พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 327.2 ทุกขลาภ (2)
พี่สาวอย่างนั้นหรือ
หันหยวนเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นภาพของรถม้าคันหนึ่งก็ลอยเข้ามาในหัว และภาพใบหน้ายิ้มแย้มของสาวใช้ผู้นั้น
หรือว่าจะเป็น…
“เจ้าของเรือนไท่ผิงเป็นของตระกูลนางหรือ” เขาเอ่ยถามไปอย่างอดไม่ได้
ตระกูลของนางหรือ
นางคือผู้ใดกัน
สองสามีภรรยาตระกูลหันเหลียวไปมองลูกชายอย่างงุนงง ราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่
แต่ชายทั้งสองกลับเข้าใจว่าหันหยวนเฉาหมายถึงผู้ใด พวกเขาจึงเผยยิ้มออกมา
“หนึ่งในนั้นใช่ขอรับ…” คนหนึ่งตอบขึ้น
ที่แท้เป็นนางนี่เอง!
ตระกูลของอำมาตย์เฉินหรือ
เช่นนั้น…
“เถ้าแก่รับไว้เถิด พี่สาวสั่งพวกข้าว่า หากท่านไม่รับ ก็ห้ามพวกข้าสองคนกลับไปเด็ดขาด…” ชายทั้งสองเอ่ยพลางหัวเราะ “เถ้าแก่ กว่าพวกข้าจะหางานทำเลี้ยงปากท้องได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านน้ำใจงาม แม้นพบเจอคนไม่รู้จักไม่ได้รับความยุติธรรม ท่านยังช่วยเหลือ เช่นนั้นได้โปรดอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจเลย หากท่านมีปัญหาอันใด พวกท่านก็บอกแก่เถ้าแก่เถิด สองแคว้นทำศึก อย่าได้ถือโทษคนส่งสาสน์เลย…”
สามพ่อแม่ลูกตระกูลหันหัวเราะกับคำพูดของเขา
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าก็จะรับไว้” หันหยวนเฉาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากมีปัญหาอันใด ก็เป็นปัญหาของพวกข้า ปัญหาระหว่างข้ากับเถ้าแก่ของพวกท่าน ขอพวกท่านอย่าได้เป็นกังวล”
“ขอบพระคุณเถ้าแก่นัก ท่านช่างเป็นคนเที่ยงธรรมโดยแท้” ชายทั้งคำนับพลางเอ่ยขอบคุณ
“พวกเจ้าเดินทางมาเหนื่อยนัก ใครก็ได้เข้ามาที” ท่านพ่อหันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
บ่าวสองคนก็เข้ามาในทันที
“พวกเจ้าพักผ่อนเสียก่อน ซู่โจวของเราแม้จะเทียบกับเมืองหลวงไม่ได้ แต่ก็มีทิวทัศน์สวยงามให้เที่ยวชม พวกเจ้าออกไปเดินเล่นดูเสียหน่อยก็ดี” ท่านพ่อหันเอ่ย
ชายทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธก่อนจะเอ่ยขอบคุณยกใหญ่แล้วขอตัวลา
ภายในห้องโถงเหลือเพียงสามพ่อแม่ลูก พวกเขาสบตากัน
“เงินนี้ ท่านพ่อเอาไปใช้ก่อนเถิด” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางดันตั๋วเงินให้แก่คนเป็นพ่อ “อย่าได้ขายที่ดิน หรือใช้สินเดิมของท่านแม่เลย”
“เช่นนี้จะเหมาะสมหรือ” ท่านพ่อหันท่าทางลังเลใจ
“เหมาะสมแล้วขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ย “เมื่อครู่กัวจื่อจวินมาที่นี่…”
“เขาชื่อกัวจวิน ไม่ใช่จื่อจวินเสียหน่อย” ท่านแม่หันเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
หันหยวนเฉาหัวเราะเมื่อเห็นท่านแม่หงุดหงิด เขาหัวเราะไม่หยุด
“กัวโฮ่วมาที่นี่ แล้วก็เห็นยามที่พวกเขาเอาเงินมาให้ด้วย ไม่นานคนทั้งซู่โจวก็คงรู้ว่าข้ามีร้านที่เมืองหลวง เงินนี้ท่านพ่อเอาไปใช้ ไม่มีอันใดไม่เหมาะสม ไม่เกี่ยวข้องกับเงินของตระกูลหัน ไม่ต้องขายที่แลกเงิน คนข้างนอกก็คงไม่มีอะไรเอาไปนินทาว่ากล่าวได้”
ไม่มีวิธีใดที่จะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้อีกแล้วจริงๆ
นึกไม่ถึงเลยว่าปัญหาจะคลี่คลายลงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ใบหน้าของสองสามีภรรยาตระกูลหันยิ้มแย้ม
“ลูกคนนี้ ไปเมืองหลวงเพียงคราวเดียวก็โชคดีขนาดนี้เชียว” ท่านแม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่ พี่สาวที่พวกเขาพูดถึงคือผู้ใดกัน”
หันหยวนเฉาสีปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ข้ากำลังจะบอกกับท่านพ่อท่านแม่อยู่พอดี ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก หากจะบอกว่าข้าช่วยพ่อครัวผู้นั้น สู้บอกว่ามีคนช่วยข้ากับพ่อครัวผู้นั้นยังจะถูกต้องเสียกว่า…” เขาเอ่ยพลางสูดหายใจลึก ท่าทางราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “อีกอย่าง ข้าเดาว่าคนผู้นั้นคงเป็น…”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง
“คงเป็นผู้ใดหรือ” ท่านแม่หันจ้องหน้าลูกชายตาเขม็ง ก่อนจะถามซักต่ออย่างอดไม่ได้
“คงเป็นเฉินเซ่าจากตระกูลอำมาตย์เฉิน” หันหยวนเฉาเอ่ย
เฉินเซ่าอย่างนั้นหรือ!
สองสามีภรรยาตระกูลหันตกตะลึงในทันใด
น่าตกใจเสียยิ่งกว่าได้เงินมหาศาลเสียอีก!
ท่านพ่อหันเป็นถึงนายอำเภอ เป็นขุนนางมาหลายสิบปี ทว่ากลับไม่เคยพบเจอขุนนางจากราชสำนักเลยสักหน แต่ลูกชายไปเมืองหลวงเพื่อสอบ แต่กลับได้พบเจออำมาตย์ผู้ยิ่งใหญ่!
“ข้านึกออกแล้วว่านางคือผู้ใด!”
ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลจาง เมืองถงเจียง แม่นมรีบวางเสื้อที่กำลังรีดอยู่ในมือลง ก่อนจะตะโดนดังลั่นแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
แม่นมคนอื่นในห้องต่างตกใจ รีบร้อนยกเตารีดออกก่อนจะไหม้เสื้อผ้าจนเสียหาย ปากก็ตะโกนเรียก ทว่าแม่นมนางนั้นกลับวิ่งออกไปไกลแล้ว
“ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ คือนางเจ้าค่ะ คือนางเจ้าค่ะ”
พอเห็นแม่นมวิ่งเข้ามานั่งคุกเข่าตรงหน้าด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ หันอวิ๋นเหนียงเองก็ได้แต่สงสัย ส่วนเหล่าฮูหยินจางที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
“ไร้มารยาท” นางเอ่ยอย่างไม่แยแส “อวิ๋นเหนียง เจ้าอย่าให้ท้าทายพวกบ่าวให้มันมากนัก”
หันอวิ๋นเหนียงยิ้มบาง
“เจ้าค่ะ ท่านแม่วางเถิด สะใภ้จะอบรมพวกนางเอง” นางเอ่ยด้วยความเคารพ ทว่าทำพูดนั้นกลับฟังดูไม่นอบน้อมเลยสักนิด
เหล่าฮูหยินจางเบ้ปากไม่เอ่ยคำใด
ยามนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะตำหนิติเตียนลูกสะใภ้ผู้นี้ตามใจตน ขืนโมโหจนอกแตกตายไปอีกหน จะไปตามหาแม่นางเฉิงมาชุบชีวิตนางได้จากที่ไหน
“เหล่าฮูหยิน ฮูหยิน สาวใช้นางนั้น คือสาวใช้คนที่รักษาอาการป่วยให้กับฮูหยินเจ้าค่ะ! หญิงคนเมื่อวานคือนาง!” แม่นมเอ่ยเสียงดังลั่น “ถึงว่าละนางถึงพูดว่าพี่หยวนตัวสูงขึ้น… นางคงจำพี่หยวนได้เป็นแน่เจ้าค่ะ!”
ว่าอย่างไรนะ!
สองแม่ผัวลูกสะใภ้ชะงักไป ก่อนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
“เจ้าหมายถึงแม่นางเฉิงที่ชุบชีวิตคนตายได้ผู้นั้นหรือ” พวกนางเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ ถึงว่าเมื่อวานพวกนางถึงได้บอกว่ามาดูบ้าน ที่แท้ก็ไม่ได้มาหาบ้านเช่า แต่กลับมาดูบ้านเก่า… โธ่เอ๋ย โธ่เอ๋ย แม่นางผู้นั้นยังให้ขนมพี่หยวนมาถุงหนึ่งด้วย โธ่เอ๋ย โธ่เอ๋ย สาวใช้ผู้นั้นพอเห็นพี่หยวนก็จำได้ในทันใด ข้า ข้ากลับจำไม่ได้เสียนี่! โธ่เอ๋ย โธ่เอ๋ย…”
แม่นมยังคงพูดต่อไป ทว่าสองแม่ผัวลูกสะใภ้กลับไม่ได้ยินแต่อย่างใด
‘ท่านแม่ แม่นางผู้นั้น งามเหมือนในภาพวาดเลยเจ้าค่ะ…’
หันอวิ๋นเหนียงเผยรอยยิ้มอย่างประหลาดใจบนหน้า คือนางเองหรือ ที่แท้ก็คือนางนี่เอง
“เร็วเข้า เร็วเข้ารีบไปตามหานาง!” นางเอ่ยร้อง แม้ปากจะตะโกนแต่ก็เหมือนไม่ได้ดั่งใจ จึงรีบร้อนเดินออกไปด้วยตนเอง
“รีบไปตามหานาง รีบไปตามหานาง” เหล่าฮูหยินจางตะโกน
หากตามตัวหมอเทวดาเจอก็จะได้รู้ที่ทางติดต่อ วันหน้าหากลูกสะใภ้คนนี้เจ็บป่วยปางตายขึ้นมาอีกจะได้ตามตัวได้สะดวก
แม้อำเภอถงเจียงจะไม่ได้กว้างใหญ่ แต่หากต้องตามหาคนต่างถิ่นที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแซ่หรือหน้าตาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผ่านไปสามวันกว่าจะไปถามที่โรงเตี๊ยม เฉิงเจียวเหนียงกับผู้ติดตามก็ออกเดินไปแล้ว
“คงจะมาจากเมืองหลวง ผู้ติดตามพูดสำเนียงเมืองหลวง แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเดินทางไปที่ใด ออกไปตั้งแต่เมื่อสี่วันที่แล้ว…” คนงานที่โรงเตี๊ยมบอก
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว ไม่สิ ยังดีกว่าคราวก่อนนิดหน่อย อย่างน้อยก็รู้ว่ามากจากที่ใด
มีบุญแต่ไร้วาสนาแท้ๆ เหตุใดถึงเจอตัวแล้วก็คลาดกันอยู่ร่ำไป!
หันอวิ๋นเหนียงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา มองเมฆครึ้มบนท้องฟ้าบ่งบอกว่าหิมะแรกกำลังจะมาเยือน
“หิมะจะตกแล้ว… ทุกคนเริ่งฝีเท้าหน่อย…” พ่อบ้านเฉาตะโกน “อีกสิบลี้ก็จะถึงเขตเจียงโจวแล้ว…”
เดินทางมาแสนนานในที่สุดก็ถึงที่หมาย คนทั้งหน้าหลังขบวนโห่ร้องด้วยความดีใจ
ท่ามกลางความครื้นเครงนี้ กลับมีคนผู้หนึ่งใบหน้าซีดเผือด
“ท่านชาย ท่านเป็นอะไรไปอีก” บ่าวชราขึ้นรถมา มองดูท่านชายหวังสิบเจ็ดที่นั่งคุดคู้ตัวสั่นอยู่ที่มุมรถ ก่อนเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “จะถึงบ้านแล้ว…”
มุมปากของท่านชายหวังสิบเจ็ดขยับ
“ก็เท่ากับว่าวันตายของข้าจะมาถึงแล้ว…” เขาเอ่ยเสียแหบพร่า ไม่นานน้ำตาก็ไหลออกมา
บ่าวชราทอดถอนใจ
“อยู่ดีๆ จะตายได้อย่างไรเล่า” เขาเอ่ย
“ลุงกู่ ข้าไม่อยากแต่งงานกับหญิงผู้นั้น!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดคว้าแขนของบ่าวเฒ่าไว้ก่อนจะตะโกนออกมา ทว่าร้องได้ไม่นานก็ต้องกดเสียงลง ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยินเข้า
บ่าวชราแค่นยิ้ม เอาอีกแล้วสินะ