี้เชียวหรือ
ทว่า…
“หาก…หากข้าไปแล้วนายหญิงข้าจะอยู่อย่างไร” ปั้นฉินกล่าวพร้อมกับร้องไห้
“ไม่มีเจ้า ตระกูลเฉิงก็ไม่มีสาวใช้นางอื่นแล้วหรือ” ท่านชายโจวหกอดขำไม่ได้ ฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก แต่ปัญหาหลักของผู้หญิงคือชอบทำให้ผู้อื่นรำคาญ
“แต่ว่าข้าดูแลนายหญิงตั้งแต่เล็ก…” ปั้นฉินกล่าวพร้อมกับร้องไห้
“อยู่กับเจ้าตั้งแต่เล็กแล้วอย่างไรเล่า หากไม่อยู่กับเจ้าแล้วไปอยู่กับคนอื่นแทน นางจะตายอย่างนั้นหรือ หากบัดนี้ไม่มีเจ้า นางก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หรือ” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วกล่าว “บนโลกนี้ไม่มีใครห่างกันแล้วมีชีวิตต่อไปไม่ได้หรอก เจ้าอย่าสำคัญตัวผิด จะเป็นการหลอกตัวเองเสียเปล่า”
ปั้นฉินก้มหน้าร้องไห้ราวกับใจจะขาด
ถูกต้องแล้ว นางไม่ใช่คนของตระกูลเฉิง นางคือสาวใช้ที่เหล่าฮูหยินโจวซื้อตัวมาจึงต้องคนของตระกูลโจว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางก็ควรกลับพร้อมกัน
“เจ้าจะไปหรือไม่ไปกันแน่ ข้ารีบ ไม่ไปก็ช่างเจ้าแล้ว ขาดเจ้าไปคนหนึ่ง ก็ไม่มีผลอะไรกับข้า!” ท่านชายโจวหกตะโกน “ข้าก็แค่เสียดายความสามารถของเจ้า หากต้องปล่อยเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็เท่านั้น!”
ปั้นฉินเงียบ นางพูดไม่ออกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้า
ชายหนุ่มมองลงไปที่ปั้นฉิน แสงของดวงอาทิตย์กำลังจะลับจากขอบฟ้า
ปั้นฉินหันหลังกลับไปมองที่ประตู
แม้ว่าบัดนี้อาการป่วยของนายหญิงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่หากไม่คอยย้ำเตือน นางจะจดจำผู้คนหรือเรื่องราวได้เพียงสามถึงสี่วันเท่านั้น
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผ่านไปสามสี่วันนางคงจำสาวใช้ที่ชื่อปั้นฉินนางนี้ไม่ได้แล้ว
ปั้นฉินก้มหน้าเช็ดน้ำตา
“เจ้าค่ะ” นางก้มหน้า กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ “ข้าเชื่อท่านชาย ข้าไม่มีของที่ต้องเก็บเจ้าค่ะ”
แสงสุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดมิดยามค่ำคืนกำลังจะปกคลุมพสุธา
………………………………………………………………………..