พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 356 ความหมาย (2)
“ดังนั้นแล้ว นายหญิงของข้าไม่ได้สนใจว่าเงินทองจะมีมากมายสักเพียงใด ทั้งยังไม่ได้สนใจว่าฮูหยินทิ้งสินเดิมไว้ให้เท่าไหร่ นางไม่ได้ต้องการแย่งชิงเงินทอง ร้านรวง ที่นา หรือว่าแก้วแหวนเงินทอง นางต้องการกอบกู้ชื่อเสียงของท่านแม่ ว่านางนั้นก็เหมือนผู้อื่น ว่านางนั้นก็ได้รับความรักจากแม่ นางต้องการสู้เพื่อท่านแม่ กอบกู้ความรักที่ท่านแม่มีต่อลูกสาวผู้นี้! ให้ทุกคนได้รู้ว่านี่คือสมบัติที่ท่านแม่มอบให้แก่นางโดยแท้ และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงไปได้ ไม่ว่าจะด้วยฐานะใด!”
ปั้นฉินที่อยู่ด้านล่างบัลลังก์ตะเบ็งเสียงออกมา มองใต้เท้าทั้งสองบนบัลลังก์น้ำตานอง ก่อนจะคลานเข่าเข้าไปใกล้
…
“นายหญิงของข้าจำต้องฟ้องร้อง จำต้องแย่งชิง เพราะคนในตระกูลนั้นไร้ความเป็นธรรม นายหญิงของข้าไม่อาจเชื่อใจพวกเขาได้ จึงจำต้องวอนขอให้ศาลช่วยตัดสิน หากจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลสิบปี ยี่สิบปี แม้จะไม่ได้แต่งงานออกเรือนไปตลอดชีวิต นายหญิงของข้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ขอใต้เท้าได้โปรดตัดสินอย่างเที่ยงธรรม จะไม่ยอมให้ชื่อของฮูหยินต้องมีมลทินมัวหมองเด็ดขาด!”
นางพูดจบก็ก้มหัวจรดพื้น
ขณะที่นางพูดอยู่นั้นผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่บนบัลลังก์ก็เด้งตัวนั่งหลังตรงใดทันใด ขณะเดียวกันทงพั่นที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็ขยับนั่งตัวตรง สีหน้าราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้เห็น
นายใหญ่เฉิงเองก็ได้ยินคำพูดนั้นชัดเจน ทว่าสัญชาตญาณของเขากลับบอกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาส่งเสียงเย้ยหยันออกมา
“เหลวไหลสิ้นดี! พูดจาเลอะเทอะ เหตุถึงกลายเป็นดูหมิ่นท่านแม่ของนางไปได้…” เขาเอ่ย มองขึ้นไปบนบัลลังก์พลางส่งสายตาบ่งบอกว่าอย่าปล่อยให้นางพูดจาไร้สาระอีกต่อไป และรีบตัดสินคดีให้เสร็จสิ้นเสียที
ทว่าพอเขาเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางก็ต้องชะงักไปในทันใด เสียงพูดก็หยุดลงในทันทีเช่นกัน
ใต้เท้าทงพั่นเหตุใดถึงดูแปลกไป
นายใหญ่เฉิงกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงของศาล ก็พบว่าไม่ใช่เพียงแค่คนบนบัลลังก์ แต่แม้กระทั่งเหล่าขุนนางเจ้าพนักงานศาลที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ล้วนแต่สีหน้าแปลกไปทั้งสิ้น
เกิดอะไรขึ้น
นายใหญ่เฉิงค่อยๆ ชะงักไป คำพูดเมื่อครู่มีอะไรผิดแปลกไปอย่างนั้นหรือ
ไม่ คำพูดเมื่อครู่ไม่มีอะไรผิดแปลกไป แต่ถูกต้องต่างหาก
เหล่าขุนนางและเจ้าพนักงานศาลในโถงต่างพากันร่ำร้องอยู่ในใจ
หากเปรียบคำพูดของนายใหญ่เฉิงเมื่อครู่เหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมา ยามนี้เสียงอันแผ่วเบาของสาวใช้นั้นกลับกลายเป็นเสียงที่ดังกึงก้องอื้ออึงอยู่ในหูของพวกเขา
อันที่จริงแล้วยามสาวใช้ร้องไห้สะอึกอื้นพูดพล่ามไปตั้งมากมายเมื่อครู่นั้น พวกเขาแทบจะฟังไม่รู้ความ ทว่าท่อนสุดท้าย พวกกลับได้ยินอย่างแจ่มชัด
ไม่สนใจเงินทอง ไม่ได้แย่งชิงสินเดิม แต่ต้องการกอบกู้ชื่อเสียง…
จำต้องฟ้องร้อง! แม้จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลไปชั่วชีวิต! ชั่วชีวิต!
จะว่าไปแล้วน้อยนักที่จะมีคดีความแก่งแย่งสมบัติเช่นนี้ ประการแรกเนื่องจากเป็นข้อจำกัดของจารีตประเพณี ประการที่สองเนื่องจากเป็นเรื่องเงินทอง
เดิมทีเรื่องของสองพี่น้องแบ่งสมบัติ หากเรื่องขึ้นสู่ศาลแล้วก็แค่เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดมารวมกันแล้วแบ่งเป็นสองส่วน ไม่มีอันใดต้องตัดสินพิจารณา ทว่าหากก้าวเข้าประตูศาลแล้วก็ยากจะถอย โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนอย่างทรัพย์สินเงินทอง เหล่าขุนนางผู้พิพากษาต่างพากันขยาด ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยหรือตำแหน่งใหญ่โตขนาดไหน ล้วนแต่ไม่มีผู้ใดอยากว่าความเรื่องเช่นนี้
เรื่องที่ตนเองเสียประโยชน์เช่นนี้มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำ! เพราะฉะนั้นจึงมีคดีความประเภทนี้น้อยนัก
ทว่ายามนี้มีคนบ้าร้องเรื่องขึ้นศาลเข้าแล้วจริงๆ! แถมยังประกาศอย่างชัดแจ้งว่าไม่ต้องการสมบัติของตระกูล คนบ้าผู้นี้ต้องการเพียงลบล้างมลทิน!
พวกเขานั้นชอบคดีเสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ยอมเช่นนี้เป็นที่สุด!
หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ! ทุกคนต่างเข้าใจในทันใด! พอมองไปยังผู้ช่วยเจ้าเมืองหลี่ ก็เห็นว่าแววตาของเขาไม่ได้เคลือบแคลงสงสัยหรือเย้ยหยันอีกต่อไป
ถึงว่าละนางฉลาดพอที่จะสละทุกสิ่ง แม้คอจะพาดอยู่บนเขียงก็จะฟ้องร้องเรื่องนี้ให้จงได้!
ดูสิ ดูตอนที่พวกเขาได้เห็นรายการสินเดิมเมื่อครู่สิ!
กองเงินกองทองที่วางตรงหน้า เป็นผู้ใดก็คงกระโจนเข้าใส่อย่างไม่คิดชีวิต! แค่เศษเสี้ยวเดียวก็เพียงพอสำหรับเสวยสุขไปทั้งชาติแล้ว! ผู้ใดจะไปสนกันว่าอีกฝ่ายเป็นใครหน้าไหน!
ตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจวอย่างนั้นหรือ นายใหญ่เฉิงอย่างนั้นหรือ จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ใช่ปัญหาของพวกเขา ในเมื่อพวกเจ้าร้องเรื่องขึ้นศาลมาเอง พวกเขาย่อมต้องตัดสินตามกฎหมาย ผดุงความยุติธรรม ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!
เฉากุ้ยมองไปรอบกายแววตาก็พลันเปล่งประกายขึ้นมา เขาเข้าใจในทันใด แต่ก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ยื่นคำฟ้องจนถึงบัดนี้ ความเคลือบแคลงสังสัยและความกังวลใจนั้นได้หายไปจนหมดสิ้น ทั้งยังเกินความคาดหมายของเขาไปมากนัก
ถึงว่าล่ะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนางหญิงก็จะฟ้องร้องเรื่องนี้ให้ได้ ขนาดนายใหญ่โจวยังไม่เคยแม้แต่จะขึ้นโรงขึ้นศาลเช่นนี้
เพราะแม่นางผู้นี้ไม่คิดว่าตนเองจะชนะคดีอยู่แล้ว
เพราะละทิ้งแล้วซึ่งทุกสิ่ง จึงได้มาซึ่งทุกสรรพสิ่ง เพราะไม่ต้องการจะชนะ จึงไม่กลัวว่าจะแพ้
ยามนี้เขาได้รู้ว่าตนเองคิดผิดที่เห็นว่านายหญิงนั้นมีเมตตาสละเงินหมื่นก้วนอย่าไม่นึกเสียดาย เพื่อสร้างบ้านเรือนให้ผู้อื่น
สิ่งใดกันที่เรียกว่ามีเมตตา ยัดทรัพย์สมบัติหมื่นก้วน สองหมื่นก้วน สามหมื่นก้วนใส่มือคนอื่นอย่างไรเล่าถึงเรียกว่ามีเมตตา หากจะถามว่าบนโลกนี้มีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้หรือไม่ อย่าว่าแต่ทำเลย ไม่แต่คิดก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ!
ในเมื่อไม่มีผู้ใดยอมปล่อยมือจากเงินเหล่านั้น หากนางไม่ได้มัน คนอื่นก็จะไม่ได้เช่นกัน
นางยอมพลีกายแม้จะต้องเจ็บทั้งตัว แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดได้แตะต้องเงินเหล่านั้น
ร้ายกาจนัก!
เงินนั้นมีไว้ใช้
เสียงของหญิงสาวผู้นั้นดังขึ้นแผ่วเบาข้างหูของพ่อบ้านเฉา
เจ้าเมืองซ่งที่อยู่ท้ายโถงค่อยๆ หยุดฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดินออกไป ฝ่ามือที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดม่านก็ถูกชักกลับมา
ถึงว่าล่ะ… ถึงว่าล่ะ…
นางไม่ได้มาขึ้นโรงขึ้นศาล แต่มาแจกเงิน!
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!
นายใหญ่เฉิงหน้าเขียวมองดูที่ประตูข้างก่อนจะรวบแขนเสื้อขึ้น มองดูทงพั่นบนบัลลังก์ที่วางไม้จิงถังลง มองดูแววตาแสนละโมบรอบกาย ในใจก็กระตุกวูบขึ้นมา
เขาไปเข้าเฝ้าเจ้าเมืองด้วยตัวเอง เขาลงทุนลงแรงมาขึ้นศาล เขาเสียเวลาเรียบเรียงคำมากมายกว่าจะพูดออกมาได้ เขาทุ่มเทถึงเพียงนี้ แต่อีกคนกลับพูดเพียงประโยคเดียว ประโยคเดียวที่ทำให้สิ่งที่เขาทุ่มเทไปกลายเป็นเถ้าถ่าน
ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมดกลับเป็นคุณต่อนางไปได้
คดีนี้ไม่ควรตัดสินเร็วขนาดนี้ คดีทะเลาะวิวาทจะยืดเยื้อไปสักสิบวันหรือสักครึ่งเดือนก็เป็นเรื่องปกติ เหตุใดเขาถึงได้หน้ามืดตามัวเร่งเร้าให้เจ้าเมืองรีบส่งเรื่องขึ้นสู่ศาลเช่นนี้
ไม่ ไม่ ไม่ใช่ว่าเขาหน้ามืดตัวมัว! แต่เป็นเพราะเขาถูกบีบบังคับ! ถูกเด็กบ้านั่นบีบบังคับ!
ถูกนางบีบบังคับจนต้องมาขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกนางบีบบังคับจนตนเองต้องไล่เรียงรายการสินเดิมออกมาทั้งหมด ถูกนางบีบบังคับจนตนเองต้องเปิดเผยทรัพย์สมบัติของตระกูลต่อหน้าผู้คน
เงินทองทำให้ใจคนสั่นไหว! เงินทองคือมีดที่ใช้ฆ่าคน!
หากเขาไม่ได้เปิดเผยสมบัติของตระกูล ทุกคนก็คงไม่รู้สึกอันใดกับคำพูดของสาวใช้นางนั้น แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว!
ทุกคนคงตัดสินไปแล้วอยู่ในใจ ไม่ใช่แค่เพียงการคาดเดาอย่างเลื่อนลอยอีกต่อไป
เขาเป็นคนที่เอาตัวเองมาเปิดโปง เหมือนกับกำลังแก้ผ้าล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้าฝูงหมาจิ้งจอก ส่วนเด็กบ้านั่นไม่ต้องลงทุนลงแรงอันใด แม้แต่ศาลก็ไม่ต้องขึ้น
สิ่งที่นางทำมีอย่างเดียวก็คือ รอให้เขาทำทุกอย่างจนเสร็จจากนั้นก็มาชุบมือเปิบ
เร่เข้ามา ได้เวลาของงานเลี้ยงแล้ว มีผู้ใดอยากกินบ้าง
เจ้าเล่ห์นัก! ร้ายกาจนัก!
นายใหญ่เฉิงชี้นิ้วไปที่สาวใช้ที่หมอบอยู่บนพื้น พ่อบ้านเฉาที่อยู่อีกฟากหนึ่ง แม่นมจากตระกูลรองที่ตัวสั่นงันงก ทงพั่นบนบัลลังก์ที่เปลี่ยนหน้าเป็นคนละคน แถมยังดูเหมือนกำลังจะพิจารณาคดีนี้ต่อไปอีกด้วย ทั้งยังมีเจ้าเมืองที่แอบหลบซ่อนตัวอยู่ที่ประตูข้าง บวกกับเด็กบ้านั่นที่ไม่ได้มาขึ้นศาลในวันนี้ทว่าคือคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง และสุดท้ายคือตระกูลโจว…
เจ้าเล่ห์นัก! ร้ายกาจนัก!
นายใหญ่เฉิงกำลังจะอ้าปากร้องตะโกน ทว่าลำคอกลับรู้สึกหวานปะแล่มขึ้นมา ก่อนเลือดจะกระอักออกมาจากปาก
เสียงกรีดร้องของสตรีดังก้องไปทั่วโถง ทุกคนพากันมองไปที่เขาก่อนจะถามไถ่ ทว่านายใหญ่เฉิงกลับได้ยินไม่ชัด เขายกมือกุมอกแล้วล้มลงไปกับพื้น
พ่อบ้านเฉามองดูผู้คนรายล้อมนายใหญ่เฉิงที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เขาเงยหน้าแล้วยกยิ้มมุมปาก
ไปแล้วอีกหนึ่งคน…
เขาพูดกับตัวเองในใจ
………………………..