พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 39 เรื่องตลก
เพราะเมืองหลวงนั้นอากาศเย็น ดอกเบญจมาศจึงบานสะพรั่งกว่าทางตอนใต้
ลานหน้าบ้านของท่านชายโจวหกเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศหลากสี หลายขนาด เหล่าสาวใช้ต่างชอบมาเดินเล่นรอบลานนี้อย่างสนุกสนาน เสียงพูดของสาวใช้นั้นราวกับเสียงร้องของเหล่าปักษา ฟังแล้วสบายอกสบายใจยิ่งนัก
“เด็ดเพิ่มอีกสอง” ท่านชายฉินกล่าว มือข้างหนึ่งถือครก ส่วนอีกข้างหนึ่งที่ถนัดกำลังใช้สากตำอยู่
“เจ้าค่ะ” สองสาวใช้ตอบพร้อมกับวิ่งไปเด็ดดอกเบญจมาศมาอีกสองดอก
ก้านดอกเบญจมาศถูกทุบจนละเอียด
“ซังจื่อเจ้าทำงานประดิษฐ์ประดอยเช่นนี้เป็นด้วยหรือ บอกใครก็คงไม่เชื่อ” ท่านชายโจวที่นั่งไขว่ห้างพบขาอยู่ริมทางเดิน ยิ้มกล่าว
“ข้ากำลังทำชาอยู่ คนเราหากเก่งหลายเรื่อง ก็ย่อมมีเสน่ห์มากกว่ามิใช่หรือ” ท่านชายฉินกล่าว
“อยู่ดีๆ ก็ชอบลุกขึ้นมาทำอะไรพวกนี้เสมอๆ นะเจ้า” ท่านชายโจวหกกล่าว
สาวใช้เดินมาอย่างรีบร้อนจากด้านหลัง นางคุกเข่าลงตรงทางเดิน พร้อมกับนำชาสองถ้วยมา
“ท่านชายโจว ท่านชายฉิน เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ” นางก้มหน้าลงแล้วพูด
ท่านชายโจวหกยื่นมือออกไปรับก่อนจะยกขึ้นดื่ม
ท่านชายฉินไม่ได้ไม่รับถ้วยชา แต่กลับตำดอกไม้ต่อไป
“ข้าไม่ดื่มชานี้ รสชาติแย่” เขากล่าว “ข้าอยากลองทำเอง”
ท่านชายโจวหกยิ้มแต่ไม่พูดอะไร แต่สาวใช้กลับประหลาดใจจนเงยหน้าขึ้นมา
“ท่านชายฉินก็รู้สึกว่าชาคั่วนี้ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ” นางกล่าว
มือของท่านชายฉินหยุดลงชั่วขณะ
“ ‘ก็รู้’ อย่างนั้นหรือ” เขาถามแล้วมองไปยังสาวใช้นางนั้น
“ปั้นฉิน เจ้าก็คิดว่าชานี้ไม่อร่อยหรือ” ท่านชายโจวหกถาม
ปั้นฉินก้มหัวลง
“เจ้าค่ะ ข้ารู้เพียงผิวเผินเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยความกังวล
ท่านชายฉินยิ้มพลางโบกมือ
“ไม่ผิวเผิน ยากมากที่เจอคนที่รู้จริงเช่นนี้ ดีมากๆ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
ท่านชายโจวหกเบ้ปาก ก่อนจะหยิบชาของท่านชายฉินแล้วเงยหน้ายกขึ้นดื่ม
เสียงหัวเราะของท่านชายฉินทำให้ปั้นฉินผ่อนคลายลง ตอนแรกที่พบกับท่านชายโจว สายตาที่จ้องมองมามักทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ตอนนี้สายตานั้นเป็นมิตรขึ้นอย่างมาก
“แล้วเจ้าคิดว่าชาจะอร่อยได้อย่างไร” ท่านชายฉินถามด้วยรอยยิ้ม
ปั้นฉินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีแม่นมนางหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ท่านชายหกเจ้าคะ” นางเคารพกล่าว
เมื่อเห็นแม่นม ปั้นฉินตกใจจนนั่งยืดหลังตรงโดยไม่รูตัว
“ทางนั้นตอบจดหมายแล้วหรือ” ท่านชายโจวหกถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เจ้าค่ะ” แม่นมตอบ
“ยังตกลงกันไม่ได้หรือ” ท่านชายโจวถาม
“ใช่เจ้าค่ะ เดิมทีร้านถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน จวนนอกเมืองหลวงเป็นของเรา โดยที่ฮูหยินใหญ่เฉิงตอบตกลงแล้ว แต่นายรองเฉิงไม่เห็นด้วย อ้างว่าแม่นางเจียวเหนียงจะพึ่งจวนนี้ยังชีพในภายภาคหน้า จึงต้องแบ่งใหม่อีกครั้งเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว
ท่านชายโจวหกยิ้มเยาะ
“กินอิ่มมาตั้งหลายปี จะให้คายออกจากปากตอนนี้คงเสียดาย” เขาพูดแหย่ “ก็ค่อยๆ แบ่งไป จะมาเอาเปรียบตระกูลเรา มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอกนะ”
“ใช่เจ้าค่ะ” แม่นมตอบ
“นายท่านกับฮูหยินสั่งไว้เช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ ข้าต้องไปที่นั่นอีกรอบ” นางตอบ ก่อนจะหยุดไปชั่วขณะหลังพูดจบ “อีกเรื่องเจ้าค่ะ เด็กผู้นั้นถูกส่งไปวัดเต๋าแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ นายหญิงหรือเจ้าคะ” ปั้นฉินตะโกนออกมาอย่างยั้งสติไม่อยู่ น้ำตาไหลพรากออกมาในทันที นางคุกเข่ากระเถิบขาเคลื่อนไปด้านหน้า “นายหญิงถูกส่งไปวัดเต๋าแล้วหรือ”
ท่านชายโจวหกมองนางอย่างไม่พอใจ
“ทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิด
ปั้นฉินก้มหน้า กลั้นน้ำตา
“เป็นลูกหลานของตระกูลเฉิง ก็ให้เขาตัดสินใจกันเองสิ ไม่ใช่ธุระอะไรของพวกเรา” ท่านชายโจวหกกล่าวพลางโบกมือ
“ใช่เจ้าค่ะ นายท่านก็พูดอย่างนั้นเช่นกัน” แม่นมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปั้นฉินที่อยู่ข้างหลังท่านชายโจวหกอยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า ขณะที่ท่านชายฉินเอาแต่ตำดอกไม้อย่างเงียบๆ ราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเลย
“ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ” แม่นมกลับมาหยุดอีกครั้ง แล้วหยิบสมุดบันทึกออกมา “ปั้นฉิน นี่เป็นสมุดที่คนทางโน้นฝากมาให้เจ้า”
“ของข้าหรือ” ปั้นฉินกล่าวพร้อมกับรีบลุกขึ้นมารับ นางรีบจนไม่ทันได้สวมรองเท้า เมื่อมองเห็นสมุดเล่มนั้น ร่างของนางก็สั่นไปทั้งตัว น้ำตาไหลพรากออกมา
ท่าทีแปลกประหลาดของปั้นฉินทำให้ทุกคนต่างมองมาที่นาง แม้แต่คนกำลังตำดอกไม้อยู่อย่างท่านชายฉินยังเงยหน้าขึ้นมอง
“นายหญิง…” ปั้นฉินเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้น พร้อมถือสมุดแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้นโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“คนบ้าให้มาหรือ” ท่านชายโจวถาม “มันคืออะไร”
“เป็นสมุดบันทึกที่ข้าและนายหญิงใช้จดบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยกันเจ้าค่ะ” ปั้นฉินร้องไห้กล่าว
“อืม” ท่านชายโจวเอ่ยอย่างไม่แยแส ส่วนท่านชายฉินกลับกำลังครุ่นคิด
“นายหญิง ฝากบอกอะไรข้าหรือไม่” ปั้นฉินร้องไห้และเงยหน้าขึ้นถามแม่นม
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วและมองไปที่ปั้นฉิน
แม่นมส่ายหน้า
“เจ้าไปได้แล้ว” ท่านชายโจวกล่าว
“เจ้าค่ะ” แม่นมตอบ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปแล้วหยุดลง ราวกับว่ามีคำพูดที่อยากพูดมากมาย แต่กลับพูดไม่ได้
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ…” นางหันหลังกลับมาอย่างลังเลแล้วกล่าว
“พูดมา” ท่านชายโจวหกกล่าว
“แม่นางผู้นั้นมีสาวใช้ข้างกายมาเพิ่มเจ้าค่ะ นางก็มีชื่อว่าปั้นฉินเช่นกันเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว
ปั้นฉินเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ น้ำตานองหน้า พร้อมกับหมอบลงกับพื้น ก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายอยู่ครู่หนึ่ง
นายหญิงจำชื่อนี้ได้ แสดงว่านางต้องคิดถึงข้าเป็นแน่แท้!
ท่านชายโจวหกไล่พวกนางทั้งหมดออกไป เสียงอื้ออึงในหูถึงเงียบสงบลง
“ข้านั้นรำคาญผู้หญิงร้องไห้เป็นที่สุด ” พูดจบ เขาก็มองไปยังท่านชายฉินซึ่งหยุดตำดอกไม้แล้ว แต่ท่าทางกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ร้องไห้จนทำให้เจ้าเสียสมาธิหมด”
ท่านชายฉินได้สติกลับมาก็หัวเราะ พร้อมกับวางสากยาในมือลง
“ท่านชายหก” เขาเอ่ยปากพูด “ตอนที่เจ้าไปที่เรือนของตระกูลเฉิง คงได้เจอกับน้องสาวที่เป็นบ้าก่อน แล้วถึงได้เจอสาวใช้นางนี้สินะ”
“ไม่ใช่ ข้าจะไปเจอนางทำไมกัน” ท่านชายโจวหกกล่าว พร้อมสะบัดแขนเสื้อยาว ก่อนจะนั่งลงแล้วยืดหลังเหยียดตรง “ทันทีที่เดินเข้ามา ก็เจอสาวใช้นางนี้ที่เล่นละครตบตาเก่งนัก คนตระกูลเฉิงอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก น่าขันเสียจริง ยิ่งไปกว่านั้นคือ นางรู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนของข้า ทั้งยังยุยงให้คนบ้านั่นให้สร้างเรื่องจนทำให้คนตระกูลเฉิงดูแย่ไปในคราวนั้น”
พูดถึงเพียงเท่านี้ เขาก็หัวเราะเสียงดัง ในหัวใจครื่นเครงขึ้นมาทันที
“ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องเสียเวลาอยู่ที่เรือนของตระกูลเฉิงเพิ่มอีกวันหนึ่งเป็นแน่แท้ ราบรื่นอะไรเช่นนี้” เขากล่าว
“เจ้าไม่เคยเห็นหน้าของคนบ้านั่นอย่างนั้นหรือ” ท่านชายฉินขมวดคิ้วถาม
“ทำไม ไม่ดีหรือ” ท่านชายโจวหกถาม
“ข้าคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังดูไม่ออกว่าตรงไหน” ท่านชายฉินกล่าว พร้อมกับเอนตัวนั่งมองดอกเบญจมาศที่บานเต็มสวน “ทางนั้นให้สมุดบันทึกเล่มนั้นแก่ปั้นฉิน…”
ท่านชายโจวหกรอคำพูดนั้นมาครึ่งวัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “เฮ้อ”
“นั่นคือของของนาง ตระกูลเฉิงไม่เอา จึงโยนทิ้งกลับมา ก็เป็นเรื่องปกตินะ” เขากล่าว
“ใช่ แล้วก็ตั้งชื่อสาวใช้ใหม่ด้วยชื่อเดิม” ท่านชายฉินกล่าว
“คนของตระกูลเฉิงแค่เอาใจคนบ้าไม่ให้โวยวายเท่านั้นแหละ” ท่านชายโจวหกกล่าว “เจ้าเอาแต่คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ ช่างไร้สาระจริงๆ “
ท่านชายโจวยิ้มอย่างเฉยเมย
“หากคนของตระกูลเฉิงทำโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็แล้วไป” เขากล่าว “แต่หากเป็นความคิดของคนบ้าแล้วล่ะก็…”
“หากเป็นความคิดของคนบ้านั่นจริง แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”
“คนบ้านั่นก็เป็นคนที่ขี้น้อยใจและพยาบาทมากน่ะสิ” ท่านชายฉินค่อยๆ แตะมือเบาๆ แล้วกล่าว
ท่านชายโจวหกมองไปที่เขาครู่หนึ่งพลางเงยหน้าหัวเราะ
“เป็นไปได้ว่าสิ่งที่สาวใช้ทำและพูดตอนอยู่ที่เรือนตระกูลเฉิงนั้น มีคนบ้าเป็นคนสอน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายฉินพยักหน้า
“ไม่แน่หรอก” เขามองไปที่ท่านชายโจวหกแล้วพูด
ท่านชายโจวหกตบเข่าหัวเราะอีกครั้ง
“ซังจื่อ ไม่แน่ข้าอาจเป็นคนบ้าก็ได้นะ!” เขาหัวเราะ
ลานหน้าบ้านของตระกูลโจวนั้นลึกมาก เสียงหัวเราะจึงไม่สามารถเล็ดลอดออกไปนอกประตูได้
บ่าวที่อยู่นอกประตูกำลังกวาดถนนอยู่ ทันใดนั้นก็มีรถม้าควบเข้ามามาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นว่าเป็นขุนนางจึงอาสาเปิดทางให้ เพียงแค่มองบ่าวตระกูลโจวก็รู้ว่าเป็นรถม้าของตระกูลขุนนางใหญ่ แม้แต่พ่อบ้านยศใหญ่ก็ยังต้องรีบหลีกทางให้
“ใครกันน่ะ”
ทุกคนต่างถกเถียงกันไปต่างๆ นานา ข่าวในเมืองหลวงนั่นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานทุกคนก็ทราบข่าว
เสนาบดีกรมขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ มีนามว่า เฉินเซ่า
ขุนนางผู้นี้ยามเด็กเป็นอัจฉริยะ เมื่อครั้นบรรลุนิติภาวะก็สอบผ่านการคัดเลือกของราชสำนักเป็นบัณฑิตชั้นสูง อีกทั้งเป็นผู้มีชื่อเสียงจากทางตอนใต้ เคยดำรงตำแหน่งขุนนางศาลาใน และขุนนางท้องถิ่นเป็นเวลาหลายปี หลังจากไว้ทุกข์ให้แก่มารดาเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็ได้กลับเข้ารับตำแหน่งราชการอีกครั้ง โดยเลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมขุนนาง และเป็นเจ้ากระทรวงทั้งหก
ใต้เท้าเฉินไม่ได้อยู่เมืองหลวงมากว่าสามปี แม้ว่าเรือนหลังเก่าจะมีคนดูแล ทว่าก็ยังดูทรุดโทรมลงไปบ้าง แน่นอนว่ามีคนมากมายอยากเข้ามาซ่อมแซมเรือนนี้ให้เสร็จล่วงหน้าก่อนใต้เท้าเฉินกลับมา หากต่อแถวกัน แถวคงยาวจากประตูบ้านไปยังประตูเมืองได้ แต่ใต้เท้าเฉินผู้นี้เป็นคนซื่อสัตย์และเที่ยงตรงมาโดยตลอด จึงไม่ทำเช่นนั้น
แม้แต่ผู้คนที่มาต้อนรับบนท้องถนนยังไม่มี มีแต่เพียงรถม้าธรรมดาๆ กับบ่าวสองถึงสามคนเท่านั้น ทั้งยังไล่ขุนนางอาสาของทางการกลับไป อีก ทางเข้าเรือนของใต้เท้าเฉินเองก็เหมือนกับบ้านของคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด
“ท่านพ่อ” ใต้เท้าเฉิน อายุราวสี่สิบห้าปีนขึ้นรถม้าเพื่อประคองชายชราลงมาด้วยตนเอง
“ท่านพ่อเจ้าคะ” ด้านหลังของชายชราท่านนั้นมีเด็กหญิงโผล่หน้าออกมา นางเอ่ยพลางหัวเราะ “ตันเหนียงไปเที่ยวเล่นมาเจ้าค่ะ!”
ใต้เท้าเฉินยิ้ม พร้อมกับอุ้มเด็กสาว ก่อนจะส่งให้กับแม่นมแล้วจึงพยุงท่านพ่อลงมาด้วยตัวเอง
ใบหน้าของชายชราดูเหน็ดเหนื่อย เห็นได้ชัดว่าตลอดการเดินทางนี้ ร่างกายของเขาคงรับไม่ไหว
เขาก้าวขึ้นขั้นบันไดอย่างช้าๆ แล้วหยุดลงอย่างฉับพลัน ร่างกายแข็งทื่อไปหมด
“ท่านพ่อเป็นอะไรไปหรือ” ใต้เท้าเฉินถามด้วยความเป็นห่วง
ชายชรายืนนิ่ง แล้วยืดเส้นเพื่อผ่อนคลายครู่หนึ่ง
“ปวดเอวนิดหน่อย ได้ขยับตัวก็ดีขึ้นแล้ว” เขาพูด
“ข้าปล่อยให้ท่านพ่อต้องเดินทางเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ อกตัญญูยิ่งนัก” ใต้เท้าเฉินกล่าวด้วยความละอายใจ
ชายชราไม่พูด แต่กลับใช้มือถูหลังไปมาอย่างแรง
ช่วงนี้อาการปวดเหน็บชาเริ่มถี่ขึ้น อาจเป็นเพราะนั่งรถม้านานก็เป็นได้ ในที่สุดก็ถึงบ้านเสียที เขาเองก็จะได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ กระดูกที่ใช้การมานานเช่นนี้ เขาไม่กล้าเสี่ยงให้เกิดอะไรขึ้นแน่นอน การไว้ทุกข์ให้มารดาในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ทำให้หน้าที่การงานของลูกชายสะดุดลง หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก ความหวังของลูกชายที่จะก้าวหน้าในหน้าที่ คงจะต้องหมดไปเป็นแน่
‘ท่านผู้เฒ่า รีบรักษาอาการป่วยโดยเร็วเถิด’
ข้างหูเหมือนกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ชายชราหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวออกไป
“ท่านพ่อ” ใต้เท้าเฉิงถามอย่างกังวล “ให้หมอมาดูอาการของท่านสักหน่อยดีหรือไม่”
ชายชราหยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินเข้าประตูไป
………………………………………………………….