พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 33 ใครบ้า
บะหมี่เย็นที่สาวใช้ตักใส่ชามกระเบื้องศิลาดลสีเขียวอ่อนและโรยหน้าด้วยต้นหอมสีขาวบางถูกวางไว้บนโต๊ะเตี้ย พร้อมกับเครื่องเคียงอีกสองถ้วยเล็ก ถ้วยแบ่ง และตะเกียบ ก่อนจะยกมาวางไว้ตรงหน้าของเฉิงเจียวเนียง
เมื่อภายในห้องจุดไฟสว่าง ม่านไม้ไผ่จึงถูกปิดลงเพื่อกันไม่ให้แมลงบินเข้ามา
เฉิงเจียวเหนียงมองไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ได้ลงมือกิน
ไม่รู้ว่านางกินข้าวเองเป็นหรือไม่
สาวใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปที่สาวใช้อีกคนที่รออยู่ด้านข้าง สาวใช้นางนั้นกระพริบตาส่งสัญญาณ
ให้นาง
นางเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบ
ทว่าเฉิงเจียวเหนียงเอื้อมมือไปถึงก่อน มือข้างหนึ่งปัดแขนเสื้อ แล้วใช้อีกมือหนึ่งค่อยๆ คีบบะหมี่ขึ้นมาทาน
สาวใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทำท่าทางภูมิใจใส่สาวใช้อีกคน
เสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านนอกประตูเข้ามาใกล้ ก่อนจะมีคนสี่ถึงห้าคนเดินเข้ามา
“แม่นางกัวมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ” เหล่าสาวใช้เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
หัวหน้าสาวใช้ยิ้มก่อนจะชี้ไปยังคนที่อยูข้างหลังนาง
“สาวใช้นางนี้ ข้ายกให้พวกเจ้า” นางกล่าว
สาวใช้หน้าบูดบึ้งก้าวเท้าขึ้นออกมาแล้วแสดงความเคารพอย่างเก้ๆ กังๆ
“เหตุใดถึงเพิ่มสาวใช้อีกเจ้าคะ” สาวใช้ถาม
“อืม สาวใช้ที่มาพร้อมกับนายหญิงไปแล้ว ฮูหยินกลัวว่าพวกเจ้าสองคนจะดูแลกันไม่ไหว เลยส่งสาวใช้มาเพิ่มอีกหนึ่งคน” แม่นางกัวกล่าวพร้อมกับมองไปที่ห้องโถง
ภายใต้แสงไฟสลัว หญิงสาวผู้นั้นเอาแต่ก้มหน้ากินข้าว ไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมามองไปทางอื่นเลย
เป็นคนบ้าก็ดีเหมือนกัน ไร้ความกังวล ไร้ปัญหา
แม่นางกัวไม่มีกะจิตกะใจที่จะอยู่ต่อ นางจึงหันหลังแล้วเดินจากไป
สาวใช้คนเดิมและสาวใช้คนใหม่ยังคงอยู่ในความงุนงง
“ไปดื้อๆ เช่นนั้นเลยหรือ”
สาวใช้คนใหม่เบะปากมองไปรอบๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะลอยมา
“เป็นเจ้าจะไม่ไปหรือไร จะให้อยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเลยหรือ” นางกล่าว “ในเมื่อมีที่ที่ดีกว่าให้ไป และท่านชายก็มารับด้วยตัวเอง หากไม่ไป ก็โง่เต็มทีแล้ว”
เหล่าบรรดาสาวใช้ถึงบางอ้อ ทั้งรู้สึกผิดหวังและหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“ก็ไปเลยอย่างนั้นหรือ” สาวใช้หันหลังมองเฉิงเจียงเหนียงที่อยู่ในห้องโถง
นางยังคงทานข้าวอย่างช้าๆ ต่อไปภายใต้แสงไฟสลัวนั้น
“ติดตามนายหญิงมาก็ตั้งนาน มาคำนับหรือพูดลาสักคำก็ยังดี” นางบ่นพึมพำ
“คำนับแล้ว คำนับหน้าประตูตั้งหลายครั้ง” สาวใช้คนใหม่กล่าว “และอีกอย่าง ไม่เห็นจะต้องบอกอะไรเลย
คนบ้าจะไปเข้าใจอะไรกัน”
ท่านชายตระกูลโจวอยู่ถึงแค่ตอนกลางวันก็เดินทางกลับ แถมยังพาสาวใช้กลับไปด้วย ข่าวนี้แพร่สะพัดไปถึงเรือนนายใหญ่
“ไม่ใช่ว่าทิ้งนายหญิงของนางไม่ลงหรอกหรือ แม้แต่ให้เข้าครัวทำขนมยังไม่ยอมเลย แล้วนี่อะไร เหตุใดตอนนี้
ถึงบอกว่าจะไปก็ไปเลย นี่ระยะทางไกลกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ ทิ้งกันลงได้อย่างไร” แม่นางเฉิงหกเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทิ้งไม่ลงหรอก สาวใช้นางนี้เป็นคนฉลาด คนเราต้องรู้จักมักใหญ่ใฝ่สูงไว้บ้าง หากอยู่กับคนบ้าต่อไป ชีวิตก็เท่านั้นแล ทว่าหากไปอยู่กับท่านชายผู้นั้น ภายภาคหน้าคงสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่เป็นแน่” แม่นางเฉิงห้าเอ่ยอย่างช้า ๆ
แม่นางเฉิงหกรู้เรื่องนี้แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้จึงเข้าใจเป็นอย่างดี ก่อนจะกวาดสายตามองสาวใช้ที่อยู่รอบๆ ด้วยความโกรธ
“หากพวกเจ้าคนใดแตกเนื้อสาว แล้วทิ้งนายหนีตามผู้ชายไปเช่นนางแล้วล่ะก็ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่กับนายคนไหน
ข้าก็จะตามไปตีพวกเจ้าจนตายแน่นอน” นางเชิดคางขึ้นเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
เหล่าบรรดาสาวใช้ต่างคุกเข่าลงด้วยความตกใจกลัว พร้อมกับพูดว่าไม่กล้าเจ้าค่ะ
“แตกเนื้อสาวคืออะไรหรือ” แม่นางเฉิงเจ็ดถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงแตกเนื้อสาวแล้วจึงต้องทิ้งนายเล่า”
ลืมไปเสียสนิทว่าที่นี่มีเด็กอายุแปดขวบอยู่ด้วย พี่สาวน้องสาวทั้งหลายยกพัดขึ้นมาโบกเพื่อกลบเกลื่อน
“ข้าหงุดหงิดนัก เราไปเดินเที่ยวที่สระบัวกันเถอะ” แม่นางเฉิงหกเปลี่ยนเรื่องสนทนา
เหล่าพี่น้องเห็นด้วยจึงพากันลุกขึ้นยืน เว้นแต่แม่นางเฉิงหกที่ไม่ยอมลุก
“ที่นั้นมีผี” นางกล่าว
“มีผีที่ไหนกัน หมอเลี่ยวบอกว่าที่พี่ชายสี่ล้มป่วย เพราะอ่านหนังสือกับคิดมากเกินไป และเป็นเพราะโดนลมที่สระบัวด้วย” แม่นางเฉิงหกเลิกคิ้วตะโกนพร้อมกับยื่นมือไปจิ้มหน้าผากของแม่นางเฉิงเจ็ด “หากเจ้ายังพูดถึงพี่ชายข้าเช่นนั้นอีก ข้าจะเลิกเล่นกับเจ้า!”
แม่นางเฉิงเจ็ดทั้งโมโหทั้งน้อยใจ
“ข้าก็ไม่ได้อยากเล่นกับเจ้า!“ นางกระทืบเท้ากล่าว แล้วเดินออกไปโดยไม่สวมรองเท้า
แม่นมและสาวใช้เห็นจนชินตาไปแล้ว จึงถือรองเท้าเกี๊ยะรีบวิ่งตาม
แม่นางเฉิงหกส่งเสียงกระฟัดกระเฟียด
“พวกเราไปกันเถอะ คนบ้านั่นไม่ได้อยู่ที่สระบัวแล้ว เราเดินเที่ยวเล่นได้สบายเลย” นางกล่าว
สาวใช้ที่กำลังนอนอยู่บนเสื่อสานด้านนอกม่านไม้ไผ่รีบลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงจากข้างในเรือนดังขึ้น
“นายหญิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถาม
“อืม” คนที่อยู่ในเรือนกล่าว
สาวใช้ลุกขึ้นจัดผมเผ้าของตัวเองก่อนจะเข้าไป ในขณะที่เฉิงเจียวเหนียงนั้นนั่งรออยู่ข้างเตียงแล้ว
“นายหญิง ข้าช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าว
แม้ว่าจะมาได้เพียงแค่สามสี่วัน แต่นางก็สามารถทำได้อย่างชำนาญแล้ว เพราะมันช่างง่ายมากเหลือเกิน
นายหญิงไม่โวยวาย ชอบอยู่เงียบๆ ปรนนิบัติรับใช้ง่ายมาก เอ๊ะ เว้นเสียแต่เวลากินข้าว
หลังจากที่เฉิงเจียวเหนียงล้างหน้า หวีผม และดื่มน้ำไปสองสามจิบ สาวใช้ก็ดันโต๊ะอาหารมาไว้หน้าเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง ดูนี่สิเจ้าคะ…” นางกล่าวอย่างระมัดระวัง
เฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ กวาดสายตาไปที่โต๊ะอาหาร
อาหารถูกส่งมาจากห้องครัว ซึ่งที่นี่ก็มีห้องครัวขนาดค่อนข้างเล็ก แต่กลับไม่ถูกรื้อออกไป เป็นเพราะว่า…
“เอาปลานี้ทอดด้วยน้ำมันงา และเอาข้าวไปแช่ในน้ำแกงด้วย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
“ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้นตอบพร้อมกับนำอาหารบนโต๊ะใส่ลงกล่องอาหารแล้วถือออกมา
สาวใช้ที่อยู่ตรงลานหน้าบ้านกำลังสระผมอยู่
“หยุดสระได้แล้ว ตักน้ำออกมาให้ข้าด้วย ข้าจะใช้เตาถ่านทำอาหารให้นายหญิงใหม่” สาวใช้กล่าว
สาวใช้ที่กำลังสระผมอยู่หงุดหงิดเล็กน้อย
“อาหารทำเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ ยังต้องทำอะไรเพิ่มอีก” นางถาม
“นายหญิงไม่กิน ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ใหม่” สาวใช้กล่าว
สาวใช้ที่กำลังสระผมอยู่ สะบัดผม กระทืบเท้า แล้วมองดูกล่องอาหารพร้อมกับเบะปาก
“คนบ้าจะรู้อะไร ทำตามที่นางต้องการก็พอแล้ว ปรนนิบัติให้เหมือนกับนายหญิงทั่วไป” นางกล่าว พร้อมกับยื่นมือรับของ “เดี๋ยวข้าทำเอง”
นางหยิบตะเกียบขึ้นมาพลิกปลา แล้วเทน้ำแกงที่อยู่ข้างๆ ลงไปในข้าว จากนั้นจึงคนให้เข้ากันดี
น้ำมันทาผมที่เพิ่งถูกชโลมลงบนหัวส่งกลิ่นฉุนไปทั่วบ้าน
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นจากหน้าต่างแล้วมองไปทางสาวใช้แปลกหน้านางนั้น
“นายหญิงเจ้าคะ…” สาวใช้ตะโกนเรียก นางถึงกับตะลึงมองไปยังนายหญิงที่กำลังนั่งนิ่งริมหน้าต่าง
ตั้งแต่นางย้ายเข้ามานี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เข้ามาในห้องนี้ และได้เห็นรูปร่างหน้าตาของนายหญิงอย่างชัดเจน
นายหญิงสวยมากจนนางตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
น่าเสียดายจริงๆ ที่เป็นคนบ้า
“นายหญิงเจ้าคะ” นางดึงสติกลับมา ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงแล้วนำกล่องอาหารที่ใส่ปลาและข้าวออกมาจัดเตรียมไว้บนโต๊ะ “ข้าทำตามที่ท่านสั่งแล้วเจ้าค่ะ ทั้งทอดปลาและแช่ข้าวในน้ำซุป”
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่จานชามบนโต๊ะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสาวใช้นางนั้น
เดิมทีสาวใช้นั้นรู้สึกผ่อนคลาย แต่ตอนนี้กลับเริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อถูกนายหญิงจ้องมอง
คนบ้ามักทำให้คนปกติกลัว
นางฉีกยิ้มให้กับเฉิงเจียวเหนียง
“ต้องการให้ข้าป้อนหรือไม่เจ้าคะ” นางพูดตะกุกตะกัก
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางแล้วเม้มปาก
“ข้าไม่ใช่คนบ้า” นางกล่าว “เจ้าสิเป็นคนบ้า”
สาวใช้ยิ้มเยาะ
ช่างบ้าอะไรเช่นนี้…
เฉิงเจียวเหนียงเอื้อมมือไปผลักจานที่อยู่บนโต๊ะ
ทันใดนั้นทั้งน้ำแกงและข้าวก็หกกระจายไปทั่วทั้งโต๊ะและบนพื้น รวมถึงบนตัวของสาวใช้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“โอ้ย ร้อนชะมัด” สาวใช้กรีดร้องพร้อมกระเถิบตัวหนี
ฮูหยินใหญ่เฉิงเพิ่งสบายใจได้ไม่กี่วัน ก็ต้องเริ่มขมวดคิ้วอีกครั้งแล้ว
“เฉิงเจียวเหนียวบอกว่าสาวใช้นางนั้นเอาน้ำแกงในข้าวลวกนาง… ” สาวใช้คุกเข่ากระซิบฮูหยินใหญ่ “สาวใช้บอกว่านายหญิงเจียวทำหกเอง…สาวใช้คนอื่นรออยู่ด้านนอก จึงไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮูหยินจะเชื่อใครเจ้าคะ”
“เจ้าถามว่าข้าจะเชื่อใครอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว นางนั่งยืดหลังตรงแล้วมองไปที่สาวใช้นางนี้ ทันใดนั้นเสียงของฮูหยินใหญ่ก็ดังขึ้น “นี่ยังต้องมาถามข้าอีกหรือ พวกเจ้าคิดว่าคนตระกูลโจวกลับไปแล้ว ชาตินี้จะไม่กลับมาอีกเลยหรือ แค่ปรนนิบัติคนบ้าให้กินๆ นอนๆ เพียงเท่านี้ ลำบากพวกนางมากนักหรือไร นี่เห็นว่าใครเป็นคนบ้ากันแน่ ข้างั้นหรือ!”
สาวใช้ตกใจจนต้องรีบหมอบกราบ
“เจ้าค่ะๆ ฮูหยินใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ ข้ารู้แล้ว ข้าจะรีบไปจัดการเจ้าค่ะ” นางพูดจบก็รีบลุกเดินออกไป
……………………………………………………………………