พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 372 เมื่อรู้
เมื่อส่งมอบของขวัญเป็นที่เรียบร้อย เหล่าบ่าวรับใช้จากตระกูลฉินและตระกูลเฉินก็คำนับลา พร้อมทั้งปฏิเสธพ่อบ้านเฉาที่จัดเตรียมห้องหับให้นอนค้างที่นี่
“ไม่ต้องเตรียมของอันใดให้พวกข้าหรอก พี่ปั้นฉินที่อยู่ทางโน้นให้พวกข้าไว้แล้ว” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พ่อบ้านเฉาและปั้นฉินเองก็ยิ้มพลางคำนับให้ พวกเขาเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปากก่อนจะพาไปส่งออกนอกเมือง ระหว่างทางก็ครื้นเครงไม่น้อย มีสิ่งให้น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ชี้นิ้วถามโน่นถามนี่กันตลอดเวลา
“เป็นคนของท่านอำมาตย์เฉินเซ่าจริงๆ หรือนี่” นายใหญ่เฉิงนั่งอยู่ในห้องโถงฟังพ่อบ้านรายงาน ใบหน้าของเขาซีดเผือด
พ่อบ้านก้มหน้าขานรับ
“ยังมีอีกเรื่องขอรับ” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ยังมีอะไรอีกก็รีบว่ามา” นายใหญ่เฉิงเอ่ย
“คนจากตระกูลท่านอาจารย์เจียงโจว…” พ่อบ้านเอ่ยเสียงอ้ำอึ้ง
นายใหญ่เฉิงรู้สึกหัวใจวูบโหวงขึ้นมาในทันใด
“ตระกูลของเขา ก็ส่งคนมาด้วยหรือ” เขาแกว่งถ้วยชาพลางเอ่ยถาม
เหตุใดถึงมีตระกูลจางมาอีก ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อใด
พ่อบ้านพยักหน้า
“แต่ว่า แต่ว่าไม่เหมือนกับตระกูลฉินและตระกูลเฉินนะขอรับ คนจากตระกูลจางบอกว่ามามอบของให้แทนสาวใช้ผู้หนึ่ง!” เขาเอ่ยสีหน้ายิ้มแย้ม
นายใหญ่เฉิงสาดน้ำชาใส่หน้าเขา
“ไม่เหมือนกันอย่างไร เคยมีสาวใช้จากตระกูลจางมาส่งของให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” เขาตวาดลั่น
พ่อบ้านเงียบไม่กล้าพูดต่อ แม้แต่เศษชาบนใบหน้าก็ยังไม่กล้าเช็ด
นายใหญ่เฉิงยืนขึ้นก่อนจะเดินวนไปมา
เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เมืองหลวงกันแน่ เหตุใดเด็กบ้านั่นถึงได้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้คนมากมายขนาดนั้น เพราะตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ เส้นสายของตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ ถุย!
นายใหญ่เฉิงเย้ยหยันอยู่ในใจ หากจะบอกว่าตระกูลโจวหลอกล่อให้คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาออกหน้าแทนเพื่อหวังจะฮุบเอาทรัพย์สินก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ถึงกับถือป้ายชื่อของเจ้านายมาด้วย แถมยังให้บ่าวในตระกูลมาส่งของขวัญปีใหม่อย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้ อย่าว่าแต่เป็นฝีมือของตระกูลโจว
ตระกูลเดียวเลย ต่อให้มีสักสิบตระกูลโจวก็ทำไม่ได้
เกิดอะไรขึ้นที่เมืองหลวงกันแน่
ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลหวัง ฮูหยินใหญ่เฉิงกำลังปาดน้ำตาเอ่ยปากถาม
ภายในห้องมีฮูหยินหวัง นายใหญ่หวัง และเหล่าฮูหยินหวัง
“คนตระกูลเดียวกันแท้ๆ เจ้ามีอะไรปิดปังพี่สาวของเจ้าอยู่ ก็รีบบอกนางไปเสีย” เหล่าฮูหยินหวังเอ่ย
สีหน้าของฮูหยินหวังดูกระอักกระอ่วน
“ไม่มีอะไรปิดบังนี่เจ้าค่ะ…” นางเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยแทรก
“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวลา นับจากนี้ข้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก เป็นข้าเองที่ลืมไปว่าตนเองคือลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ก็เหมือนน้ำที่ไหลออกไปไม่วันหวนกลับ” นางเอ่ยทั้งน้ำตา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปดังที่ว่าจริงๆ
ทุกคนพากันรั้งนางไว้
“ท่านพี่ ข้าไม่ได้มีอะไรปิดบังท่านจริงๆ พวกข้าเองก็แค่ได้ยินมาอีกทอดหนึ่ง เหมือนกับว่าแม่นางเฉิงผู้นั้นมีวิชาเทพเซียน รักษาโรคได้” นายใหญ่หวังปริปากพูด “เรื่องนี้ข้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เพียงแต่พวกบ่าวไปได้ยินมาอีกทอดหนึ่งด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้จะบอกกับท่านอย่างไรเหมือนกัน อีกอย่าง หากพูดไปแล้ว ท่านจะเชื่อหรือ”
มีวิชาเทพเซียน รักษาโรคได้อย่างนั้นหรือ
ฮูหยินใหญ่เฉิงหยุดร้องไห้ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง
มีวิชาเทพเซียน…
หากเป็นแต่ก่อนได้ยินเรื่องนี้ แน่นอนว่านางคงไม่เชื่อ แต่พอยามนี้ได้ยินเข้า…
คำพูดของนายใหญ่ลอยขึ้นมาตรงหน้านาง
‘ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียนหญิงอะไรนั่นของเจ้า นางจะกำราบเด็กบ้านั่นได้อย่างไร ในเมื่อนางยังกราบไหว้เด็กบ้านั่นอย่างเคารพนับถือเสียขนาดนั้น’
เป็นเพราะมีวิชาสูงส่งกว่าตน นางถึงได้หมอบกราบอีกฝ่ายเช่นนั้นสินะ…
“ข้าเชื่อ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
คำพูดนั้นพาลทำให้คนตระกูลหวังตกตะลึก
คำพูดเช่นนี้ก็เชื่อด้วยหรือ
หากเชื่อเช่นนั้นก็ดี นายใหญ่หวังถอนหายใจอย่างโล่งอก
“มีอะไรอีก” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามขึ้นอีกครั้ง มองนายใหญ่หวังและฮูหยินหวังด้วยแววตาเป็นประกาย “หากเจ้าบอกว่าเรื่องนี้ทำให้เจ้าอยากหมั้นหมาย แล้วเพราะเหตุใดกันพวกเจ้าถึงได้มาขอยกเลิก”
“ก็เพราะชายสิบเจ็ดไม่เต็มใจอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ฮูหยินหวังตอบ
ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นยิ้ม
“อย่าลืมละ ว่าข้าเองก็เป็นตระกูลหวังเช่นกัน ในกายของข้ายังมีเลือดของตระกูลหวังอยู่” นางเอ่ย “ข้าจะไม่รู้เชียวหรือว่าคนตระกูลหวังเป็นอย่างไร”
ฮูหยินหวังละอายใจไม่กล้าเอ่ยคำใด
“หากพวกข้าบอกไป ท่านพี่โปรดอย่าได้หวาดกลัว” นายใหญ่หวังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้มเย็นยะเยือก
“บนโลกนี้มีเรื่องอันใดทำให้ข้าหวาดกลัวได้อีกหรือ ชีวิตนี้ข้าตกอกตกใจมาไม่รู้แล้วกี่หน!” นางเอ่ย
“นางฆ่าคน” นายใหญ่หวังตอบในทันใด
ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร ทำได้แต่ชะงักไปแล้วจ้องมองพวกเขา
“ว่าอย่างไรนะ” นางถาม
“นางฆ่าคน ตั้งสองคนอีกต่างหาก” นายใหญ่หวังชูสองนิ้วพลางเอ่ยขึ้น
ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ…
ฮูหยินใหญ่เฉิงสติหลุดลอยในทันใด ในหูก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกที่เคยดังขึ้นในบ้าน
‘ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว ถือธนูมา เกือบฆ่าข้าแล้ว…’
ฆ่าคนจริงๆ หรือ
“ชายสิบเจ็ดเห็นเองกับตา ทั้งยังฆ่าได้อย่างแยบยลไร้ร่องรอย ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะทำร้ายนางจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ ทว่านางกลับชิงลงมือก่อนอย่างไม่ลังเล เข่นฆ่าอย่างเลือดเย็น ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่คนเดียว” นายใหญ่หวังเอ่ย พลางนึกถึงเรื่องที่บ่าวชราเล่าให้ฟัง พอมาเล่าเองตอนนี้ก็เหมือนกับตนเองได้เห็นกับตา
ค่ำคืนมืดมิด กองเพลิงลุกโชน พายุโหมกระหน่ำ หญิงสาวถือธนูคันยาวในมือ ศรธนูพวยพุ่งดั่งฝนดาวตก ราวกับบนกลอนที่ว่า ศรธนูพวยพุ่งดั่งฝนดาวตก เดินสิบก้าวคร่าหนึ่งชีวิต เดินพันลี้ไม่มีหลงเหลือ เสร็จสิ้นแล้วจึงจากไป
ใบหน้าของฮูหยินใหญ่เฉิงเริ่มซีดเผือด
“จริงหรือ” นางถาม
นายใหญ่หวังพยักหน้า สีหน้าดูจนปัญญา
หากลูกชายตนเป็นเช่นนั้นก็คงจะดี… เฮ้อ ไม่ใช่สิ หากเป็นลูกสาวของตนก็คงจะดี
นายใหญ่หวังครุ่นคิดพลางทอดถอนใจ
“ถึงว่าละตอนชายสิบเจ็ดกลับมาถึงได้ดูหวาดกลัวเสียขนาดนั้น ร้องอย่างกับจะเป็นจะตาย เอาแต่พูดว่าตายแน่ๆ ตายแน่ๆ” นางเอ่ย “หากแต่งคนเช่นนี้เข้ามาในเรือน ไม่รู้ว่าวันไหนจะตายเอา!”
“เพราะอย่างนั้น ข้าถึงไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ เดิมทีก็ไม่อยากให้ท่านพี่ต้องเป็นกังวล แต่ชายสิบเจ็ด… ข้าก็ไม่อยากปิดบังท่านพี่ เขาแขวนคอตัวเองแล้วถึงสองหน” ฮูหยินหวังเอ่ยพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
ฮูหยินใหญ่เฉิงเพิ่งจะสงบจิตสงบใจลงได้
“เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเจ้าจะปิดบังข้าไปทำไมกัน!” นางเอ่ย
ฮูหยินหวังและนายใหญ่หวังสบตากัน แววตานั้นดูโล่งใจอยู่ไม่น้อย
“พวกข้าเองก็ตกใจกลัว แถมที่บ้านท่านพี่ก็เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย” ฮูหยินหวังเอ่ย
“พวกเจ้ารีบคุยกับนางให้ชัดเจนเถิด ไล่นางออกไปยิ่งดี อย่าได้ปล่อยไว้ในเรือนอีกต่อไปเลย ไม่เช่นนั้นคงซวยแน่” เหล่าฮูหยินหวังเอ่ยน้ำเสียงร้อนรน “บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเด็กคนนี้เป็นตัวกาลกิณี ไม่ควรเลี้ยงไว้ตั้งแต่แรก มีแต่สร้างเรื่องให้พวกเจ้า…”
“โธ่ ท่านแม่ อย่าเพิ่งพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ จิตใจของท่านพี่คงรับไม่ไหว…” ฮูหยินหวังรีบเอ่ยขึ้น
ฮูหยินใหญ่เฉิงทอดถอนใจ ในเมื่อรู้เรื่องอย่างชัดแจ้งแล้ว ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะอยู่ต่อ
“สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีนัก” เหล่าฮูหยินหวังเอ่ยอย่างเป็นห่วงเป็นใยลูกสาว “พักที่นี่สักสองสามคืนเถิด”
“พักอะไรเล่าเจ้าคะ ออกบ้านมาสองวันแล้ว ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยตัดพ้อ ก่อนจะลุกขึ้นคำนับลาแล้วเดินออกไป
นายใหญ่หวังและฮูหยินหวังไปส่งนางด้วยตัวเอง มองดูรถม้าแล่นโคลงเคลงออกประตูไป สองสามีภรรยาหันมาสบตากัน
“โกหกท่านพี่เช่นนี้…” ฮูหยินหวังนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
นายใหญ่หวังตัดบทในทันใด
“โกหกนางเรื่องใด พวกเราก็บอกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ” เขาเอ่ย “เรื่องที่รักษาโรคได้ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องฆ่าไปแล้วคนระหว่างทางก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ”
ฮูหยินหวังร้องอ๋อ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพวกตนได้บอกไปหมดทุกสิ่งแล้วก็ยิ้มออกมา
“เรื่องในเรือนของท่านพี่พวกเราอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ท่านคิดเรื่องว่าจะหาทางร่วมมือกับแม่นางเฉิงอย่างไรจะดีกว่า ไม่รู้ว่านางสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ…” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นายใหญ่หวังพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือน
ยามฟ้ามืด ฮูหยินหวังที่เดินทางอย่างเร่งรีบก็เดินเข้าประตูมา ยังไม่ทันได้อาบน้ำอาบท่าคลายความเมื่อยล้า ก็รีบมาบอกนายใหญ่เฉิงเรื่องที่ตนได้รู้มา
“มีวิชาเทพเซียนรักษาโรคได้อย่างนั้นหรือ แล้วก็ฆ่าคนระหว่างทางกลับมาด้วยหรือ” นายใหญ่เฉิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ
“ใช่เจ้าค่ะ ถึงได้ต้องมีเส้นสายรู้จักคนใหญ่คนโตมากมายขนาดนั้น” ฮูหยินใหญ่เฉิงทอดถอนใจ “เรื่องเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยพบเจอ แต่ก่อนก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่มีลูกหลานตระกูลใดบางที่สติไม่สมประกอบ แล้วจู่ๆ ก็อัญเชิญเทพเซียนมาประทับร่างได้ รักษาโรค ทำนายพยากรณ์สิ่งใดก็ทำได้ทั้งนั้น นางเป็นคนบ้า แต่ก็ฟ้งดูเหมาะกับนางไม่น้อย”
นายใหญ่เฉิงเหลียวไปมองนาง สีหน้าดูเหนื่อยหน่ายใจ
“เจ้าไปแค่สองวันก็ถูกหลอกจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขาถาม พลางส่ายหน้าหัวเราะ “น้องชายของเจ้านี่ช่างใจดำอำมหิต ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่น้อง วันหน้าเจ้าอย่าได้ไปบ้านนั้นอีกเลย”
ฮูหยินใหญ่เฉิงได้ยินเช่นนั้นก็งุนงงขึ้นมาในทันใด
“หากนางมีวิชาเทพเซียนรักษาโรคได้จริง คนพวกนั้นจะมาสู่ขอนางหรือ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยพลางส่ายหน้า
พวกวิชาเทพเซียนหรือลัทธิมารอะไรพวกนั้น ผู้ใดจะอยากแต่งเข้าตระกูลกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลใหญ่โตพวกนั้นเลย
ฮูหยินใหญ่เฉิงเข้าใจในทันที แต่ก็งุนงงอยู่ไม่น้อย
“แต่ แต่…” นางเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก รู้สึกสับสนไปหมด
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเรื่องง่ายดายเช่นนี้นางถึงคิดไม่ได้!
“เช่นนั้นก็ดี พวกเขาเองก็ไม่ได้หลอกเจ้า เพียงแต่พูดไม่หมดก็เท่านั้น” นายใหญ่เฉิงส่งเสียงฮึดฮัด “นางคงรักษาโรคได้จริงๆ แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด นางคงบังเอิญได้ช่วยใครคนหนึ่งจากตระกูลเหล่านั้น”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ตระกูลฉิน ตระกูลเฉิน หรือว่าหนึ่งในตระกูลที่มาสู่ขอเหล่านั้น”
ฮูหยินใหญ่เฉิงฟังอย่างเหม่อลอย
“นางฆ่าคนด้วย” นางเอ่ย “ชายสิบเจ็ดตกใจจนสติแตก เพราะอย่างนั้นถึงได้ถอนหมั้น”
“เรื่องฆ่าคนก็คงไม่ได้หลอกเจ้าเช่นกัน” นายใหญ่เฉิงเอ่ย “ฝีมือธนูของนางยอดเยี่ยมนัก หากนางตั้งใจอยากจะฆ่าใครสักคนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
เขาเอ่ยพลางลูบเคราครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง
“ชายสิบเจ็ดเห็นเองกับตา… เช่นนั้นก็แปลว่าหลังจากกลับมาพวกเขาก็รู้เรื่องแล้วน่ะสิ…” เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “คนจากตระกูลฉินมาหลังจากที่พวกนางกลับมา… แต่ทว่ากลับมาถอนหมั้นเอาตอนนี้…”
พูดถึงเพียงเท่านี้เขาก็แค่นหัวเราะออกมา พลางตบโต๊ะดังลั่น
“จะมาถอดหมั้นเพราะเหตุนี้ได้อย่างไร ถึงชายสิบเจ็ดจะตกใจจนเสียขวัญ แต่น้องชายเจ้ามีท่าทีตกใจหรือไม่ คงจะดีใจจนเนื้อเต้นละสิไม่ว่า! ข้าเพราะเหตุนี้ต่างหากพวกเขาถึงได้เร่งเร้าให้แต่งงานเร็วนัก!”
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองหน้าเขา ภายในใจก็ยิ่งสับสน
“เจ้าลองนึกดูตอนที่คนจากตระกูลฉินมาวันนั้น สีหน้าของน้องสะใภ้เจ้าเป็นอย่างไร แล้วนางพูดกับเจ้าว่าอย่างไร” นายใหญ่เฉิงเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด
ตอนนั้นนางพูดว่าอย่างไรอย่างนั้นหรือ
ตอนเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าของน้องสะใภ้ก็ดูไม่สู้ดีนัก ท่าทางเหมือนมีอะไรอยากจะพูดทว่ากลับไม่พูดออกมา ราวกับมีเรื่องกังวลใจ… จากนั้นก็ได้ยินว่ามีคนจากตระกูลฉินมา…
บนแผ่นดินนี้มีคนแซ่ฉินอยู่ถมเถไป แต่หากบอกว่ามาจากเมืองหลวง ผู้ใดคงนึกออกเพียงตระกูลเดียว แต่ฮูหยินหวังกลับถามว่าตระกูลใดกัน…
เช่นนั้นก็แปลว่านางต้องรู้อะไรบางอย่าง อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าตระกูลฉินมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเฉิงเจียวเหนียง
จากนั้นนางก็ผลีผลามพูดออกมาว่าต้องการหมั้นหมายให้เร็วที่สุด ทั้งยังบอกนางอีกว่าทั้งหมดเป็นแผนการตบตาของตระกูลโจว กำชับนางไม่รู้กี่หนว่าอย่างได้ตกลงเป็นอันขาด…
ฮูหยินใหญ่เฉิงกำมือแน่น ใบหน้าคล้ำเขียว
แม้คนเหล่านี้จะชาติตระกูลดีสักเพียงใด ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเฉิงของนาง
ก็แค่คนที่มาสวมชุดแต่งงานแทนตระกูลโจวอยู่ดี
คนเราก็มักจะเห็นแก่ประโยชน์ของตนอยู่แล้ว
นั่นสินะ แม้คนเหล่านี้จะชาติตระกูลดีสักเพียงใด ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเฉิงของนาง
ก็แค่คนที่มาสวมชุดแต่งงานแทนตระกูลโจวอยู่ดี คนเราก็มักจะเห็นแก่ประโยชน์ของตนอยู่แล้ว…
ฮูหยินใหญ่เฉิงกรีดร้องดังลั่น ล้มโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าแล้วโยนออกไป
โกหก! โกหก! โกหกกันทั้งนั้น! แถมยังเป็นคนกันเองที่โกหกกันอีกต่างหาก!
ญาติพี่น้องอะไรกัน! โกหกกันทั้งเพ! สารเลวกันทั้งนั้น!