พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 34 จำได้
เพียงไม่กี่วัน เฉิงเจียวเหนียงเปลี่ยนสาวใช้ไปแล้วสามชุด
นอกจากนางที่หนีไปกับตระกูลโจวแล้ว อีกสองกลุ่มที่เหลือก็ถูกนำไปขาย
ตระกูลเฉิงปกครองเข้มงวด คำสอนบรรพบุรุษชัดเจน ยึดหลักเมตตาข้าทาสบริวาร การที่จะขายทาสรับใช้ให้กับผู้อื่นนั้น ในช่วงหลายปีนี้แทบจะไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าบัดนี้ยังภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนกลับขายไปแล้วถึงสองหน ณ ตอนนี้ทั้งนายทั้งบ่าวของตระกูลเฉิงต่างตื่นตระหนกและระวังตัวกันเป็นอย่างมาก
ข่าวการขายสาวใช้ในตระกูลออกไปถึงสองกลุ่มนั้นแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะคนบ้าที่อาศัยอยู่ที่เรือนรองตระกูลเฉิง
คนบ้าของตระกูลอื่นหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่รู้ว่าทุกข์สุขคืออะไร และชอบด่าทอทุบตีผู้อื่น แต่คนบ้าของตระกูลเฉิงถนัดเรื่องโยนความผิดให้ผู้อื่น ทำให้สาวใช้ทุกคนต่างพากันหวาดผวา
และร้ายที่สุดคือ คนบ้าผู้นี้มีตระกูลฝ่ายแม่คอยหนุนหลัง จึงไม่อาจกล่าวโทษหรือเอาผิดนางได้
สาวใช้ที่เคยไปดูแลคนบ้าของตระกูลเฉิงก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่น้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกกดขี่ ข่มเหง แถมยังอาจต้องสูญเสียอนาคตอันเป็นความหวังของครอบครัวของตนไปด้วย
“พี่สาวๆ พี่อยู่ที่นี่มานานแล้วสินะ พวกข้าไม่กล้าเข้าไปรับใช้หรอก”
“พี่จ้ะ น้องสาวข้ายังไม่หย่านมเลย หากถูกขายไป น้องข้าคงไม่รอดแน่”
เมื่อมองไปยังสองสาวใช้ใหม่ที่กำลังอ้อนวอนตนด้วยสีหน้าตื่นกลัว นางเองก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“อันที่จริงนายหญิงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น” นางกล่าว
สาวใช้ที่ถูกขายออกไปนั้นไม่ได้ถูกปรักปรำ แต่เป็นเพราะนางทำให้นายหญิงอับอายก่อน ถึงได้ถูกลงโทษเช่นนี้…
หากเป็นนายหญิงท่านอื่นแล้วล่ะก็ คงถูกลงโทษหนักเสียยิ่งกว่านี้
หากเป็นนายหญิงท่านอื่น พวกนางก็คงไม่กล้าทำกิริยาเช่นนี้เหมือนกัน
พูดตรงๆ ก็คือ รังแกผู้อื่นแต่สุดท้ายกรรมตามสนองเอง
ทว่าเหตุใดคนบ้าถึงรู้ว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง
หรือเป็นเพราะว่านางไม่ได้บ้า
สาวใช้เหม่อลอยไปชั่วขณะ
“พี่สาวๆ พี่ใจดี มีเมตตา ครอบครัวพวกข้าคงต้องพึ่งพี่แล้ว” สองสาวใช้ดึงมุมเสื้อขอร้องอ้อนวอน
สาวใช้ได้สติกลับมา จากนั้นจึงถอนหายใจ
“ก็ได้ ก็ได้ พวกเจ้าไม่ต้องเข้าไปรับใช้นายหญิงในเรือน ไปทำความสะอาดล้างหม้อล้างเตาในห้องครัวแทนก็แล้วกัน รับใช้นายหญิงให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” นางกล่าว
สองสาวใช้ขอบคุณยกใหญ่
สาวใช้หันหลังเดินเข้าเรือนไป
คนบ้าในเรือนที่แต่ก่อนถูกหัวเราะเยาะเย้ย แต่บัดนี้ต่างเป็นที่เกรงกลัว นางกำลังนั่งเงียบๆ และเปิดหนังสืออ่านเหมือนเช่นเคย
สาวใช้รินน้ำแล้วคุกเข่ายื่นให้กับนายหญิง
“นายหญิงดื่มน้ำเจ้าค่ะ” นางกล่าว
“อืม” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำ
สาวใช้มองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยตั้งแต่วันแรกที่นางเข้ามารับใช้นายหญิง จนถึงบัดนี้นายหญิงยังคงเปิดหนังสือค้างไว้ที่หน้าเดิมโดยไม่พลิกไปหน้าอื่นเลย
นิ้วขาวเรียวยาวของนายหญิงชี้ไปที่ตัวหนังสือแถวหนึ่ง ซึ่งมีร่องรอยผ่านการถูทิ้งไว้อยู่แล้ว
“นายหญิงอยากนอนกลางวันไหมเจ้าคะ” สาวใช้ถามอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่สาวใช้แล้วส่ายหัว พร้อมกับยื่นมือออกไป
“พยุงข้าหน่อย” นางพูด
สาวใช้รีบลุกขึ้นเอื้อมมือไปช่วยประคอง
“ข้าอยากออกไปเดินเล่น” นางพูด
“ได้เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบรับ พร้อมกับประคองนายหญิงเดินไปถึงทางเดิน
เหล่าบรรดาสาวใช้ที่คุยกันอยู่บริเวณลานหน้าบ้านหันมองตามเสียงที่ได้ยิน พวกนางมองเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดกระโปรงผ้าแพรสีเขียวล้วน ปล่อยผมสยายยืนอยู่ตรงประตูห้องโถง ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
เมื่อรู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นใคร พวกนางต่างอุทานตกใจอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมกับวิ่งเบียดเสียดกันเข้าไปในครัว เหล่าสาวใช้มองเห็นเพียงใบหน้าเรียวขาวนวล งดงามสะกดสายตา แต่ไม่ทันได้เห็นขนาดรูปร่างของนายหญิง และไม่กล้ามองด้วย
กลัวว่าหากมองแล้วเฉิงเจียวเหนียงจะหงุดหงิด แล้วเกิดทำร้ายพวกนางขึ้นมา แบบนั้นคงแย่แน่ๆ
สาวใช้มองไปที่ลานบ้านที่เงียบสงัดด้วยความประหม่า
“พวกนางรีบเข้าไปทำความสะอาดห้องครัวเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้สนใจ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
แสงแดดร้อนจ้า จักจั่นส่งเสียงร้อง
เฉิงเจียวเหนียงหรี่ตาลง
สาวใช้ทำตัวไม่ถูก จึงลองประคองนายหญิงให้เดินลงไป
“เอามี่หลีมาให้ข้าที” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าไม่โดนแดดไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าจะไม่สบาย”
สาวใช้ขานตอบด้วยความตกใจ
“ข้าไม่รู้จริงๆ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ” นางกล่าว
“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ครั้งนี้ข้าบอกเจ้า ครั้งหน้าเจ้าก็รู้แล้ว”
“เจ้าค่ะ ข้าจำได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอย่างมีความสุข แล้วรีบหันหลังกลับเข้าเรือนเพื่อไปเอามี่หลีออกมา จากนั้นจึงสวมให้แก่เฉิงเจียวเหนียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะประคองเฉิงเจียวเหนียงเดินออกไปอย่างช้าๆ
“ตกใจหมดเลย”
อากาศร้อนเยี่ยงนี้ เหตุใดนางถึงออกไปข้างนอก หลายคนใจคอไม่ดียิ่งนัก
สองสาวใช้ที่อยู่ในครัวชะโงกหัวออกมาดู ทั้งสองเอามือทาบอกพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้เดินไปที่ไหนไกลเลย แค่เดินรอบลานหน้าบ้านของตัวเองหนึ่งรอบเท่านั้น ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าประตู
“จะกลับแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้ช่วยประคองนายหญิงอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านายหญิงหยุดเดิน จึงรีบถาม
“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้ไม่กล้าถามต่อ จึงได้แต่พยุงนายหญิงกลับเข้าบ้านไป ขณะเดียวกันสาวใช้ที่อยู่บริเวณลานหน้าบ้านต่างพากันหลบเข้าไปในครัวด้วยความหวาดผวาอีกเช่นเคย
ตั้งแต่นั้นมา เฉิงเจียวเหนียงจะออกมาเดินทุกวัน แต่ไม่ได้ไปไหนไกล นางเพียงแค่เดินบริเวณรอบๆ บ้านเท่านั้น เหล่าบรรดาสาวใช้นับวันยิ่งเคยชิน ไม่ได้หลบหน้าเหมือนทุกครั้งที่นายหญิงออกมาเดินเล่น เฉิงเจียวเหนียงจึงออกมาเดินถี่ขึ้น จากหนึ่งรอบเป็นสองรอบและสามรอบตามลำดับ
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนก็สิ้นสุดฤดูร้อนและเข้าสู่ช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
“นายหญิงเหนื่อยแล้วใช่ไหมเจ้าคะ พวกเราพักสักครู่ไหมเจ้าคะ” สาวใช้ถาม หลังจากนั้นมี่หลีก็แหวกออกเป็นสองข้าง ทำให้เห็นใบหน้าชัดเจน
ผิวที่ขาวสวยมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เหนื่อย เดินต่อเถอะ” นางกล่าว
สาวใช้ขานรับพร้อมกับเดินตาม
ผ่านไปถึงสี่รอบกว่าเฉิงเจียวเหนียงถึงจะหยุดเดิน ร่างกายของนางเริ่มเมื่อยล้า จึงเอนกายพิงตัวสาวใช้ไว้
“หากนายหญิงเหนื่อยก็พักนะเจ้าคะ ไม่เห็นต้องหักโหมเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ” นางกล่าว
ตอนนี้นางเริ่มชอบผู้หญิงนิ่งเงียบคนนี้โดยไม่รู้ตัว
เมื่อเทียบกับการปรนนิบัติรับใช้เหล่านายหญิงอื่นที่อารมณ์แปรปรวนแล้ว นายหญิงผู้นี้กลับดูแลรับใช้ง่ายกว่ามาก แม้จะเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างว่านายหญิงผู้นี้น่ากลัวมากก็ตาม แต่แค่ปรนนิบัติตามที่นายหญิงต้องการก็เพียงพอแล้ว
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินและหันหลังกลับไปมอง
“ไม่เหนื่อย” นางกล่าว
แม้ว่าวันๆ หนึ่งจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าแต่เมื่อตัดสินใจทำแล้ว ก็มีรางวัลตอบแทนสำหรับคนที่มีความพยายามเสมอ เชื่อว่าออกกำลังกายเช่นนี้เป็นประจำ ก็จะสามารถขยับตัวได้อย่างอิสระ หากได้ผลดีเช่นนี้ การเดินออกกำลังกาย
แค่นี้ ไม่เหนื่อยเลย
สาวใช้รออยู่ครู่หนึ่งเมื่อไม่เห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงมีทีท่าว่าจะพูดต่อ เลยรู้ว่าจบบทสนทนาแล้ว จึงรีบประคองนายหญิงเข้าเรือน
น้ำร้อนถูกเตรียมไว้พร้อม เมื่อพาเฉิงเจียวเหนียงอาบน้ำ และเปลี่ยนกระโปรงเสื้อคลุมผืนสะอาดแล้ว สาวใช้จึง
นั่งลงเช็ดผมให้กับเฉิงเจียวเหนียง ขณะที่นางกำลังอ่านหนังสืออยู่
สาวใช้ยืนอยู่ข้างหลังจึงมองเห็นมือซ้ายของเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่บนตัวหนังสือ ค่อยๆ ขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ ขณะที่มือขวาก็ถูโต๊ะเตี้ยอย่างช้าๆ เช่นกัน หลังจากนั้นมือทั้งสองข้างก็สลับหน้าที่กัน และทำเช่นนั้นซ้ำอีกรอบหนึ่ง
นางกำลังอ่านหนังสืออยู่หรือนี่ ช่างแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้
ในบ้านเงียบสงบ เฉิงเจียวเหนียงนั่งเงียบ และถูๆ ไถๆ เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จู่ๆ สาวใช้ก็รู้สึกเศร้า
นายหญิงแทบจะไม่พูดเลย เว้นแต่ตอนต้องการเปลี่ยนเสื้อ กินข้าวและดื่มน้ำ เพราะปกตินางจะไม่พูด
สาวใช้นึกถึงปั้นฉิน เมื่อตอนที่ปั้นฉินยังอยู่ นางกับเหล่าสาวใช้ที่อยู่ตรงลานหน้าบ้านยังพอจะได้ยินเสียงนายบ่าวสองคนพูดโต้ตอบกันเป็นระยะๆ แม้ว่าจะได้ยินแต่เสียงของปั้นฉินพูดเกือบตลอดเวลาก็ตาม
นับตั้งแต่ปั้นฉินจากไป นายหญิงเงียบกว่าเก่ามาก เอาแต่เดินรอบลานหน้าบ้านอย่างเงียบๆ และนั่งเงียบในบ้าน พร้อมกับขยับนิ้วมือซ้ำไปซ้ำมา
นางรู้หรือไม่ว่าปั้นฉินไปแล้ว
กำลังโศกเศร้าอยู่หรือไม่
“นายหญิงจำปั้นฉินได้หรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ถามขึ้น
หลังจากพูดจบ นางก็ตกใจกลัวเล็กน้อย
ว่ากันว่าคนบ้าจดจำชื่อหรือใบหน้าของคนไม่ได้
เฉิงเจียวเหนียงชะงัก
“จำได้สิ” นางกล่าวพร้อมกับยกยิ้มบาง ที่แทบจะสังเกตไม่เห็น
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของนางมีชีวิตชีวาขึ้น
สาวใช้ตกตะลึง
นี่นางหัวเราะอยู่อย่างนั้นหรือ
รอยยิ้มบางของนาง ช่างสวยงามยิ่งนัก
ทว่าเหตุใดถึงหัวเราะได้เล่า
“หากเป็นเช่นนั้น นายหญิงรู้จักนางใช่หรือไม่…” สาวใช้เอ่ยตะกุกตะกัก
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
นางรู้จักและจำได้ สาวใช้ที่ชื่อปั้นฉินไปกับคนอื่นแล้ว
ทันใดนั้นนางก็ค้นพบว่าตัวเองเริ่มจำสิ่งต่างๆ ได้แล้ว
อันที่จริงนางไม่ได้ป่วย สมองไม่ได้เสื่อม ร่างกายก็แข็งแรงดี แต่แค่ทรงตัวไม่ค่อยไหวก็เท่านั้น
เมื่อรู้ดังนั้นแล้ว ร่างกายของเฉิงเจียวเหนียงจึงฟื้นตัวเร็วขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก นางจะหลงลืมไปได้อย่างไร
“นายหญิงเจ้าคะ เมื่อตอนปั้นฉินจากไป นางได้คุกเข่าก้มหัวอยู่ด้านนอก” สาวใช้มองไปที่ใบหน้านิ่งของนายหญิง และอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
นางพูดออกไปเพื่อปลอบประโลมนายหญิง เพราะปั้นฉินไม่ได้จากไปโดยไม่ร่ำลา
“อืม” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
คำพูดง่ายๆ เพียงหนึ่งคำ ฟังไม่ออกว่ากำลังมีความสุขหรือโกรธอยู่กันแน่
สาวใช้ผ่อนคลายทันทีหลังจากพูดออกไปแล้วนั่งคุกเข่าลงข้างๆ
“นายหญิงเจ้าคะ ข้าคิดว่า…” นางตั้งใจจะพูดอีกเล็กน้อย หรือกำลังคิดคำพูดแล้วบอกว่าปั้นฉินเป็นคนพูดอยู่
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นางและยิ้มอีกครั้ง
“ขอบคุณเจ้ามาก แต่ข้าไม่ได้เศร้า” นางกล่าว “คนที่เศร้าคือนางต่างหาก”
……………………………………………………..