พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 375 ไม่รู้ตัว
ขณะที่เสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้นนอกระเบียงนั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็กำลังตรวจดูของขวัญปีใหม่ที่ส่งมาจากที่บ้านด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ฉวีโจวซิ่วอ๋องส่งของขวัญมามากมาย มากันยกลังเลยทีเดียว มีแต่พวกเสื้อผ้าอาภรณ์ ผ้าไหมผ้าต่วน รวมถึงแท่งหมึก ภาพวาด ตำรา พู่กัน หมึกและของใช้อื่นๆ ที่บุรุษต้องใช้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจัดเก็บเข้าที่อย่างตั้งใจ เขามองดูทีละชิ้นทีละชิ้นด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ขันทีข้างกายยื่นมือเข้ามาช่วย ขันทีทำแค่เพียงจดบันทึกเท่านั้น
ภายในห้องมีชั้นวางของตั้งเรียงราย มีกล่องของขวัญมากมายวางอย่างเป็นระเบียบอยู่เต็มไปหมด พร้อมกับเขียนวันที่กำกับ ขันทีสองนายกำลังหอบหีบผ้าพับที่เป็นของขวัญที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องยื่นให้ เดินเอาไปวางกลับไปกลับมากันให้วุ่น
“พับนี้เอามาทำชุดใหม่ได้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางส่งผ้าไหมสีสันสวยงามม้วนหนึ่งให้ขันที
ขันทียิ้มพลางเอ่ยรับคำ แล้วเอ่ยชมความสวยงามของมันก่อนจะหอบมันเดินไปทางชั้นใส่ผ้าพับที่วางอยู่ ชั้นวางทางด้านนี้ล้วนใช้เก็บผ้าต่วน ผ้าไหมประเภทนี้เอาไว้ทั้งหมด
พอขันทีหันกลับมาสีหน้าของเขาก็ไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีเพียงท่าทางไม่ใส่ใจประดับอยู่เท่านั้น
ขณะนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
“องค์ชาย!”
เสียงที่ดังขึ้นสั่นเครือเล็กน้อย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปมองก็เห็นขันทีคนหนึ่งสีหน้าซีดเผือด ท่าทางตื่นตระหนกตกใจ พอตะโกนคำว่าองค์ชายออกไปก็ไม่พูดอะไรขึ้นอีก มีเพียงปากที่สั่นเครือไม่หยุดเท่านั้น
“มีเรื่องอันใดหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามพลางดึงสายตากลับมา หยิบกล่องของขวัญขึ้นมาเปิด
ในนั้นเป็นตุ๊กตาดินปั้น แน่นอนว่ามิใช่ตุ๊กตาธรรมดาทั่วไป พลิกดูชื่อบนนั้นก็เห็นว่าทำโดยตระกูลหยาง
อันนี้มอบให้ลิ่วเกอร์เล่นได้
มุมปากเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“องค์ชายเกิดเรื่องกับองค์ชายรองพะย่ะค่ะ!”
ขันทีคุกเข่าลงฉับพลันพลางสะอื้นบอก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องตัวแข็งทื่อ ตุ๊กตาดินปั้นในมือร่วงลงพื้นแตกกระจายจนเกิดเสียง
……
“เชิญ เชิญ ใต้เท้าหลี่ท่านมิได้มาเสียนานแล้ว!” นายใหญ่เฉินยิ้มเอ่ย
หมอหลวงหลี่ก้มหน้านั่งลง
“ทำไมรึ ท่านก็รู้สึกไม่สบาย รอให้ข้าวินิจฉัยว่ารักษาท่านไม่หาย แล้วจะไปเชิญหมอเทวดามารักษาให้อย่างนั้นรึ” เขาเอ่ยเย้า
นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมายกใหญ่
“ดูท่าทางอ้วนท้วมของท่านสิ” เขายิ้มเอ่ย “ถูกหยอกเข้าหน่อยก็หนักเสียจนพลิกตัวมิได้แล้ว! น่าขายหน้านัก”
หมอหลวงหลี่ส่งเสียงเฮอะออกมา เขายื่นมือวางลงบนโต๊ะเพื่อจับชีพจรให้
นายใหญ่เฉินยิ้มพลางยื่นแขนไปให้เขาจับชีพจรดู หมอหลวงหลี่จับอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงมือกลับไป
“น่าเสียดายจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น
เฉินเซ่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยก็พลันตระหนกขึ้นมา
“ตายยาก” หมอหลวงหลี่เอ่ยต่อ
เฉินเซ่าชะงักค้าง นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมายกใหญ่
“ผู้เฒ่าเยี่ยงเจ้านี่จริงๆ เลย” เขายิ้มเอ่ย
เฉินเซ่าส่ายหน้าตาม หลุดยิ้มออกมา
ขณะกำลังหัวเราะพูดคุยกันอยู่นั้นเอง เสียงเอะอะก็ดังขึ้นด้านนอก ทันใดนั้นมีคนพุ่งตัวเข้ามาอย่างรีบร้อน นึกไม่ว่าจะเป็นขันทีผู้หนึ่ง
เฉินเซ่ารีบลุกขึ้น ขันทีผู้นั้นไม่มองเขา แต่กลับสาวเท้าเข้าไปคว้าตัวหมอหลวงหลี่เอาไว้
“เร็วเข้าใต้เท้า ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านเข้าวัง” เขาเอ่ยเสียงสั่น
เฉินเซ่าที่ได้ยินสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เขารีบมองซ้ายมองขวา บ่าวรับใช้ที่อยู่รอบๆ ต่างรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
หมอหลวงหลี่ไม่ถามอันใดทั้งนั้น เขายื่นมือหิ้วกระเป๋ายาแล้วเดินออกไป แทบจะในชั่วพริบตาแขกที่อยู่ในเรือนนี้ก็หายวับไป ราวกับไม่เคยเกิดอันใดขึ้นมาก่อน
นายใหญ่เฉินและเฉินเซ่าต่างยืนนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“สีหน้าของขันทีผู้นั้นซีดเผือดเสียจนดูมิได้…” นายใหญ่เฉินเอ่ยขึ้น
“เป็นฝ่าบาท หรือไทเฮา หรือว่าฮองเฮากัน” เฉินเซ่าเอ่ย
นายใหญ่เฉินส่ายหน้ามองไปทางวังหลวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“รอดูก่อนเถิด ข้าว่าไม่นานคงได้รู้แน่ ในวังจะปิดข่าวอะไรได้”
หมอหลวงหลี่กลับมิได้ไถ่ถามขันทีในวังว่าเกิดอะไรขึ้น ในฐานะหมอหลวงนั้น เขารู้ดีว่าอะไรควรไม่ควรถามอะไร อีกทั้งแค่ดูสีหน้าของขันทีก็รู้แล้ว
ต้องเป็นเรื่องร้ายแรงแน่
จึงได้มุ่งตรงเข้าวังไป พอเข้าวังหลวงชั้นในมา ตอนที่เห็นว่าขันทีมิได้เดินนำไปยังตำหนักของฮ่องเต้ หมอหลวงหลี่ก็ถอนหายใจออกมา
ขอเพียงมิใช่ฮ่องเต้ที่ทรงสวรรคตกะทันหันก็จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อราชสำนักและแผ่นดินนี้
ในขณะที่เดินเลี้ยวลดไปมาจนมาถึงหน้าตำหนักแห่งหนึ่งนั้น หมอหลวงหลี่ก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ตรงหน้านี้เป็นตำหนักขององค์ชาย
บรรดาองค์หญิงองค์ชายในรั้วในวังเลี้ยงยาก ทุกคนต่างชินเสียแล้ว เทียบกับราชวงศ์อื่นแล้วทุกคนต่างเตรียมอกเตรียมใจกันไว้อย่างดี
ทว่าหลังจากได้ทอดถอนใจแล้ว หมอหลวงหลี่ยังคงเป็นกังวลอยู่ เกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอยู่ ยิ่งคนผู้นั้นคือองค์ชายรองแล้วด้วย
หมอหลวงหลี่มองไปหน้าประตู เห็นเงาเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงนั้นภายใต้เงาของตำหนักในฤดูหนาว ยิ่งพาลทำให้ดูเงียบเหงาอ้างว้างเข้าไปใหญ่
หมอหลวงหลี่มิได้รั้งรอหรือเอ่ยทักสักคำ เขาเดินผ่านจิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้าตำหนักไป
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ทำเหมือนมองไม่เห็นเขาเช่นกัน ยังคงยืนตัวตรงอยู่อย่างนั้น หน้าตำหนักอันโล่งกว้างมีลมหนาวพัดโชยมาเป็นระยะ โบกโชยอาภรณ์ของเขาให้ปลิวไหว เผยให้เห็นเท้าที่สวมแต่ถุงเท้าเอาไว้
เขาวิ่งมาทั้งเท้าเปล่าเช่นนี้ จะชักช้ามิได้ จะช้าไปเพียงนิดมิได้…
ขันทีที่อยู่ข้างกายกอดผ้าคลุมหิ้วรองเท้าไว้ท่าทางเหมือนจะร้องไห้ออกมา เดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“องค์ชายใส่เพิ่มอีกตัวเถิดพะย่ะค่ะ” เขาสะอื้นบอก
“ไสหัวไป” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยออกมาอย่างไร้ความรู้สึก
ขันทีถอยไปทั้งน้ำตานองหน้า
เสียงลมหวีดหวิวกระทบลายฉลุของหน้าต่าง ยิ่งฟังเสียงที่ดังอยู่ภายในตำหนักที่ประตูปิดสนิทได้ไม่ชัด ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้น
ไม่จริงหรอก! ไม่จริง!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องผงะถอยหลังสองก้าว สีหน้าซีดเผือดไร้สีของเลือด ดวงตาสีนิลยิ่งเป็นประกายเข้มขึ้น
เขาถอยไปสองก้าวแล้วหยุดลง จากนั้นพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง ยื่นมือไปผลักประตูตำหนักให้เปิดออก
เสียงประตูที่ดังขึ้นทำให้คนในตำหนักต่างหันมามอง
ทว่าไม่นานทุกคนก็หันกลับไป ทำเหมือนไม่เห็นเขาอย่างไรอย่างนั้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็มิได้รักษาธรรมเนียมดังเก่าก่อนเช่นกัน ซ้ำยังทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินไปยังหน้าเตียงอย่างช้าๆ
สำหรับเขาตำหนักแห่งนี้ไม่นับว่าแปลกตา ตรงกันข้ามเขากลับคุ้นเคยเป็นอย่างดี ถึงขนาดได้มาพักอยู่บ่อยๆ ด้วยซ้ำ
“เสด็จพี่…เรามาเล่นหมากรุกกัน…”
เด็กน้อยบนเตียงกวักมือเรียกเขาด้วยรอยยิ้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปสองสามก้าว ภาพเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าได้หายไป แทนที่ด้วยองค์ชายรองที่นอนอยู่บนเตียง
ผิวของเขายังคงแดงระเรื่อดั่งวันวาน คราบเลือดคราบโคลนบนใบหน้าถูกเช็ดจนสะอาดเกลี้ยง ลมหายใจเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นเหมือนเสียงกรนดังขึ้น หากมิใช่เพราะบนศีรษะมีผ้าพันแผลอยู่ก็เหมือนกับคนนอนหลับในยามปกติทุกอย่าง
ยังมีลมหายใจ!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องดีใจมากจนฝีเท้าซวนเซเดินไปนั่งลงข้างเตียง เขายื่นมือไปอังใต้จมูก
“เขาปลอดภัยดี เขาปลอดภัยดี” เสียงตะโกนของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันไปมองด้านหลัง “หมอหลวง หมอหลวง เขายังไม่ตาย”
หมอหลวงหลี่มองเขาด้วยความสงสาร
“…แต่ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ ต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” หมอหลวงหลี่เอ่ยรับประโยคเมื่อครู่
“ไม่เหมือนเดิมหรือ หมายความว่าอย่างไร” ฝ่าบาทตรัสถาม
หมอหลวงหลี่ก้มหน้าลง
“เพราะบาดแผลอยู่ที่บริเวณศีรษะ จิตวิญญาณเสียหายหนัก สามจิต เจ็ดวิญญาณ[1]อาจไม่ครบพะย่ะค่ะ” เขาทูลบอก
“สุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น” ฮ่องเต้ตะหวาดถามเสียงดัง
“สติไม่สมประกอบ หรือไม่จะอยู่เหมือนตายพะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่ทูลตอบ
สติไม่สมประกอบรึ!
ทุกคนภายในตำหนักใหญ่ต่างพากันตกอกตกใจ
“เจ้าเหลวไหล!” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตวาดลั่น เขาลุกจากข้างเตียงมองหมอหลวงหลี่ด้วยท่าทางแปลกประหลาด “เจ้าเหลวไหล เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาปลอดภัยดี!”
หมอหลวงหลี่มองเขาด้วยสีหน้าหนักใจ ทว่ากลับสบตากับจิ้นอันจวิ้นอ๋องอย่างแน่วแน่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ไม่หลบตาเขาแม้แต่น้อย ราวกับว่าต้องทำเช่นนี้เท่านั้นหมอหลวงหลี่จึงจะวินิจฉัยให้ใหม่อีกครั้ง
ณ ตำหนักใหญ่เงียบกริบขึ้นอีกครา
ฮ่องเต้ร่างสั่นเทาหลับตาลงสูดหายใจลึก มองปยังหมอหลวงคนอื่นๆ ภายในตำหนัก
“พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร” เขาถาม
หมอหลวงคนอื่นๆ ที่นั่งคุกเข่าอยู่มุมห้องต่างพากันก้มหน้า ค้อมตัวลงหลังจากได้ยินคำถามนั้น
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันพะย่ะค่ะ…” พวกเขาเอ่ยเสียงแผ่วเบากันเซ็งแซ่
ฮ่องเต้หลับตาลงเอนพิงบนแท่นประทับอย่างไร้เรี่ยวแรง
ไทเฮาและกุ้ยเฟยต่างปิดหน้าร้องไห้กันขึ้นมาอีกครั้ง
“เหตุใดองค์ชายรองจึงบาดเจ็บได้”
ท่ามกลางความโศกเศร้าอันเงียบสงัดนี้ จิ้นอันจวิ้นอ๋องพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
ประโยคนี้ทำเอาคนที่อยู่ ณ ที่นั้นหายใจสะดุด
หมอหลวงหลี่มองเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
เด็กคนนี้นี่ รู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอันใดออกมา บ้าไปแล้วหรือ
ทว่ายังไม่จบไม่สิ้น เหมือนกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยินหรือไม่ก็ฟังที่เขาพูดไม่ชัด จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เหตุใดองค์ชายรองจึงตกจากผาเหมยได้” เขาเอ่ยพลางมองไปยังกุ้ยเฟย “องค์ชายใหญ่บอกว่าอย่างไร”
ประโยคนี้จบลง กุ้ยเฟย ไทเฮาต่างหยุดร้องไห้มองไปยังเขา ขนาดฮ่องเต้ที่กำลังหลับตาอยู่ยังถลึงตาใส่
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงแค่สายตาไม่กี่คู่เท่านั้น ทว่าทุกคนภายในตำหนักกลับรู้สึกเหมือนมีลูกธนูนับพันนับหมื่นดอกโถมพุ่งเข้าใส่
บรรดาหมอหลวงที่หลบอยู่มุมห้องต่างคร่ำครวญกันขึ้นมาในใจ เหตุใดวันนี้พวกเขาต้องเข้าวังมาด้วย เหตุใดพวกเขาไม่ป่วยจนนอนซมอยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็ระหว่างทางเข้าวังถูกรถชน ถูกม้าเหยียบจนขาขาด
สาเหตุที่องค์ชายรองตกผาเหมยนั้น พวกเขาไม่อยากรู้แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่ง มองพวกขันทีกับนางกำนัลด้านข้างที่แทบจะยืนไม่อยู่กันแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ไม่อยากรู้เช่นกัน
ภายในวังหลวง ได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยิน รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ มิใช่เรื่องดีที่น่าโอ้อวดสักนิด กลับเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เร่งให้ชีวิตสั้นขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิ้นอันจวิ้นอ๋อง นึกไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถามถึงองค์ชายใหญ่ออกมา ถามหาองค์ชายใหญ่ในเวลานี้ ขนาดคนปัญญาอ่อนยังรู้เลยว่าหมายความว่าอย่างไร!
พอคิดว่าตัวเองเข้าใจความหมายนี้ดี ทุกคนต่างแทบจะออกจากตำหนักกันไปอย่างเร็วรี่
คราบเลือดของเหล่าขันทีภายนอกตำหนักที่เพิ่งจะถูกสั่งโบยให้ตายยังไม่ทันจะหายดีเลย หรือพวกเขาจะได้ตามไปยังปรโลกเป็นเพื่อนเหล่าขันทีพวกนั้นแล้ว
ภายในตำหนักเงียบสนิทราวกับไร้ผู้คน กระถางไฟทั้งสี่รวมทั้งต้นตี่เล้งที่ถูกเผาก็ล้วนไม่อาจหยุดความเหน็บหนาวของที่นี่เอาไว้ได้
…………….
[1] สามจิต เจ็ดวิญญาณ เทียบได้กับขวัญของไทย สามจิตคือฟ้า ดิน ชีวิต เจ็ดวิญญาณคือ ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย โลภ สิ่งเหล่านี้ช่วยคุ้มครองและประสานกันให้ดำรงความเป็นมนุษย์เอาไว้