พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 361 ข่มขู่
“เจ้าอย่าเข้ามา! เจ้าอย่าเข้ามา! ”
เสียงร้องหวีดแหลมของชายหนุ่มดังขึ้นกลางห้องโถง คนงานของร้านที่ลงมายังชั้นล่างแล้วเหลียวกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ พอจะจินตนาการออกว่าใบหน้าดั่งเห็นผีของท่านชายหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหญิงสาวเป็นอย่างไร
“พวกเจ้ามาจากตระกูลเดียวกันหรือ” เขาถามอย่างอดไม่ได้ พลางมองหน้าผู้ติดตามที่ตามตนลงมาดูแลข้าวปลาอาหาร
แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่วันหน้าไม่แน่
ผู้ติดตามลังเลอยู่ครู่หนึ่ง การจะตอบรับแล้วไม่พูดอะไรต่อ
คนงานหนุ่มจึงทึกทักเอาเองว่าว่าเป็นเช่นนั้นไปโดยปริยาย แต่ถึงอย่างนั้นคำตอบของเขาก็คลุมเครือ ดังคำกล่าวว่าปู่อยู่ในเปล หลานถือไม้ค้ำ ลำดับอาวุโสไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้มาจากตระกูลร่ำรวย ก็เป็นเรื่องปกติที่ท่านชายเศรษฐีมีเงินจะแต่งงานกับหญิงสาวอายุน้อย
“ฉะนั้น ท่านนี้คือแม่เลี้ยงหรือ” บ่าวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
ผู้ติดตามที่กำลังก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายแทบจะล้มลงกับพื้น
“ไสหัวไปซะ!” เขาตบหน้าคนงานของร้านจนหมวกเอียงแล้วเอ็ดด้วยความโมโห “ห้ามพูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีก ไม่อย่างนั้นจะเอาขี้ยัดปากให้ดู”
คนงานกลัวเสียจนกุมศีรษะและไม่กล้าพูดต่อ
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้เดินมาฝั่งของท่านชายหวังสิบเจ็ด แต่เลือกที่จะนั่งลงบนเบาะรองนั่งอีกฝั่งหนึ่ง
หญิงทั้งสองนางก็รีบนั่งลงเช่นกัน พร้อมกับมองไปยังท่านชายหวังสิบเจ็ดที่แทบจะมุดเข้าไปในอ้อมอกของหญิงสาวเหล่านั้น สีหน้าจองพวกนางดูประหลาดใจยิ่งนัก
พวกนางรู้ว่าเขาคือท่านชายหวังสิบเจ็ด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้พบตัวเป็นๆ หน้าตาก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่ผอมบางไปเสียหน่อย…
ที่เขาตกใจกลัวถึงเพียงนี้ เพราะรู้เรื่องที่แม่นางผู้นี้ฟ้องร้องนายใหญ่เฉิงแล้วอย่างนั้นหรือ
พอเห็นท่าทางของท่านชายหวังสิบเจ็ด เฉิงเจียวเหนียงเพียงแค่ยิ้มแล้วไม่เหลียวมองเขาอีกเลย แต่กลับนั่งลงแล้วมองทิวทัศน์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะด้านนอกแทน
ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดไม่ได้รู้สึกโล่งอกเลยแม้แต่น้อย เขาตกใจกลัวจนหัวใจแทบระเบิดออกมา
“ท่านชาย แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน” สาวใช้รูปงามข้างกายกระซิบถามอย่างอดไม่ได้
พวกนางตกใจหลังจากเห็นใบหน้าของแม่นางน้อยคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น
แม่นางน้อยงดงามเช่นนี้ ท่านชายคงหลงรักหัวปักหัวปำเป็นแน่ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าท่านชายของตนจะตกใจจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้
ยามนี้พวกนางมั่นใจแล้วว่าเขาตกใจกลัว ไม่ใช่หลงรักจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“หุบปาก หุบปาก” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกน
หลังจากออกมาเที่ยวเล่นหลายวัน นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านชายพูดจาหยาบคายกับพวกนาง สาวใช้รูปงามพากันน้ำตาลไหลพรากทันที
น่าเสียดายที่ท่านชายไม่ใช่บุรุษที่ทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี เขาจ้องเขม็งไปที่แม่นางน้อยผู้นั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและหวาดระแวง
ความประหม่าและหวาดกลัวของเขาไม่ได้ส่งผลต่อบรรยากาศในที่นั้นแต่อย่างใด เหล่าคนงานยังคงเดินเรียงแถวเข้ามาจัดวางอาหารมากมายไว้บนโต๊ะ
“แม้นายหญิงจะไม่ดื่มเหล้า แต่เพราะอากาศหนาวเย็น ข้าจึงสั่งเหล้ามาด้วย” ผู้ติดตามเอ่ยอย่างนอบน้อม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ใช่แล้ว แม้ข้าจะไม่ดื่มเหล้า แต่แม่นางทั้งสองลองชิมเถิด” นางเอ่ยพลางผายมือเชื้อเชิญ
คนงานของร้านรีบนำวางเหล้าสองเหยือกไว้บนโต๊ะของหญิงทั้งสอง
“โธ่ เช่นนี้…พวกข้าก็ไม่ดื่มเหล้าเช่นกัน…”
หญิงทั้งสองหัวเราะพลางโบกมือ
แน่นอนว่าพวกนางไม่ดื่มเหล้า เพราะไม่มีปัญญาซื้อต่างหาก อย่างมากก็แค่ดื่มส่าเหล้าที่เหลือในวันปีใหม่ให้สมใจอยากเท่านั้น
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย
“แม่นางทั้งหลายอย่าได้เกรงใจเลย ชมหิมะก็ต้องดื่มเหล้าไปด้วย” นางเอ่ย “หากไม่ใช่เพราะป่วย ข้าคงดื่มเป็นเพื่อนแล้ว”
หญิงทั้งสองคนโล่งใจในทันที พวกนางไม่รู้มารยาทอันใดมากมาก ส่วนใหญ่ล้วนแต่เรียนรู้จากผู้อื่น แต่แม่นางผู้นี้ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องมารยาท หรือดูแคลนพวกนางเลยแม้แต่น้อย
คนคนหนึ่งหากรังเกียจใครก็ตาม จะสังเกตได้จากแววตาคู่นั้น และแววตาที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม หญิงทั้งสองมักเห็นจากดวงตาของหัวหน้าแม่บ้านแห่งตระกูลเฉิง ขณะที่ฮูหยินของบ้านตระกูลเฉิง พวกนางไม่มีโอกาสได้พบเจอเลยสักหน
แม่นางคนนี้ต่างจากคนพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง ยามนางมองหน้าพวกนาง ดูสงบนิ่งและเรียบเฉยนัก ไม่เชิดหน้าหรือมองต่ำ ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
“ช่างเป็นเหล้าชั้นดีจริงๆ” หญิงนางหนึ่งเปิดเหยือกเหล้า ก่อนจะสูดกลิ่นหอมนั้นอย่างอดใจไม่ไหว
เดินทางมาครึ่งค่อนวันทั้งยังเป็นช่วงฤดูหนาวอีก ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหิวโหย ไม่นานทุกคนต่างปลดปล่อย หัวเราะพูดคุยและดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ครึกครื้นยิ่งนัก แม้เฉิงเจียวเหนียงจะไม่ได้ร่วมวงสนทนา แต่หญิงทั้งสองก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด บรรยากาศสุดแสนผ่อนคลาย
ตรงกันข้ามกับฝั่งของท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ดูทุกข์ทรมานไม่น้อย
สาวใช้หลายคนขยับร่างกาย
“ทำอะไร” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกนขึ้นทันที
“ท่านชาย…” สาวใช้มองเขาด้วยสีหน้าน้อยใจ พร้อมกับนวดขาของเขา “พวกเรานั่งจนขาชาไปหมดแล้ว…”
“ท่านชาย หากท่านอึดอัด เราไปจากที่นี่กันเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้อีกคนพูดเสียงแผ่วเบา
ไปอย่างนั้นหรือ
ในใจของท่านชายหวังสิบเจ็ดรู้สึกวูบโหวงขึ้นมา
เขาออกมาไกลถึงเพียงนี้ แต่ก็กลับถูกหญิงสาวผู้นี้ตามมาเจอจนได้!
“เฉิงเจียวเหนียง!” เขายืนขึ้นแล้วตะโกนในทันใด
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน พาลให้ทุกคนในห้องโถงตกตะลึง ก่อนจะพากันมองไปที่ท่านชายหวังสิบเจ็ด
ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับหน้าตาบูดบึ้ง แถมยังดูเหมือนจะยืนไม่มั่น
“นี่ นี่…” เขาโน้มตัวลงมาใช้มือค้ำที่หน้าขา
หญิงทั้งสองนางกัดตะเกียบ มองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ท่านชายขาชาหรือเจ้าคะ!” สาวใช้ได้สติจึงตะโกนขึ้น ทันใดนั้นบ้างก็รีบเข้าไปพยุง บ้างก็รีบเข้ามานวดขากันจนวุ่นวายไปหมด ท่ามกลางเสียงจอแจปนกับเสียงร้องอันแปลกประหลาดของท่านชายหวังสิบเจ็ดจึงยิ่งดูอลหม่านขึ้นกว่าเดิม
เฉิงเจียวเหนียงละสายตากลับมา ก่อนจะยกจอกทองขึ้นดื่มแล้วมองทิวทัศน์ของภูเขาด้านนอก
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้า เจ้าจะทำอะไร”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดผลักสาวใช้ เดินขากะเผลกเข้ามาแล้วถาม
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวกลับมามองเขา
“ดูภูเขาและหิมะ” นางตอบพร้อมกับชี้ออกไปด้านนอก
หญิงผู้นี้แสร้งบ้าเก่งเป็นที่สุด ฆาตกรยิ่งโหดเหี้ยมเท่าใด ก็ยิ่งพลางตัวเก่งเท่านั้น ท่านชายหวังสิบเจ็ดฮึดฮัดในใจ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ดูไปเถิด ข้าขอตัวก่อน” เขากัดฟันเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงวางจอกทองคำลง
“เจ้าจะทำอะไร” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถอยหลังด้วยความตกใจแล้วชี้นิ้วถาม
เฉิงเจียวเหนียงคำนับเขา
“ท่านชายเดินทางปลอดภัย” นางเอ่ย
ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนน้ำลาย ได้… นี่เจ้าพูดเองนะ อย่าได้หวังว่าข้าจะเข้าใจท่าทางเสแสร้งที่ปกปิดความรู้สึกที่มีต่อข้าก็แล้วกัน จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป
สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังยังไม่รู้สึกตัว แต่พอได้ยินเสียงเดินกระทืบเท้าปึงปังบนบันไดก็ได้สติกลับมา ก่อนจะรีบตะโกนเรียกท่านชาย พลางเดินตามเขาออกไปอย่างโกลาหลวุ่นวาย ในที่สุดห้องโถงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมละมุนก็เงียบสงบลงเสียที
นางคณิกานั่งกอดพิณอยู่บนพรมอีกฝั่งอย่างเหม่อลอย
“โธ่ ยังไม่ได้จ่ายค่าแต่งหน้าทำผมเลย!” หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นไล่ตาม แต่กลับถูกเฉิงเจียวเหนียงเรียกไว้
“พวกเจ้ายังมีงานอื่นต้องทำอีกหรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ดวงตาของนางคณิกาทั้งสองเป็นประกายวาววับขึ้นมา กวาดสายตามองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
แม้ว่าจะไม่ได้สวมใส่เครื่องเงิน เครื่องทอง แต่เสื้อผ้านั้นทำจากวัสดุชั้นดีทั้งยังตัดเย็บอย่างประณีต บวกกับเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้ร่ำรวยตกใจกลัวแม่นางผู้นี้จนวิ่งหนีออกไป แสดงว่านางไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ทั้งสองรีบตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยบรรเลงเพลงด้วยเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เงินที่ท่านชายผู้นั้นต้องจ่าย…” นางคณิกาคนหนึ่งถามหยั่งเชิง
“ข้าจ่ายแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มตอบ
นางคณิกายิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมทันที รีบซอยเท้าเดินเข้ามาแล้วนั่งคุกเข่าลงด้านข้าง
“แม่นางอยากฟังเพลงอะไรหรือเจ้าคะ”
“ขอเพลงสนุกและเพลิดเพลินก็พอ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
นางคณิกาทั้งสองรีบตอบรับ ปรับสายเครื่องดนตรี ก่อนจะบรรเลงร้องขับกล่อม
หญิงอีกสองนางยิ้มหน้าแป้น ทิวทัศน์หิมะก็ไม่มีอะไรน่าภิรมย์นัก ทว่ามีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเสียงเพลงบรรเลงที่อย่างสนุกสนานเช่นนี้ สำหรับพวกนางแล้วเรียกว่ายิ่งกว่าความฝัน
ในห้องโถงยังคงคึกคัก ส่วนฝั่งท่านชายหวังสิบเจ็ดเองนั่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว
สาวใช้สองนางที่นั่งประกบอยู่เมื่อครู่ยามนี้กลับขดตัวอยู่ที่มุมรถ บนใบหน้ายังคงมีคราบน้ำชา หลงเหลืออยู่ เสื้อผ้าก็เปรอะไปหมด ยิ่งเห็นใบหน้าซีดขาวและท่าทางวิตกกังวลของท่านชาย ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาปลอบประโลม
“ท่านชาย พวกเราจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมในเมือง หรือจะไปที่ไหนหรือขอรับ” บ่าวถามอย่างระมัดระวังจากนอกรถ
“จะกลับไปในเมืองทำไม! คนตามมาถึงที่ ก็ต้องรีบหนีสิ! ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ็ด
นอกรถนิ่งเงียบทันที รถก็ยิ่งแล่นเร็วขึ้นจนสั่นโคลงเคลงยิ่งกว่าเดิมมาก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดผลักโต๊ะไม้ที่สั่นไหวจนกระแทกตัวเขาด้วยความโมโห ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแรง
หนีอย่างนั้นหรือ…
จะหนีไปที่ไหนได้กัน
ถึงจะหลบซ่อน พวกเขาก็ตามมาทันอยู่ดี!
หญิงผู้นี้น่ากลัวนัก! เหตุใดถึงไม่ยอมปล่อยเขาไป
ท่านชายหวังสิบเจ็ดยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้า ใบหน้า…
ต้องโทษตัวเองที่หล่อเหลาเกินไป! ความงามเป็นภัยจริงๆ ด้วย!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ดวงตาของท่านชายหวังสิบเจ็ดก็เป็นประกายขึ้นมาในทันใด
“หยุดรถ!” เขาตะโกน
รถหยุดอย่างกะทันหัน เพราะว่าจู่ๆ ก็หยุดรถพวกม้าเทียมรถจึงส่งเสียงร้อง คนในรถก็กรีดร้องเสียงดังเช่นกัน
“กลับไป กลับไป” ท่านชายหวังสิบเจ็ดไม่ได้ตำหนิคนขับรถม้าที่เกือบจะทำให้ตนตกจากรถ แต่กลับยกม่านขึ้นแล้วตะโกนออกไปแทน
คนขับรถม้าไม่กล้าชักช้า รีบกลับรถในทันที
“ท่านชายกลับที่ไหนหรือขอรับ” เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม
“ก็ต้องกลับหอหลานเซิ่งน่ะสิ!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกน
คนขับรถม้ารีบเร่งม้า
พอเห็นท่านชายหนุ่มที่กลับมาตรงนอกประตู คนงานของหอหลานเซิ่งแปลกใจไม่น้อย โต๊ะเก็บเสร็จหมดแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาออกไปข้างนอกเพียงครู่เดียวแล้วจะกลับมากินต่อหรอกนะ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดสูดหายใจเข้าลึกอยู่หลายหนแล้วกระโดดลงจากรถม้า
“มีมีดหรือไม่” เขาหันมาถามบ่าวที่อยู่ด้านข้าง
บ่าวตกใจจนแทบจะล้มลงกับพื้น
“ท่านชายจะเอาไปทำอะไรหรือขอรับ” เขาถามเสียงสั่น
จะทำให้แม่นางของตระกูลเฉิงโกรธเคืองไม่ได้นะขอรับ!
“ไร้สาระ เอามาให้ข้าเร็ว!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดขมวดคิ้วเอ็ด
บ่าวไม่กล้าขัดก่อนจะสั่งให้คนเฝ้ายามไปเอามาด้วยหน้าตาบึ้งตึง
“มีอันแค่นี้หรือ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดจ้องเขม็งไปยังกริชเล่มเล็กเท่าฝ่ามือที่เขายื่นมาให้แล้วถามขึ้น
“ท่านชาย มีแค่เล่มนี้เท่านั้น” บ่าวตอบ “แล้วก็มีไม้กระบองขอรับ”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดถอนหายใจแล้วหยิบกริชขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็อันนี้แหละ” เขาเอ่ย พลางสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง มองขึ้นไปที่ชั้นสอง ฟังเสียงพิณ เสียงเพลงที่ลอยลงมา…
นี่ไม่ใช่นางคณิกาที่ตนจ้างมาหรอกหรือ แม่นางคนนี้ช่างไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ !
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่! ผู้ใดก็ห้ามตามมาเด็ดขาด!” เขาพูดกับคนข้างกาย กำกริชเล่มเล็กไว้แน่นก่อนจะยกเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า
สีหน้าของทั้งผู้ติดตามและสาวใช้ของตระกูลหวังดูตื่นตระหนก
“ท่านชาย ท่านชาย…” สาวใช้เรียกเสียงสั่น แต่ไม่กล้าตามไป
“ท่านชายจะทำอะไรหรือ”
“ท่านชายไม่ชอบแม่นางของตระกูลเฉิง ไม่ใช่ว่าจะไปทำร้ายนางหรอกนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บ่าวของท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ยกมุมปาก
“ไม่รู้ว่าใครจะลงมือใครก่อน…” เขาพึมพำ
เสียงกระทืบเท้าดังตึงตัง ทว่ากลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนที่กำลังกินดื่มอย่างมีความสุขเลยแม้แต่น้อย บางคนกินอยู่ บางคนดื่มอยู่ ทั้งยังชายฉกรรจ์มากมายกระจัดกระจายไปทั่วร้าน แม้จะดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ทว่านี่คือแผนที่วางไว้แล้วอย่างรัดกุม
พวกเขามองมาก็เห็นว่าเป็นท่านชายหวังสิบเจ็ด แต่กลับทำเหมือนมองไม่เห็น
ส่วนหญิงผู้นั้นกลับไม่เหลียวมามองเลยแม้แต่น้อย นางนั่งหันหลังพิงโต๊ะไม้ มือข้างหนึ่งถือจอกทองคำ มืออีกข้างหนึ่งตบเข่าเบาๆ ตามจังหวะของเสียงพิณ
ราวกับภาพวาดของหญิงงามที่กำลังชมหิมะมิปาน
ท่านชายหวังสิบเจ็ดจ้องมองอย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ชั่ววินาทีนั้นเองหญิงงามได้หันกลับมายิ้มให้กับเขาเบาๆ ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงงามกลายเป็นโครงกระดูก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดร้องเสียงดังลั่น
คราวนี้ทุกคนในห้องโถงล้วนมองมาที่เขา แม้แต่นางคณิกาที่กำลังบรรเลงเพลงก็หยุดเล่น เฉิงเจียวเหนียงก็เหลียวกลับมาเช่นกัน
ที่แท้เมื่อครู่คือภาพลวงตาของเขาเอง ท่านชายหวังสิบเจ็ดถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้ามานี่” เขาสูดหายใจเข้าลึก พลางพูดเสียงสั่น
เฉิงเจียวเหนียงตอบรับก่อนจะลุกขึ้นมาจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ หญิงทั้งสองก็รีบลุกขึ้นยืนตาม แต่เฉิงเจียวเหนียงกลับยิ้มแล้วส่ายศีรษะ
“พวกเจ้านั่งลงเถิด” นางพูดส่งสัญญาณให้นางคณิกาทั้งสองบรรเลงเพลงต่อ
เสียงพิณตึงตังจึงบรรเลงต่อไป
“ท่านชายหวังมีอะไรจะรับสั่งหรือ” เฉิงเจียวเหนียงยืนถามอยู่ตรงหน้าท่านชายหวังสิบเจ็ด
เมื่อนางเดินเข้ามา ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับถอยหลัง
“เจ้า เจ้าตามข้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เขาพูดพลางมองไปโดยรอบ มีฉากกั้นแยกห้องลับตาคนอยู่อีกฝั่ง เขาจึงก้าวเดินไปทางนั้น
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ถามต่อแล้วเดินตามไป
เมื่อเข้าไปในห้องที่ถูกกั้นไว้ ท่านชายหวังสิบเจ็ดหันหน้าเข้าหน้าต่างตัวแข็งทื่อครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาในทันใด
เฉิงเจียวเหนียงตกใจเล็กน้อย
“ท่านชายหวัง นี่มันหมายความว่าอะไรหรือ” นางยิ้มถามอีกครั้ง
ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ถือกริชเล่มเล็กอยู่ในมือ ค่อยๆ ดึงฝักมีดออก ปลายมีดอันแหลมคมส่องแสงเป็นประกาย
“เฉิงเจียวเหนียง อย่ามายุ่งกับข้าอีก!” เขาพึมพำ “ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้าเป็นอันขาด”
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดอย่างครุ่นคิด ทว่าไม่เอ่ยคำใด
“หากเจ้าไม่ปล่อยข้าไป แล้วยังจะมายุ่งกับข้าอีก ข้าจะ ข้าจะ…” ท่านชายหวังสิบเจ็ดพูดพร้อมกับถือกริชด้วยมือที่สั่นเทา
“เจ้าก็จะฆ่าข้าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ท่านชายหวังสิบเจ็ดทำเสียงฮึดฮัด
“ฆ่าเจ้ารึ ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใด ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้หรอก แต่ข้าฆ่าตัวเองได้!” เขาเอ่ย “เจ้า เจ้า ไม่ได้ลุ่มหลงใบหน้านี้ของข้าหรือ หากเจ้าบังคับข้าอีก ข้า ข้าจะทำให้ตัวเองเสียโฉม!”
เขาพูดพลางพลิกมือหันปลายกริชจ่อที่ใบหน้าของตน