พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 392 ได้รับ
เจ้าทหารกระจอกสามหาว!
เขารู้ดีว่าคนพวกนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ก่อเรื่องฆ่าคนทั้งยังเป็นทหารหนีทัพ พ้นผิดเพราะอาศัยเส้นสายใหญ่โตยามอยู่เมืองหลวง ถึงได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง
แม้จะเป็นทหารศึก แต่ทหารเช่นนี้ไม่เป็นที่โปรดปรานสำหรับเขาสักเท่าไหร่ ดูสิ ต่อปากต่อคำกับเขา กล้าดีอย่างไรถึงได้อ้างถึงเบื้องบนเช่นนั้น แสดงว่าพวกเขาต้องมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังอยู่เป็นแน่
มีเบื้องบนคอยหนุนหลังอยู่แล้วอย่างไรเล่า ก็แค่ทหารชั้นผู้น้อยไม่กี่คน หาแพะรับบาปจากกองทัพ
แล้วก็จับโบยลงโทษเสียสักสิบคน ไม่ต้องเอาถึงตายแต่อาจจะพิกลพิการ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าเขานิ่งดูดายแล้ว
แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเจ้าพวกนี้ลากใต้เท้าผู้ตรวจการมาเกี่ยวข้อง แถมเขายังตั้งข้อหาหมิ่นเบื้องสูงเพื่อลงโทษเพื่อเขาอีก เกรงว่าหากรู้ถึงหูผู้ตรวจการเข้า เขาเองก็คงถูกตั้งข้อหาเดียวกัน
“สวีเม่าซิว” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่นออกมาทีละคำ
“ขอรับ” สวีเม่าซิวขานตอบ
ผู้บัญชาการกัดฟันกรอด
“เรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้สอบสวนเอง…” เขาเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม
พอเห็นสวีเม่าซิวและพวกพ้องเดินออกไป จากนั้นก็หันไปมองสีหน้าตกตะลึงของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ผู้บัญชาการก็สะบัดแขนเสื้ออย่างเกรี้ยวกราด
ฝากไว้ก่อนเถอะพวกเจ้า
สวีเม่าซิวและพวกพ้องที่เดินออกมาจากศาลาว่าการกลับดูชื่นมื่นยิ่งนัก ได้ระบายอารมณ์ ได้ออกหมัดไปไม่น้อย สะใจเสียจริง
“ล่วงเกินผู้อื่นเช่นนั้นมีอะไรน่าดีใจกัน”
เสียงของท่านชายโจวหกดังขึ้นจากข้างหลัง
สวีเม่าซิวเหลียวกับไปคำนับให้
“หากต้องการให้ทุกสิ่งเป็นไปตามใจหมาย คงเป็นไปได้ยากนัก” เขาเอ่ย “อีกอย่าง หากคนที่เราล่วงเกินนั้น คิดร้ายกับเราตั้งแต่แรก ก็ไม่นับว่าล่วงเกิน”
ท่านชายโจวหกเผลอยิ้มออกมาก่อนจะส่งเสียงเย้ยหยัน
เรียนรู้จากหญิงผู้นั้นมาอย่างดีเสียจริง เขาคร้านจะสนใจก่อนจะเดินจากไป
“ใต้เท้า” สวีเม่าซิวเอ่ยรั้งเขาไว้
ท่านชายโจวหกหยุดฝีเท้าลงแล้วเหลียวกลับมา
“ขอบใจที่ใต้เท้าที่เป็นห่วง ”สวีเม่าซิวยกมือขึ้นคำนับเขาก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายโจวหกสีหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเดินไป
สวีซื่อเกินเพิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เจอกับสวีเม่าซิวและพวกพ้อง เขาทั้งตกใจทั้งโมโหทั้งยังกังวลในเวลาเดียวกัน
“ทำอะไรของพวกเจ้า!” เขาตะโกนลั่น “กว่าพวกเราจะได้โอกาสกลับมาที่นี่มันง่ายนักหรือ จะต้องพากันหนีโทษหมิ่นเบื้องสูงอีกแล้วหรืออย่างไร”
“พี่สี่ จะกลัวไปทำไม เมื่อครู่ที่ท่านพูดก็ถูกแล้วนี่ พวกนั้นกลั่นแกล้งพี่สี่ ก็เท่ากับดูหมิ่นผู้ตรวจการอย่างไรเล่า” สวีปั้งฉุยหัวเราะชอบใจพลางเอ่ย ทว่าเพราะบาดแผลบนใบหน้า พอหัวเราะทีก็เจ็บจนใบหน้าเหยเก มองดูน่าขันไม่น้อย
หลิวขุยที่อยู่อีกฝั่งส่งเสียงเย้ยหยัน
“แล้วอย่างไรเล่า ก็แค่อ้างผู้ตรวจการขึ้นมาข่มผู้บัญชาการ มีอะไรให้หน้าภาคภูมิใจกัน” เขาเอ่ย “แม่ทัพย่อมยิ่งใหญ่ที่สุดในกองทัพ ต่อกรกับพวกเจ้าไม่กี่คน ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เจ้าคิดว่ายกผู้ตรวจการขึ้นมาอ้างเพื่อให้พ้นผิด แล้วผู้บัญชาการจะกลัวพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ น่าขันเสียจริง เขาคงกำลังคิดหาทางเล่นงานเจ้าอย่างหนักอยู่ต่างหาก หากฆ่าพวกเจ้าไม่ได้ แต่ก็ยังสั่งโบยพี่น้องทั้งหลายของพวกเจ้าจนปางตายได้ก็แล้วกัน ผู้ใดจะกล้าพูดอะไร ถึงจะกล้าพูดก็คงสายไปเสียแล้ว…”
แม้หลิวขุยผู้นี้จะเกิดในตระกูลทหาร ทว่าพอเข้ามาอยู่ในกองทัพก็ต้องจำใจยอมอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ยังไม่วายถูกคนหักหลังยามออกไปทำภารกิจนอกเมือง จนถูกไล่ออกมาจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือ มารับตำแหน่งไร้ตัวตนที่เมืองหลวง กินเงินเดือนเลี้ยงตนเองยามแก่เฒ่า แต่เจ้าพวกนี้ไม่มีทั้งชาติตระกูล ไม่มีทั้งหัวนอนปลายเท้า ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
คงจะเอามาจากความโง่เขลากระมัง…
คำพูดนั้นยิ่งทำให้สวีซื่อเกินวิตกกังวล ส่วนสวีปั้งฉุยกลับส่งเสียงเย้ยหยันออกมา
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า” เขาถลึงตาตวาดลั่น
“เป็นเพราะพวกเจ้า ข้าถึงพลอยโดนหางเลขไปด้วย” หลิวขุยเองก็เบิกโพลงตะโกนกลับ มือข้างหนึ่งก็ชี้ไปที่แผลบนใบหน้า
สวีปั้งฉุยหัวเราะชอบใจ
“พูดเสียดิบดี แต่กลับถูกต่อยจนแทบดูไม่ได้” เขาเอ่ย
“ที่ต้องเจ็บตัวเช่นนี้ก็เพราะเศษสวะอย่างพวกเจ้าอย่างไรเล่า!” หลิวขุยร้องตะโกน
ทั้งสองยังคงต่อปากต่อคำกันไม่หยุด ส่วนสวีซื่อเกินก็ยังคงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“แล้วจะทำเช่นไรดี” เขาเอ่ยขึ้น “ถูกผู้บัญชาการจับตามองเช่นนี้ ทำความดีความชอบนั้นยาก แต่จับผิดนั้นแสนง่ายดาย พอถึงตอนนั้นหากเขาอยากจะลงโทษสถานหนักขึ้นมา จะพูดอย่างไรก็คงไม่เป็นผล”
“เหล่าซื่อ เจ้าวางใจเถิด พวกเราต้องไม่เป็นอะไรไปแน่นอน” สวีเม่าซิวเอ่ย
“เหตุใดท่านถึงได้มั่นใจนัก” สวีซื่อเกินขมวดคิ้วถาม
“ก็เพราะเจ้าอย่างไรเล่า” สวีเม่าวิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เพราะข้าอย่างนั้นหรือ” สวีซื่อเกินไม่เข้าใจ
สวีเม่าซิวยืนขึ้นก่อนจะชี้นิ้วไปที่ม้าอีกฝั่ง
“ข้าเชื่อว่าสิ่งที่เจ้าทำไป ต้องมีใครสักคนมองเห็นอย่างแน่นอน” เขาเอ่ย “จะต้องได้รับอย่างงามแน่นอน”
“ข้าไม่ได้คิดว่านี่คือความดีความชอบเลยแม้แต่นิด” สวีซื่อเกินเอ่ย “อันที่จริงก็ไม่แปลกหากพวกเขาจะไม่พอใจ แต่ก่อนไม่มีสิ่งนี้ พวกเราชายชาติทหารก็ปราบศัตรูเอาชัยชนะกลับมาได้อยู่ดี แต่พอมีสิ่งนี้ขึ้นมา แม่ทัพทหารม้าผู้ปราบกบฏทั่วทั้งดินแดนตะวันตกเฉียงกลับถูกแย่งคุณงามความดีไป เป็นผู้ใดก็คงไม่พอใจ”
“คุณงามความดีของพวกเขากับคุณงามความดีของเจ้า ไม่ได้ใช่สิ่งต้องแก่งแย่งกันเสียหน่อย” สวีเม่าซิวเอ่ย “พวกเขาเพียงแค่เข้าใจผิดก็เท่านั้น ข้าเชื่อว่าไม่นานทุกคนก็จะเข้าใจ”
เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะยิ้มออกมา
“เจ้าไม่เชื่อตัวเอง ไม่เชื่อคำพูดของข้า แถมยังไม่เชื่อคำของน้องสาวด้วยหรือ”
สวีซื่อเกินยิ้มออกในทันใด เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนจากด้านนอก ก่อนจะมีกลุ่มคนพากันกรูเข้ามา
“สวีซื่อเกิน สวีซื่อเกิน”
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังวุ่นวาย
“มาหาเรื่องกันเร็วขนาดนี้เชียวหรือ” หลิวขุยเบิกตาโพลงร้องลั่น
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เห็นคนกลุ่มพากันแหวกทางออก ผู้บัญชาการที่หน้าดำคร่ำเครียดเมื่อครู่ บัดนี้กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนในมือยังถือสาสน์ฉบับหนึ่งอีกต่างหาก
“สวีซื่อเกิน เร็วเข้า เร็วเข้า เจ้าได้เลื่อนยศแล้ว!” เขาเอ่ยเสียงดังกึกก้อง
ทั้งสำนักตรวจม้าโกลาหลขึ้นมาในทันใด
“รีบไปดูเร็วเข้า มีคนเลี้ยงม้าได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางด้วย!”
คนเลี้ยงม้าได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางใช่ว่าจะไม่มี เพราะในกองทัพมีสำนักตรวจม้า ก็ย่อมต้องมีขุนนางมาประจำ เพียงแต่คนเป็นขุนนางไม่มีผู้ใดเลี้ยงม้าเองเช่นนี้ คนเลี้ยงม้าส่วนใหญ่หากไม่ใช่ขุนนางชั้นผู้น้อย ไม่ก็เป็นทหารชั้นผู้น้อย หรือไม่ก็กุลีที่จ้างมาอีกที
เหล่าบัณฑิตสอบจองหงวนเพื่อเป็นขุนนาง ส่วนคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือก็ต้องอาศัยคุณงามความดี เผื่อว่าสักวันจะได้รับการเสนอชื่อ ส่วนทหารผู้น้อยหรือทหารศึกก็อาศัยความดีความชอบจากชัยชนะที่ได้มา แต่คนเลี้ยงม้าที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางเพราะเลี้ยงม้า พวกเขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
ผู้คนพากันเข้ามารายล้อม จนโถงของสำนักตรวจม้าที่คับแคบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเบียดเสียดจนแทบไม่มีอากาศหายใจ
“ซานปาน…กำกับ…ม้า”
สวีปั้งฉุยยกประกาศในมือขึ้นก่อนจะอ่านออกเสียง แต่น่าเสียดายที่เขารู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว จึงอ่านออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ จนคนในห้องได้แต่มึนงงยามได้ยิน
หนึ่งในเหล่าพี่น้องแย่งกระดาษออกมาจากมือเขาแล้วยัดใส่มือสวีเม่าซิว
“ไปไกลๆ อย่ามาวุ่นวายแถวนี้ ให้พี่สามอ่านให้ฟังดีกว่า” เขาเอ่ย
สวีเม่าซิวยิ้มแล้วรับกระดาษมา
“ซานปาน ผู้กำกับการม้าในกองทัพ” เขาเอ่ย
“ผู้กำกับการอย่างนั้นหรือ” สวีปั้งฉุยตะโกนลั่น “เช่นนั้นก็เทียบเท่ากับเจ้าหนุ่มตระกูลโจวนั่นน่ะสิ!”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร” เขาเอ่ย “เหล่าซื่อเป็นแค่ขุนนางขั้นเก้า ”
สวีปั้งฉุยได้ยินดังนั้นก็เข้าใจในทันใด
“ถึงจะเป็นขั้นที่เก้า ก็เป็นขุนนางอยู่ดี!” เขาตะโกนลั่น ก่อนจะชี้ไปที่ผู้บัญชาการ “ตำแหน่งสูงกว่า
ผู้บัญชาการระดับปี้เตี้ยน เสียอีก!”
ผู้บัญชาการถูกเอ่ยถึงต่อหน้าผู้คนจนหน้าแดงไปหมด แต่ที่แดงไม่ใช่เพราะโกรธเกรี้ยวจะอยากโบยพวกเขาให้ตายไปเสียเหมือนครู่ เขายิ้มเจื่อน ถึงจะดูไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ยังยิ้มออกมา
กว่าจะได้ตำแหน่งขุนนางมานั้นยากลำบากเพียงใดเขาย่อมรู้ดีกว่าใคร ปีนี้เขาก็อายุสี่สิบแล้ว รับราชการเป็นทหารชั้นดีมาทั้งชีวิตกว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา แต่ทหารผู้น้อยอายุราวยี่สิบกว่าปีกลับได้ตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นเก้า จะเรียกว่าก้าวกระโดดก็ไม่ผิด
ดูท่าทางแล้วไม่ใช่แค่มีคนคอยหนุนหลังพวกเขาอยู่ แต่คนผู้นั้นต้องเก่งกาจสามารถอย่างมากเป็นแน่
การมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับที่เก่งกาจขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เรื่องที่ตนเองมีแต่เสียกับเสียเช่นนั้น มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ทำ
“ผู้กำกับสวี ชุดประจำตำแหน่งของท่านกำลังเดินทางมา ไม่กี่วันก็คงมาถึงแล้ว ห้องทำงานของท่านจะตกแต่งใหม่ที่นี่หรือท่านจะไปหาที่อื่นดีขอรับ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สวีซื่อเกินยังคงเหม่อลอยไม่ได้สติ ราวกับเสียงตะโกนโหวกเหวกด้านนอกดังไม่ถึงหูเขา
“พี่น้องข้าดีใจจนเป็นเสียสติไปแล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะตอบผู้บัญชาการอย่างนอบน้อม
ผู้บัญชาการไม่ได้ทำท่าทีเย่อหยิ่งต่อหน้าสวีเม่าซิวเหมือนเมื่อครู่เลยสักนิด ทั้งยังดีใจยกใหญ่เสียด้วยซ้ำที่พวกเขาให้โอกาสตนเองแก้ตัวอีกครั้ง
หากสวีซื่อเกินเป็นขุนนางได้ ไม่ช้าก็เร็วคนที่เหลือก็คงได้เป็นเช่นกัน เขาจึงไม่อาจปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับทหารเท่าไปได้อีก
ดูคนพวกนี้สิ แม้จะมีตราบาปติดตัวว่าเป็นทหารหนีทัพ แต่พอไปอยู่เมืองหลวงเพียง ชะตาชีวิตก็พลิกผัน ก่อนจะกลับมายังทัพตะวันตกเฉียงเหนืออีกครั้ง พวกเขาฆ่าฟันศัตรูอย่างอาจหาญ ทหารผู้น้อยคนอื่นๆ เข่นฆ่าศัตรูเพื่อเงินรางวัลหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่พวกเขาไม่ได้สนใจเงินพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ได้ข่าวมาว่าเงินที่ส่งมาจากเมืองหลวงตอนปีใหม่ยังเยอะกว่าเงินทั้งตระกูลของใต้เท้าผู้ตรวจการเสียอีก คนที่มาหาก็ท่าทางนอบน้อมยิ่งนัก เรียกคำก็เถ้าแก่สองคำก็เถ้าแก่ ในเมื่อมีทรัพย์สมบัติมากขนาดนั้น แต่เหตุใดถึงต้องมาดิ้นรนอยู่ที่นี่ จนผู้คนพากันตกใจและสงสัย ส่วนชายที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางในครั้งนี้ ก็มิใช่เพราะออกรบฟาดฟันศัตรู
แต่เกือกม้าเหล็กหน้าตาอัปลักษณ์นั่น
ผู้บัญชาการเองก็รู้หนังสือไม่มากนัก แต่จู่ๆ ก็มีคำหนึ่งที่อธิบายความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดีผุดขึ้นมาในหัว
มีดคมซ่อนอย่างไรก็ไม่มิด คนมีความสามารถ อย่างไรก็ต้องมีคนเห็นแวว
ชายเหล่านี้ไม่นานก็ต้องทำการใหญ่อย่างแน่นอน
“เป็นธรรมดาของคนเรา เป็นธรรมดาของคนเรา ตอนข้าได้รางวัลครั้งแรก ข้ายังดีใจจนร้องไห้เสียด้วยซ้ำ” เขาเอ่ยอย่างถ่อมตน
ทุกคน ณ ที่นั้นพากันหัวเราะ ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะ สวีซื่อเกินที่เอาแต่เหมอลอยมาโดยตลอดก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไป
ทุกคนพากันตกใจ
“เจ้าดูสิ เหมือนที่ข้าพูดไม่มีผิด ดีใจจนร้องไห้แล้วนั่น” ผู้บัญชาการหัวเราะยกใหญ่
ยามสวีเม่าซิวเดินมาถึงคอกม้า สวีซื่อเกินก็หยุดร้องไห้แล้ว เขานั่งอยู่กลางคอกม้า จ้องมองดูเกือกม้าเหล็กที่อยู่ในมืออย่างพินิจพิจารณา
“พี่สาม…” เขาได้ยินเสียงฝีเท้า พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเป็นสวีเม่าซิว ก่อนเอ่ยยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ “ท่านดูที่สิ เพิ่มน้ำหนักเพิ่มความหนาแล้ว แม้หิมะยามฤดูจะตกหนักเพียงใดก็ไม่ต้องหวั่นอีกต่อไป”
สวีเม่าซิวยิ้มพลางพยักหน้า เขายื่นมือออกไปรับแล้วหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะนั่งลงข้างกายเขา
คอกม้ากลิ่นเหม็นสาบคละคลุ้งไปทั่ว เท้าม้าหวางม้ากวัดแกว่งอยู่เบื้องหน้าเขาทั้งสอง แต่พวกเขากลับยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับนั่งอยู่ท่างกลางงานเลี้ยงรื่นเริง
“พี่สาม ตอนนี้ข้ากำลังฝันไปใช่หรือไม่” สวีซื่อเกินโพล่งถามออกมา
สวีเม่าซิวหัวเราะก่อนจะยืนมือออกไปตีเขา
“หากเป็นฝันแล้วอย่างไรเล่า ขอแค่เป็นฝันดีก็พอแล้ว” เขาตอบ
สวีซื่อเกินเองก็หัวเราะเบาๆ
“ได้เป็นขุนนาง ดีใจหรือไม่” สวีเม่าซิวกระทุ้งแขนพลางเอ่ยถาม
“ดีใจสิ” สวีซื่อเกินพยักหน้าก่อนสูดหายใจลึก “วันหน้าจะทำการใดก็สะดวกแล้ว”
พอได้ยินคำตอบของเขา สวีเม่าซิวก็หัวเราะลั่นออกมาอีกครั้ง
สวีปั้งฉุยที่อยู่ห่างออกไปได้แต่ทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
“ตอนเช้าข้ายังบ่นสงสารพี่สี่อยู่แท้ๆ ว่ายศตำแหน่งเทียบพวกเขาไม่ได้” เขาเอ่ย “แต่พริบตาเดียวกลับกลายเป็นว่าข้าต้องคำนับแล้วเรียกเขาว่าใต้เท้าเสียแล้ว…”
หลิวขุยเหม่อลอยยิ่งกว่า เขายกมือขึ้นมาที่มุมปากแล้วกัดอย่างแรง ก่อนจะร้องโอดโอยมา
เจ็บชะมัด!
“เศษเหล็กพวกนี้แลกยศตำแหน่งได้ด้วยหรือ มีค่ามากกว่าพวกเขาที่ออกไปฆ่าฟันศัตรูอย่างนั้นหรือ บ้าไปแล้ว” เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ท่านชายโจวหกหลังกลับก็เห็นว่าผู้ติดตามประจำตัวกำลังเดินเข้ามา
“ข้าไปสืบถามมาอย่างแน่ชัดแล้ว คราวนี้เป็นเพราะเขาโชคดีจริงๆ” ผู้ติดตามประจำตัวกระซิบเสียงต่ำ “ฮ่องเต้ทราบเรื่องจึงได้ถาม เหล่าขุนนางก็พากันแก่งแย่งเอาความดีความชอบใส่ตัว แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะคนที่รู้เรื่องนี้ดีไม่มีใครยอม จนในที่สุดศาลประจำเมือง อุปทูตประจำเว่ยโจว และผู้ตรวจการประจำกองทหารม้ารวมสามคนก็ร่วมกันเสนอชื่อเขา สำนักราชเลขาเองก็อนุมัติโดยไม่มีข้อกังขาใด เรียกได้ว่าเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เคยมีครั้งใดที่ได้รับอนุมัติโดยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นนี้มาก่อน”
เช่นนั้นก็คงเรียกว่าโชคดีจริงๆ
ท่านชาวโจวหกเผลอยิ้มก่อนจะส่ายหน้า
นี่ก็เป็นสิ่งที่หญิงผู้นั้นคาดการณ์ไว้อย่างนั้นหรือ
เขาแหงนหน้ามองฟ้าอย่างอดไม่ได้
นางจะทำอะไรอยู่กันนะ
เขาก้มหน้าลง ก่อนจะล้วงกำไลลูกประคำออกมาจากอกเสื้อ เนื้อของลูกประคำดูน่ากลัวยิ่งนัก เพราะแต่ลูกนั้นทำมาจากเขี้ยวของหมาป่า
เดือนหนึ่งกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ส่งของขวัญไปตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ อีกอย่างนางก็คงไม่สนใจใยดีหรอกกระมัง