พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 40 เสวียนเมี่ยว
เมื่อถึงกลางเดือนกรกฎาคม เจียงโจวเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงเริ่มเย็นลง ฝนตกชุกโดยทั่วไป เขาเสวียนเมี่ยวที่อยู่นอกเมืองเจียงโจวถูกปกคลุมไปด้วยหมอกฝนและป่าเขียวขจี โดยมีวัดเต๋าสองแห่งซ่อนตัวอยู่บริเวณตีนเขา
เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น เมื่อมีภูเขาอยู่ที่ใดก็ย่อมมีเซียนสถิตอยู่ที่นั่น เขาเสวียนเมี่ยวก็มีวัดเสวียนเมี่ยว แต่เมื่อพูดถึงวัดเสวียนเมี่ยวทั้งสองแห่งนั้น กลับมีขนาดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์จิน ตัววัดประกอบด้วยประตูทางเข้าสองบาน วิหารสามหลัง และเวทีการแสดงหลังหนึ่ง ส่วนวัดเสวียนเมี่ยวน้อยตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นเขา สร้างขึ้นตามแนวภูเขา มีประตูทางเข้าหนึ่งบานและวิหารเพียงหนึ่งหลังเท่านั้น ถึงจะเล็กและแสนคับแคบ แต่วิวทิวทัศน์นั้นสวยงามตระการตา
แต่สิ่งหนึ่งที่สองวัดนั้นเหมือนกันคือ ทั้งสองเป็นวัดเต๋าสำหรับนักบวชหญิงเท่านั้น วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่มีเจ้าอาวาสหญิงและเซียนหญิงอีกห้ารูป ในขณะที่วัดเสวียนเมี่ยวน้อยมีเพียงเจ้าอาวาสหญิงอาศัยอยู่เพียงรูปเดียว ซึ่งไม่กี่ปีก่อนนางเพิ่งจะรับอุปการะเด็กกำพร้าไว้สองคน
แม้ว่าเขาเสวียนเมี่ยวจะสวยงามเพียงใด แต่ก็ไม่ได้เป็นภูเขาหรือจุดชมวิวทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงมากนัก อันที่จริงหุบเขาแห่งนี้มีวัดเต๋าเพียงแห่งเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่นี่กลับมีถึงสองแห่ง เหล่าผู้คนที่เดินทางมาจุดธูปอธิษฐาน ต่างรู้กันดีว่าหนึ่งในวัดเต๋า ณ เขาเสวียนเมี่ยวนี้มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก
หญิงแก่ร่างท้วม ตัวเตี้ย ผิวคล้ำ รีบวิ่งเข้ามาในประตูวัด เมื่อเห็นเซียนหญิงเดินผ่านตรงทางเดิน ดวงตาของนางแดงก่ำไปด้วยความโกรธราวกับกำลังเจอศัตรู
“นังเซียนไร้ยางอายสิ้นดี ข้าจะตี… ” หญิงแก่วิ่งเข้ามาพลางตะโกน
ทว่าใบหน้าของเซียนหญิงกลับดูนิ่งสงบ เห็นได้ชัดว่านี่คงเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
“ที่นี่วัดเสวียนเมี่ยวใหญ่นะโยม” นางโน้มตัวเคารพแล้วเอ่ย “โยมกำลังมองหาวัดเสวียนเมี่ยวน้อยอยู่ใช่หรือไม่”
หมัดที่กำลังจะพุ่งเข้าหาศีรษะของเซียนหญิงหยุดลง หญิงแก่หอบหายใจหนัก เบิกตาโพรง
“พวกเจ้าก็เหมือนกันทั้งนั้น!” นางพูดจบก็หันหลังวิ่งออกไป
เซียนหญิงมองตามหลังของหญิงแก่และฝืนใจยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปเห็นเซียนหญิงอีกนางหนึ่งอายุราวสี่สิบกว่าปีเดินออกจากวิหาร นางจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสดงความเคารพ
“เจ้าอาวาสเจ้าคะ” นางกล่าว
เจ้าอาวาสพยักหน้า
“เจ้าอาวาสเจ้าคะ หากปล่อยให้วัดเสวียนเมี่ยวน้อยทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงที่เราสั่งสมมาคงต้องหมดไปเป็นแน่เจ้าค่ะ” เซียนหญิงยิ้มเอ่ยอย่างขมขื่น
เจ้าอาวาสถอนหายใจ
“แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า นั่นเป็นวัดที่ตระกูลเฉิงอุปถัมภ์อยู่ ไม่ได้สร้างจากแรงศรัทธาของผู้คน และอีกอย่างตระกูลเฉิงก็ยังคอยหนุนหลังอีก ข้าจนปัญญาจริงๆ” เจ้าอาวาสกล่าว นางยืนบนทางเดินแล้วมองไปทางภูเขาอีกฟากหนึ่ง “น่าเสียดายที่ผืนงามแห่งนั้นยิ่งนัก”
ทันใดนั้นสายฟ้าฟาดก็ผ่ากลางท้องฟ้า เซียนหญิงตกใจจนต้องอุดหู
“ช่วงนี้ฝนฟ้าคะนองบ่อยนะเจ้าคะ” นางกล่าว
“จะปีไหนก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ” เจ้าอาวาสพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าไป
เซียนหญิงเหลือบตามองไปยังวัดเต๋าที่โผล่ให้เห็นเพียงครึ่งจากอีกฝั่งเขาหนึ่ง
“ฟ้าผ่าเช่นนี้ทุกปี เหตุใดถึงไม่ผ่าไปที่วัดแห่งนั้นบ้างเล่า” นางเอ่ยพึมพำ
“ที่แห่งนี้สร้างขึ้นโดยท่านปู่เกา เพื่อสวดภาวนาให้แก่ภรรยา เขาได้อัญเชิญเซียนหญิงจากเขาชิงเฉิงมาเป็นเจ้าอาวาส ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นตามที่คิดไว้” สาวใช้กล่าว “วัดแห่งนี้ขลังกว่าวัดใหญ่ที่อยู่ตีนเขาเสียอีก ผู้คนจึงลืมชื่อที่แท้จริงของวัดนั้น แล้วเรียกรวมๆ ว่าวัดเสวียนเมี่ยวน้อย”
สายลมปนเม็ดฝนทำให้อากาศหนาวเย็น นางเอื้อมมือออกไปดึงหน้าต่างให้เปิดขึ้น ก้อนเมฆที่ถูกลมพัดราวกับอีกาสีเขียวอมน้ำเงินเข้มที่นิ่งสงบ เผยให้เห็นเงาของคนที่อยู่ด้านหลังเด่นชัดขึ้น
สาวใช้เปิดม่านขึ้นก่อนจะเดินไปดูเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ เหมือนเช่นเคย ขณะที่อ่านหนังสือ มืออีกข้างก็ค่อยๆ ขีดเขียนไปมาบนโต๊ะไม้เตี้ยไปด้วย
ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน เพราะหากเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว มือข้างที่นายหญิงเขียนหนังสือขยับได้คล่องแคล่วกว่าเดิมมาก
เขียนได้เพียงหนึ่งแถวเท่านั้น เฉิงเจียวเหนียงก็หยุดมือลง
“บัดนี้เซียนหญิงจากเขาชิงเฉิงไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสแล้วหรือ” นางถาม
“ไม่ใช่แล้วเจ้าค่ะ นั่นมันเรื่องเมื่อร้อยปีก่อนแล้ว ป่านนี้คงเป็นกลายเซียนจริงๆ ไปแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้หัวเราะ นางนั่งคุกเข่าลงแล้วยกน้ำให้เฉิงเจียวเหนียง “ต่อมาเซียนหญิงมรณภาพ แต่เชิญผู้ใดมารับตำแหน่งนี้ไม่ได้เสียที กอปรกับตระกูลเฉิงตอนนั้นกำลังขุดคลองเก็บน้ำ ทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมาก วัดเต๋าแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้าง ครั้นเมื่อนายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ จึงได้บูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ เจ้าอาวาสคนปัจจุบันจึงเป็นคนของตระกูลเฉิง ซึ่งเป็นหญิงสาวจากตระกูลหนานเฉิง ที่ตั้งใจใฝ่พระธรรม ดังนั้นนางจึงมาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง วันนั้นที่นางเดินทางมาถึง ก็มีเจ้าอาวาสมาให้การต้อนรับ แต่เนื่องด้วยเจ้าอาวาสง่วนอยู่กับการคุยกับแม่บ้าน จึงไม่ได้เดินตามนางมา เฉิงเจียวเหนียงกวาดตามองเพียงเสี้ยววินาทีก็รู้ว่านางน่าจะอายุราวสามสิบสี่ถึงสามสิบห้าปีได้ แม้รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่ดีนัก แต่ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายงดงาม
ความคิดในหัวของนางสับสนปนเปไปหมด
“อืม” เฉิงเจียวเหนียงพูดเพียงเท่านี้
หลังจากได้ยินนายหญิงตอบกลับ สาวใช้จึงกล้าที่จะพูดต่อ
“นายหญิงอยากทานของว่างหรือไม่เจ้าคะ เชิงเขามีส้มเขียวหวานขาย ข้าเลยซื้อมากำหนึ่งเจ้าค่ะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงถือหนังสือไว้ในมือ แล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่
สาวใช้รู้ว่านางกำลังคิดอยู่ จึงเงียบเช่นกัน
“ใช้น้ำเชื่อมสิ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
อาหารที่นายหญิงพูดออกมาแต่ละอย่าง นางล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สาวใช้ก็ไม่ได้สงสัย
“เจ้าค่ะ” สาวใช้พูดด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงบอกข้าได้เลยเจ้าค่ะ ว่าต้องทำอย่างไร”
วัดเสวียนเมี่ยวน้อยสร้างขึ้นตามแนวภูเขา พื้นที่จึงค่อนข้างจำกัด นอกจากประตูวัดและวิหารแล้ว มีเพียงห้องปีกซ้ายกับปีกขวาที่กั้นด้วยประตูอุโมงค์ทรงโค้งสองบานเท่านั้น เจ้าอาวาสและเด็กหญิงสองคนอาศัยอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนเฉิงเจียวเหนียงกับสาวใช้อาศัยอยู่ก็อาศัยอยู่อีกห้องหนึ่ง แต่ละฝั่งต่างมีเตาไฟเป็นของตัวเอง ไม่ได้รบกวนกัน
ยามสาวใช้เดินผ่านอีกฟากหนึ่งก็เห็นเด็กหญิงสองคนกำลังยืนตากฝนทำความสะอาดตรงบริเวณหัวจ่ายน้ำที่เต็มไปด้วยวัชพืชและใบไม้ที่เหี่ยวเฉา ทั้งสองสวมใส่เสื้อคลุมที่ดัดแปลงจากเสื้อผ้าเก่า ร่างเปียกโชกของพวกนางแลดูผอมโซเป็นอย่างมาก
“เหตุใดถึงไม่กางร่มล่ะ” นางอดถามไม่ได้
เสียงที่ดังขึ้นทำให้เด็กๆ ตกใจ พวกนางลุกขึ้นอย่างหวาดระแวง แล้วมองไปยังสาวใช้ที่เดินถือร่มอยู่ เด็กหญิงทั้งสองไม่กล้าแม้แต่ออกเสียงพูด
“ฝนตกไม่หนัก แต่เด็กสองคนนี้เกียจคร้านนัก จึงทำงานไม่เสร็จเสียที” เสียงของหญิงนางหนึ่งดังออกมาจากข้างในห้อง ก่อนร่างของคนจะก้าวเดินออกมา
เจ้าอาวาสมองหน้าเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“ยังไม่ไปจุดไฟ ทำอาหารอีก!” นางตะหวาด
เด็กทั้งสองวิ่งออกไปอย่างตื่นตระหนก
เจ้าอาวาสมองตามเด็กหญิงทั้งสองอีกครั้งแล้วหัวเราะออกมา
“แม่นางมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ” นางถาม
“ข้าจะมาขอยืมน้ำตาลก้อนสักสองสามก้อน” สาวใช้กล่าว นางรู้สึกไม่สบายใจกับรอยยิ้มของเจ้าอาวาสนัก “ยืมอะไรกัน พวกเราเป็นคนของตระกูลเฉิงเหมือนกัน” เจ้าอาวาสยิ้มก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปหยิบน้ำตาลก้อนออกมาสองสามก้อน
สาวใช้กล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไป นางถือร่มมองทางก่อนจะเดินชนกับใครบางคนเข้าที่ประตูลานวัดโดยไม่รู้ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าเป็นชายร่างใหญ่ สวมเสื้อคลุมและงอบอยู่
หญิงสาวตกใจแทบผงะหงาย
ที่นี่เป็นวัดเซียนหญิง มีผู้ชายเข้ามาได้อย่างไรกัน!
“เขาเป็นคนขายฟืน มาได้สักทีนะ เหตุใดเมื่อวานถึงไม่มาส่งฟืนเล่า” เจ้าอาวาสกล่าวหลังจากนั้น
ขายฟืนอย่างนั้นหรือ สาวใช้ก้มหน้า นางรู้สึกเหมือนมีสายตากำลังจ้องมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจาบจ้วง นางจึงรีบเดินจากไป
“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเซียนหญิงว่าอากาศไม่ดี ฟืนของเมื่อวานไม่มีแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเอามาส่งให้แน่นอน”
น้ำเสียงหยาบกระด้างของชายผู้นั้นดังมาจากด้านหลัง นางรีบปิดประตูเดินมาถึงเรือนฝั่งของตน ทำให้ไม่ได้ยินเสียงจากด้านนอกอีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าประตูปิดลง ชายผู้นั้นถึงจะละสายตา แล้วจึงส่งสายตายิ้มแย้มให้แก่เจ้าอาวาส
“ต้องจ้องมองขนาดนั้นเลยหรือ” เจ้าอาวาสกล่าว พร้อมกับพิงประตู ใบหน้าของนางดูเหนื่อยหน่ายแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวน ไม่เหมือนกับนักบวชที่ใฝ่ทางธรรมเลยสักนิด
ชายผู้นั้นหัวเราะแก้เก้อก่อนจะยื่นมือเข้ามาโอบกอดเจ้าอาวาส
“ก็แค่สาว แต่ไม่สวย” เขากล่าว
เจ้าอาวาสเบ้ปาก
“นั่นคือนายหญิงที่ถูกส่งมาหรือ” ชายคนนั้นถาม “ข้าได้ยินว่าจะมีนายหญิงมาอยู่ จึงรีบแวะมาก่อน กลัวว่าวันหน้าหากอยากเจอเจ้าอีก คงไม่สะดวกแล้ว”
“นายหญิงผู้นั้นเป็นคนบ้า นั่นคือสาวใช้ของนาง” เจ้าอาวาสยิ้มเอ่ย ก่อนจะกลับหลังเดินเข้าห้องไป “มีอะไรไม่สะดวกเล่า เจ้าไม่อยากมาก็พูดมาเถอะ”
ชายผู้นั้นยิ้มเจื่อนแล้วเดินตามเข้าไป พร้อมกับปิดประตู
“สาวใช้นางนั้นขี้เหร่ไปหน่อย… สู้เด็กสองคนที่เจ้าเลี้ยงยังไม่ได้เลย… “
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้อะไร รอไปก่อน ยังเด็กเกินไป … ”
เสียงหัวเราะของชายหญิงดังออกมาจากทางหน้าต่าง เด็กทั้งสองคนที่อยู่ในห้องครัวต่างก้มหน้า กอดเข่าตัวสั่น แม้ว่าไฟจากเตาจะถูกจุดจนลุกไหม้ แต่ดูเหมือนว่าไม่สามารถปัดเป่าความหนาวเย็นออกไปจากเด็กหญิงทั้งสองได้เลย
………………………………………………………………….