พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 393 หนึ่งปี (2)
ณ บ้านชานเมืองของตระกูลเฉิน คนทั้งตระกูลต่างพากันย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อคลายร้อนในเดือนนี้
“พี่สิบแปด พี่สิบแปด”
แม่นางเฉินตันเหนียงวิ่งตึงตังเข้ามาในเรือน พอพ้นปีใหม่ไปนางก็สูงขึ้นมาไม่น้อย กิริยาท่าทางยิ่งคล่องแคล่วว่องไวขึ้นมาก ท่วงท่าไม่ได้ดูน่าขันอีกต่อไป ตรงกันข้ามกลับว่องไวดั่งผีเสื้อโบยบิน
บรรดาแม่นมและสาวใช้ในเรือนของแม่นางเฉินสิบแปดรีบยื่นมือไปประคอง
“แม่นางตันเหนียง แม่นางเฉินสิบแปดกำลังเรียนเขียนอักษรอยู่ อย่าเสียงดังเจ้าค่ะ” พวกนางกระซิบบอก
เฉินตันเหนียงร้องอ๋ออย่างเสียดายไม่น้อย
“อากาศร้อนเช่นนี้ ยังจะเขียนอักษรไปทำไมอีก ท่านปู่บอกว่าจะออกไปกินข้าวแล้ว” นางเอ่ยพลางเขย่งเท้ามองไปยังด้านใน
ประตูหน้าต่างในห้องหนังสือของแม่นางเฉินสิบแปดเปิดอ้าไว้ ภายใต้ร่มเงาต้นไม้เขียวชอุ่มนั้นสามารถมองเห็นเงากึ่งหนึ่งของนางที่กำลังนั่งหลังตรงอยู่ เสื้อคลุมสีเข้ม ผมยาวที่มัดรวบไว้ด้านหลัง ไม่ประดับเครื่องหัวใดๆ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแม่นางเฉินสิบแปดแห่งตระกูลเฉินไปเสียแล้ว ไม่ว่าเมื่อใดและที่ไหนก็มักจะถูกคนจำได้ภายในพริบตาเสมอ
พอนางได้ยินเสียงพูดคุยของทางนี้เข้าก็หันหน้ามามอง
“เจ้าไปกับท่านปู่เถิด ข้าไม่ไปแล้ว” นางเอ่ย “ข้ายังมีอักษรที่ต้องเขียนอีกสองหน้ากระดาษ”
เฉินตันเหนียงยืนอยู่บนระเบียงพลางมองไปรอบๆ ห้องหนังสือ บนผนังมีอักษรมากมายแขวนอยู่ บนพื้นก็มีปูอยู่ไม่น้อย
“พี่สาว เขียนอักษรน่าสนุกตรงไหนกัน” นางเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “พี่เขียนได้ดีแล้วนะ”
แม่นางเฉินสิบแปดส่ายหน้ามองกระดาษอักษรขนาดใหญ่เหล่านั้นที่แขวนไว้บนฉากกั้นกระดาษผืนยาว
ขอเพียงฝึกฝนให้มากก็จะเขียนได้สวยเหมือนกับแม่นางอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่เลย บางครานั่นคือพรสวรรค์
พรสวรรค์รึ
แม่นางเฉินสิบแปดเม้มปาก ตั้งข้อมือให้ตรงแล้วเขียนอักษรตัวต่อไป
เฉินตันเหนียงเริ่มจะเบื่อ
“พี่ไม่ไปจริงหรือ ไปที่เรือนไท่ผิงเชียวนะ” นางเอ่ยขึ้น
แม่นางเฉินสิบแปดหยุดมือลง เงยหน้ามองเฉินตันเหนียง พอคิดอะไรขึ้นมาได้ก็แย้มออกมา
“ตันเหนียง เจ้ายังจำแม่นางเฉิงได้หรือ” นางเอ่ยถาม
เฉินตันเหนียงพยักหน้า แต่สีหน้าไม่กระตือรือร้นดั่งเช่นปีที่แล้วอีกแล้ว ความทรงจำของเด็กน้อยสั้นนัก ยามพบเจอก็พูดคุยสนิทสนมคุ้นเคยไม่ยอมห่าง แต่พอจากกันไปสามเดือนความทรงจำก็เลือนลางลงไปแล้ว
แม่นางเฉิงจากเมืองหลวงไปเกือบปีได้แล้วกระมัง
ได้ยินท่านแม่บอกว่านางก็จากเจียงโจวไปแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่ายามนี้ไปอยู่ที่ใด บางทีอาจจะไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้
มาคิดดูในยามนี้ แม่นางผู้นั้นไม่ว่าจะมาเยือนหรือไปที่ก็มักเดินทางอย่างเงียบเชียบราวกับไร้ตัวตน อย่าว่าแต่เด็กน้อยอย่างเฉินตันเหนียงเลย ขนาดความทรงจำของนางเองยังเลือนลางไปบ้างแล้วเช่นกัน ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมา ณ เมืองหลวงแห่งนี้ไม่เคยมีหญิงผู้นี้มาก่อน
“พี่สาว พี่จะไปหรือไม่ หากไม่ไป ข้าก็จะไม่ซื้อเต้าหู้กลับมาฝาก” เสียงของเฉินตันเหนียงดังขึ้นข้างหูขัดความคิดในภวังค์ของแม่นางเฉินสิบแปดไป
เต้าหู้ เรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า และอักษรของวัดเฉี่ยถิง
ไม่สิ นางไม่เคยไร้ตัวตนมาก่อน นางไม่เพียงแต่เคยมีตัวตน ซ้ำยังทิ้งร่องรอยไว้มากมาย แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้ แต่เวลาทุกชั่ววินาทีต่างย้ำเตือนเหล่าผู้คนที่รับรู้
ยามมาก็มาอย่างกะทันหัน ยามไปก็ไปอย่างไม่แยแส ระยะเวลาแสนสั้นเพียงแค่หนึ่งปี กลับทิ้งร่องรอยไว้ที่เมืองหลวงมากมาย อีกทั้งความยากลำบากและอันตรายที่น้อยใหญ่เหล่านั้นต่างมีร่องรอยของนางอยู่ ที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่ไม่รู้จักนางก็จะไม่มีวันได้รู้ คนที่ได้รู้จักนางก็ยากที่จะลืมเลือน
แม่นางเฉินสิบแปดเม้มปากแย้มยิ้ม
“ข้าไปกินเองได้ พวกเจ้ารีบไปเถิด” นางยิ้มเอ่ย “อย่ากินอิ่มนักล่ะ เดี๋ยวจะอ้วนเอา”
เฉินตันเหนียงที่อายุเจ็ดปีรู้จักความสวยความอัปลักษณ์เป็นของตัวเองแล้ว นางย่นจมูกลุกขึ้นวิ่งโหยงเหยงออกไป
ในฤดูร้อนเช่นนี้การค้าขายของเรือนนางฟ้าซบเซากว่าเรือนไท่ผิงอยู่ไม่น้อย ทว่าสิ่งนี้มิได้ทำให้ทุกคนมีความคิดที่ไม่ดี การค้าขายซบเซากว่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะปิดกิจการลง
ปั้นฉินดูบัญชีไปพลางดีดลูกคิดอย่างรวดเร็วไปพลาง ปากก็เอาแต่พูดไม่หยุด
“…ท่านชายสี่จะกลับไปเดือนหน้ารึ เหตุใดจึงจะกลับไปเล่า” นางเอ่ยถาม
ชุนหลิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองมือกับดวงตาของนางที่ขยับไม่หยุด ดวงตาเป็นประกายวาววับนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมเหมือนว่าจะไม่ได้ยินที่นางกำลังเอ่ยถาม
ปั้นฉินเห็นท่าทางของนางก็หัวเราะแล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“นายหญิงปั้นฉิน ท่านมีความสามารถมากมายนัก” ชุนหลิงมิได้ตอบคำแต่เอ่ยชื่นชมขึ้นมาแทน
“นายหยงนายหญิงอันใดกัน ข้าก็เป็นคนงานเหมือนกันกับเจ้า” ปั้นฉินเอ่ย
“แล้วอย่างไรเล่า!” ชุนหลิงตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ มือไม้วาดกวาดไปทั่ว “ข้าเป็นเพียงคนต่ำต้อย จะไปเทียบกับแม่นางได้อย่างไร”
“คนต่ำต้อยอันใดกัน ซ้ำมิใช่ว่าเจ้ายินยอมจะไปที่พรรค์นั้นเสียหน่อย หากคนเราไม่รู้ในสิ่งที่ตัวเองเลือกก็ล้วนสะอาดบริสุทธิ์” ปั้นฉินเอ่ย “อย่าเรียกข้าว่านายหญิงเลย ยังมีนายหญิงของข้าอยู่ ทำเช่นนี้ไม่สมควร”
ชุนหลิงรับคำด้วยสีหน้าเหยเก
“ท่านชายสี่บอกว่าอาจารย์จะเข้าราชสำนักแล้ว สำนักศึกษาจึงปิดไปชั่วคราว รอสอบใหญ่อีกสองปีให้หลังจึงจะเปิด” นางเอ่ยตอบคำถามเมื่อครู่
ปั้นฉินร้องอ๋อแล้วพยักหน้า
“นั่นสินะ นายท่านได้ตำแหน่งใหม่อีกแล้ว” นางเอ่ยพลางเรียกบ่าวรับใช้ให้มาหา จากนั้นจึงสั่งให้ไปเช่ารถม้าเพื่อซื้อของขวัญ แล้วให้รีบกลับมาถามว่าเงินพอหรือไม่ “ไม่พอก็ให้เอาจากนายหญิงไปให้เขาก่อน”
“กู้ยืมเงินหรือขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยถาม เงินที่เอาไปจุนเจือให้ท่านชายเฉิงสี่ครึ่งปีนี้มีไม่น้อย
“เฮ้อ เรื่องแค่นี้ข้าก็ยังทำไม่ได้ จะให้ไปกู้ยืมเงินอันใด” ปั้นฉินยิ้มเอ่ย
ชุนหลิงรีบพยักหน้าตาม
“ใช่ ใช่ พี่ปั้นฉินกำลังลำบาก ลำบากโดยแท้ หาเงินได้แต่ไม่มีสิทธิ์ใช่เงินอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยขึ้นด้วยความฉงน
ปั้นฉินเหลียวมองนาง
“พูดเช่นนี้ไม่ถูก” นางเอ่ย “นี่ไม่ใช่น้ำพักน้ำแรงของข้า มีคนสร้างบันไดไว้เรียบร้อยแล้ว พอข้าขึ้นไป จะกลายเป็นน้ำพักน้ำแรงของข้าได้อย่างไร นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ คนเรามิอาจลืมหน้าที่ของตนได้”
“นั่นสิ แม้ข้าจะเป็นคนของหอเต๋อเซิ่ง แต่นายหญิงของข้าดีกับข้าอย่างมาก ดังนั้นข้าต้องรับใช้นายหญิงข้าเป็นอย่างดี พี่ปั้นฉิน นี่เรียกว่าหน้าที่ความรับผิดชอบใช่หรือไม่” ชุนหลิงเอ่ยถามด้วยดวงตากลมโต
ปั้นฉินยิ้มพลางพยักหน้า
ชุนหลิงลุกขึ้นเอ่ยลาแล้วเดินออกจากเรือนนางฟ้าไป ใบหน้านางไร้ซึ่งรอยยิ้ม หันกลับมามองด้วยความเกลียดชังเพราะแรงริษยา
ถือทิฐิสูงเสียจริง หญิงนางนั้นมีอันใดดีกัน เหตุใดจึงยินยอมเป็นสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนาง!