พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 398 ช่วยตนเอง
หากเจ้ารู้ว่าใครคนหนึ่งจะทำร้ายตนในวันหน้าจะทำเช่นไรอย่างนั้นหรือ
คำถามของแม่นางผู้นี้น่าสนใจดีนี่ คนงานของร้านเดินเข้ามาใกล้อย่างอดไม่ได้
“เช่นนั้นก็ต้องชิงตีคนผู้นั้นก่อนสักหน” เขาเอ่ยพลางกำหมัดชกลม “สั่งสอนเขาสักหน่อย”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วพยักหน้า
“หรือไม่ก็ฆ่าเขาเสีย” นางเอ่ยขึ้น
ฆ่าหรือ คนงานของร้านสะดุ้งตัวโยน แต่แม่นางผู้นั้นกลับสีหน้าเรียบเฉย พูดคำนั้นออกมาอย่างผ่อนคลาย
ฆ่าคนเชียวนะ…
“ใช่ ใช่ แบบนั้นดีที่สุด ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม” คนงานหนุ่มพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ” เฉิงผิงถามเฉิงเจียวเหนียง
ใช่แล้ว นางคิดเช่นนั้น เฉิงเจียวเหนียงมองเขาเม้มปากแน่น
นางคิดเช่นนั้นจริงๆ ถึงได้เดินทางไปยังเหลียงโจว ต้นตระกูลของตระกูลหยางอยู่ที่เหลียงโจว บรรพบุรุษเป็นนายพรานล่าสัตว์ สามร้อยปีข้างหน้านางกลับไปไม่ได้อีกแล้ว นางไม่ยอม นางมีเพียงความคิดเดียวที่อยู่ในหัว นั่นก็คือตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ถอนรากถอนโคนตระกูลหยาง ตระกูลหยางฆ่าล้างตระกูลเฉิงของนาง เช่นนั้นแล้วนางก็จะทำลายต้นตอของตระกูลหยางให้สิ้นซากเช่นกัน
ในหัวของนางมีแต่ความคิดนี้วนซ้ำไปมา ไม่สนใจว่าญาติพี่น้องจะทุกข์ระทมเช่นไร ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ในใจมีแต่เรื่องนี้ เพียงแต่นางไม่ใช่แค่หาตระกูลหยางไม่เจอ แม้แต่หมู่บ้านแห่งนั้นนางก็หาไม่เจอ
นางจำได้ว่าตนเคยไปเยี่ยมบ้านเกิดพร้อมกับหยางซ่าน แต่ภาพความทรงจำกลับกลายเป็นเพียงทะเลสาบ
ทะเลสาบผืนหนึ่ง
รอบทิศไร้ผู้คน
ทะเลสาบจะกลายเป็นท้องนาอย่างนั้นหรือ ความจริงกลับตาลปัตรกับความทรงจำ
ไม่มี ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น หาไม่เจอ
สามร้อยปี สามร้อยปีก่อนยังไม่มีตระกูลหยางอย่างนั้นหรือ
นางไม่ยอม นางท่องไปทั่วทั้งเหลียงโจว แน่นอนว่าต้องเจอคนสกุลหยาง แต่นางไม่รู้ว่าต้นตระกูลของตระกูลหยางแท้จริงแล้วคือผู้ใด และก็คงจะฆ่าคนสกุลหยางทั้งเหลียงโจวไม่ได้กระมัง
ใช่แล้ว ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของนาง คืนวันนั้นนางยืนอยู่หน้าเรือนหลังหนึ่งของคนสกุลหยางแล้วด้วยซ้ำ
“พี่สาว พี่คือนางฟ้าบนสวรรค์หรือ…”
เด็กน้อยไร้เดียงสากอดขานางแล้วเอ่ยถาม
“ท่านช่างงามแท้…”
พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มบนแก้มแดงระเรื่อนั้น กริชที่กำอยู่ในมือของนางจะง้างขึ้นมาได้อย่างไร
คิดสิคิด พี่น้องทั้งหลาย ลูกหลานทั้งหลาย คนตระกูลเฉิงของนางที่ตายในเงื้อมมือของตระกูลหยางก็มีเด็กเล็กเช่นนี้เหมือนกัน หากพวกเขาทำได้ลงคอ เหตุใดตนถึงจะทำบ้างไม่ได้
ฆ่าพวกเขา ฆ่าพวกเขาให้หมด
“แม่นาง… เจ้ามาถามทางหรือจะมาขอที่พัก…”
ผู้เฒ่าสองคนถามด้วยความเป็นห่วง
เฉิงเจียวเหนียงหลับตาลง ภายในใจของนางหนาวเหน็บ
ตื่นเสียที บนแผ่นดินและผืนฟ้าอันเป็นนิรันดร์นี้ ไม่มีทั้งมิตรไม่มีทั้งศัตรู มีแต่นางอยู่อย่างเดียวดาย ไม่สามารถทำอะไรได้
“เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้วล่ะ”
เสียงของเฉิงผิงดังขึ้นข้างหู
เหตุใดถึงผิด เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขา คนงานหนุ่มเองก็หันไปมองเขาเช่นกัน
“เหตุใดถึงผิด ไม่ใช่ว่าควรจะหยุดยั้งอีกฝ่ายหรอกหรือ จะยืนมองปล่อยให้ผู้อื่นกลั่นแกล้งอย่างนั้นหรือ” เขาถาม
เฉิงผิงลูบคางแล้วหัวเราะออกมา
“พูดอย่างไรดีล่ะ” เขาเอ่ย ยืดสองแขนออกมาจากชายเสื้อพลางคลำเหรียญสามเหรียญในมือ “อย่างเช่นว่าข้าทำนายดวงชะตา ข้าทำนายได้เพียงแค่ว่าจะดีหรือจะร้าย แต่น้อยครั้งที่จะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร”
“เพราะอย่างนี้ไงเล่า เจ้าถึงไม่มีลูกค้า” คนงานที่อยู่ข้างกันส่งเสียงเยาะเย้ย
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาและเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ยิน
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่า คนชะตาขาดก็แก้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยน้ำเสียงขุ่นเคืองไม่น้อย
แก้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ แก้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่ นางมีชีวิตอยู่เพื่อทนทุกข์ทรมานต่อไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือ
พอเห็นแม่นางน้อยที่กำลังเดือดดาลอย่างไม่ปกปิด คนงานหนุ่มก็ยิ้มเยาะออกมาอย่างอดไม่ได้ เห็นไหมเล่า บอกแล้วว่าเจ้าหมอนี่ทำการค้าไม่เป็น ไม่มีหัวการค้าเอาเสียเลย พอมีลูกค้าเข้าหน่อยก็มีแต่จะเรื่องพาลให้ตัวเองเจ็บตัว
คนดูดวงก็คือคนใช้ปากทำมาหากิน ก็ต้องหัดปากหวานเสียหน่อย
“ข้าหมายความว่า ถามคนอื่นไม่สู้ถามตัวเอง” เฉิงผิงพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าถามว่าข้าจะทำเช่นไร ความจริงแล้วเจ้าถามตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“ถามตัวเจ้าเองก่อน ว่าเหตุใดถึงได้ถูกคนผู้นั้นทำร้าย” เฉิงผิงถาม
เหตุใดถึงถูกทำร้ายอย่างนั้นหรือ เหตุใดตระกูลเฉิงถึงโดนตระกูลหยางทำร้ายน่ะหรือ เฉิงเจียวเหนียงกำหมัดแน่น
แน่นอนว่านางนั้นรู้ดี เรื่องราวบนโลกล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์
เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดท่านถึงเป็นคนดีเช่นนี้…
เพราะพวกเราดีเกินไป จึงได้ถูกฆ่าอย่างนั้นหรือ
ตระกูลเฉิงดีเกินไป เป็นภัยคุกคามต่อตระกูลหยางจึงไม่อาจปล่อยไปได้อย่างนั้นหรือ
ไม่ว่าคนหรือตระกูลใดบนโลกนี้ก็อยากจะได้ดีทั้งนั้นมิใช่หรือ จะมีใครที่ไหนอยากจะตกระกำลำบากไปตลอดชีวิตกัน
เพราะดีเกินไปจึงถูกทำร้าย แล้วตระกูลเฉิงต้องร้ายอย่างนั้นหรือถึงจะพ้นภัย
ไม่มีทาง! เหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า!
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า กำหมัดแน่น
“อีกอย่างตอนนี้เจ้ากำลังถามถึงคนที่ทำร้ายเจ้า แต่ไม่ถามว่าเรื่องอะไรทำให้เขาทำร้ายเจ้า” เฉิงผิงลูบคางพลางส่ายหน้า ไม่ได้สนใจนางเลยสักนิด ก่อนเขาจะเริ่มพูดต่อ
คนอย่างนั้นหรือ เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา แววตาที่นิ่งสนิทดั่งผิวน้ำก็กระเพื่อมไหวขึ้นมา
“ชีวิตคนเรา ชีวิตคนเรา คนมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ก็หนีไม่พ้นคน หากไม่มีคนหนึ่ง ก็ย่อมมีอีกคนหนึ่งอยู่ดี” เฉิงผิงเอ่ย “ห้ามคนอื่นไม่ได้ สู้ห้ามตัวเองยังจะดีกว่า”
“หมายความว่าให้ปล่อยคนผู้นั้นไปอย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหน้า
ไม่ ไม่ ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปแน่นอน ตระกูลหยาง ไม่มีทาง…
“เรื่องที่เจ้าถูกทำร้ายนั้นยังไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่” เฉิงผิงเอ่ยขึ้นพลางถูมือไปมา
เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่… จะเรียกว่ายังไม่เกิดก็ว่าได้
“วันหน้าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย อีกแสนไกลในวันหน้า
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเจ้าฆ่าคนที่คิดจะทำร้ายเจ้าจนหมดสิ้นแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีคนอื่นอีก” เฉิงผิงถามนาง
คนอื่นอย่างนั้นหรือ
“ตัวอย่างเช่นบนถนนสายนี้” เฉิงผิงยกนิ้วชี้ไปบนถนน “เจ้าเดินไปเรื่อยๆ แล้วเจอคลอง แล้วก็เจองูตัวหนึ่ง เจ้าถมคลองนั่น แล้วเหยียบงูตัวนั้นให้ตาย แล้วเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าชั่วชีวิตของเจ้าจะไม่เจอคลอง หรือว่างูเช่นนั้นอีก”
เฉิงเจียวเหนียงสติหลุดลอยไป
เช่นนั้นแล้ว…
“เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าต้องตามหา ต้องหยุดยั้งนั้น ไม่ใช่คนที่ทำร้ายเจ้า แต่เป็นเรื่อง เรื่องอะไรที่เป็นเหตุให้เจ้าถูกทำร้าย” เฉิงผิงเอ่ย “เพราะหากไม่มีคนผู้นั้นแล้ว ก็ยังมีคนอื่นอีกมากมาย”
เป็นเช่นนั้นหรือ
โชคชะตานี้อย่างไรก็หนีไม่พ้นอย่างนั้นหรือ แม้นางจะฆ่าล้างตระกูลหยางแล้ว อีกสามร้อยปีข้างหน้าก็จะมีตระกูลจู ตระกูลหนิว มาฆ่าล้างตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ แม้ตระกูลเฉิงของนางจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ก็ไม่อาจรอดพ้นจากความเจ็บปวดนี้ได้อย่างนั้นหรือ
แข็งแกร่ง เมื่อใดกันที่ความแข็งแกร่งกลายเป็นความผิดบาป
ความแข็งแกร่งมิใช่ความผิดบาป
“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร…” นางกัดฟันถาม
“ก็ต้องทำให้ตัวเองร้ายกาจยิ่งขึ้นน่ะสิ” เฉิงผิงเอ่ยพลางยักไหล่ก่อนจะถูมือไปมา “เปลี่ยนไปจนพวกคนที่คิดจะทำร้ายเจ้ากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะคิด”
แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม! เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเฉิงผิง
ในเมื่อท่านบรรพบุรุษคิดเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมไม่ต้องเกรงกลัวที่จะแข็งแกร่งจนถูกคนปองร้ายอีกต่อไป!
ไม่ผิดแน่ พวกนางไม่ได้ถูกทำร้ายเพราะความแข็งแกร่ง แต่เพราะแข็งแกร่งไม่พอต่างหาก แข็งแกร่งไม่พอที่คนจะเกรงกลัว
คนเราก็เป็นเสียแบบนี้ สิ่งใดที่อยู่ไกลตัว สิ่งใดที่สูงเกินเอื้อม ก็ยกย่องจนไม่ลืมหูลืมตา แต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว กลับรู้สึกว่าไร้ค่าเสียเหลือเกิน
ต้องทำให้ตระกูลเฉิงแข็งแกร่ง แข็งแกร่งมากกว่านี้ จนตระกูลหยางไม่กล้าแม้แต่จะคิดทำร้ายพวกนาง
“ใต้เท้า…” เฉิงเจียวเหนียงโน้มตัวไปข้างหน้า ยื่นมือออกมายันโต๊ะไว้ มองเฉิงผิงด้วยแววตาตื่นตระหนก “ใต้เท้า ได้โปรดทำให้สำเร็จด้วยเถิด ท่านจะต้องเก่งกาจขึ้นอย่างแน่นอน ท่านจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน…”
บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เฉิงเผิงตกใจจนผงะถอยหลัง
เหตุใดถึงกลายเป็นเขาไปได้เล่า!
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” เขาโบกไม้โบกมือในทันใด “ไม่ใช่ข้า เจ้าต่างหาก เจ้าต่างหาก”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า นางแทบจะคุกเข่าหมอบกราบลงกับพื้น
“ไม่ ไม่ ข้านั้นไร้ค่า เป็นท่าน เป็นท่าน มีเพียงท่านที่ช่วยพวกเขาได้ และช่วยพวกข้าได้” นางเอ่ยน้ำตานอง
นึกถึงแผลเก่าในใจอีกแล้วสินะ…
“เจ้าลองคิดดู เรื่องที่เจ้ารู้ ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องของเจ้า จะเกี่ยวกับข้าได้อย่างไร” เฉิงผิงเอ่ยอย่างระมัดระวัง
เมื่อสิ้นเสียง ปั้นฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว
“อะไรของเจ้า! ตอบตกลงไปไม่ได้เลยหรือ ตอบไปตามน้ำมันยากขนาดนั้นเชียวหรือ” นางตะโกนลั่นด้วยความโมโห
“แต่ว่า แต่ว่า บัณฑิตจะรับปากสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” เฉิงผิงเอ่ย
ใครคนหนึ่งเอื้อมมือมาตบหัวเขา
“เจ้าน่ะหรือบัณทิต ยังอยากดูดวงดูฮวงจุ้ยหากินอยู่หรือไม่” พ่อบ้านเฉาถลึงตาตวาดใส่
เฉิงผิงพยักหน้าอย่างจนใจ
“ได้ ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามแข็งแกร่งขึ้น” เขาบอกกับเฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงคุกเข่าหมอบกราบหัวจรดพื้น
“ขอบพระคุณ…ใต้เท้า” นางเอ่ยเสียงสะอื้น “ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ท่านต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน หากท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ข้าก็จะทำ ท่านอยากได้เงินหรือไม่ ข้าจะเอาเงินมาให้ท่าน เงินทั้งหมด ท่านอยากได้เท่าไหร่ ข้าจะไปหามาให้ท่าน…”
เสียสติไปแล้วจริงๆ
“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง” เฉิงผิงฝืนยิ้มออกมา ก่อนจะยกมือปราบ “เจ้าลุกขึ้นก่อน เจ้ากลับไปก่อน กลับไปแล้วค่อยคุยกัน”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงหนักแน่น
ปั้นฉินค่อยๆ พยุงเฉิงเจียวเหนียงให้ลุกขึ้น พ่อบ้านเฉาและเหล่าผู้ติดตามตวาดไล่ผู้คนที่มามุงดู ก่อนจะแยกย้ายกันออกไปตามถนน
เฉิงผิงและคนงานหนุ่มถอนหายใจแล้วปาดเหงื่อพร้อมกัน
“ที่แท้เป็นคนบ้าหรอกหรือนี่…” คนงานหนุ่มเอ่ย
เฉิงผิงส่ายหน้า ทว่าในใจมีแต่ความหวาดกลัวเหลือล้น
“ถึงจะเป็นคนบ้า ก็เป็นคนบ้าที่เก่งกาจนัก” เขาเอ่ยพลางมองแผ่นหลังของหญิงสาวท่ามกลามฝูงชน
เฉิงเจียวเหนียงเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ไม่ต้องให้ปั้นฉินช่วยประคอง นางเดินออกไปอย่างเชื่องช้า แววตาไร้อารมณ์นั้นไม่ไขว้เขวกับสิ่งใด
กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังพากันหัวเราะขบขันชี้นิ้วไม่หยุด ผู้คนต่างหัวเราะที่คนบ้าผู้นี้พูดจาเพ้อเจ้อ แต่คงไม่มีผู้ใดรู้ว่าน้ำตาแห่งความเจ็บปวดทรมานนี้มาจากเรื่องจริง
ไม่มีผู้ใดรู้