พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 401 เกิดเรื่อง
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
ในหัวทุกคนเต็มไปด้วยคำถาม
เวลานี้ เหล่าชายหนุ่มเดินทางออกจากบ้านที่แสนอบอุ่น กลิ่นเหล้าที่ดื่มกันไปเมื่อคืนนั้นค่อยๆ จางลง สวีเม่าซิวที่ยืนอยู่บนยอดป้อมปราการ กำลังมองไปยังกองทัพของศัตรูที่อยู่เบื้องล่าง
ธงหลากสีที่ประทับตัวอักษรประหลาดถูกชูขึ้น ภาพเหล่านี้ สำหรับพวกทหารชายแดนแล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
นั่นคือกองทัพทหารพิเศษของพวกจอมโจรตะวันตก
“ที่แท้ก็ศัตรูหน้าเดิมๆ” สวีปั้งฉุยพ่นคำออกมา ใบหน้าที่เปื้อนรอยเลือดรอยดินของพวกมันดูแล้วช่างน่าขันยิ่งนัก จนเขาอดหัวเราะไม่ได้ “ในที่สุดก็ได้มีโอกาสประจันหน้ากันเสียที”
นั่นสินะ ได้ประจันหน้ากันเสียที
ถ้าเป็นเมื่อก่อน กองทัพพิเศษเช่นนี้ไม่มีทางหลุดมาถึงมือพวกเขาอยู่แล้ว
สวีเม่าซิวสีหน้าเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เอ่ยต่อ พลางยืนนับเหล่าทหารของฝ่ายศัตรูอย่างเงียบๆ
จำนวนกองพลทหารของฝั่งนั้นแลดูหนาแน่นและกว้างใหญ่เหมือนคลื่นทะเลที่นับไม่ถ้วนทั่ว นอกจากแม่ทัพแล้ว ยังมีทหารม้าชุดใหญ่วิ่งไปมา เสียงเกือกม้านั้นดังสนั่นหวั่นไหวราวกับเสียงฟ้าผ่า ราวกับพายุฝนกำลังคืบคลานเข้ามา
นับไม่ไหวอย่างไร ก็ต้องนับต่อไป
สวีเม่าซิวทนนับต่อไปจนครบถ้วน
“เท่าไหร่” ฟ่านเจียงหลินถาม
“หกพัน” สวีเม่าซิวตอบ
สิ้นคำตอบของสวีเม่าซิว สีหน้าทุกคนก็เริ่มเปลี่ยน
“บัดซบ! ไหนเจ้าแซ่จ้าวนั่นบอกให้พวกเราล้อมไว้จากด้านหลัง แล้วบุกโจมตีพวกโจรตะวันตกทันที กลายเป็นว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่จะโดนโจมตีกะทันหัน! เจ้านั่นได้สายข่าวจากที่ใดมาหรือ เหตุใดกองกำลังหลักของพวกมันมาอยู่ตรงนี้หมด!” แม่ทัพตะโกนขึ้นพร้อมกับเดินไปเดินมาและตะโกนอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่! เจ้านั่นมันต้องการวางกับดักพวกเราหรืออย่างไร! เหตุใดกองกำลังหลักของพวกมันถึงได้มาอยู่ตรงนี้!”
“นายท่าน” สวีเม่าซิวตะโกนตอบ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถกเรื่องนี้ แต่เราต้องหาวิธีถอยกำลังก่อนขอรับ”
แม่ทัพหยุดฝีเท้า มองไปยังปราการที่อยู่ด้านหลัง นอกจากองกำลังทหารร้อยรายที่เขาพามาแล้ว ในปราการยังมีทหารจำนวนไม่ถึงพันนาย นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านอีกสองร้อยชีวิต ทั้งหมดก็ประมาณเกือบสองพันคน เมื่อคิดเทียบกับจำนวนทหารของฝั่งตรงข้ามแล้ว สีหน้าของแม่ทัพก็เริ่มไม่สู้ดีนัก
“จุดคบเพลิงแล้วหรือยัง” เขาถาม
ผู้ติดตามด้านหลังขานรับว่าได้จุดคบเพลิงแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราถอยกำลังก่อน” แม่ทัพเอ่ย
“นายท่าน แต่ถ้าถอยตอนนี้ เกรงว่าพวกกองที่อยู่ท้ายๆ จะเตรียมตัวไม่ทันนะขอรับ” สวีเม่าซิวเตือน
จุดนี้คือปราการที่อันตรายที่สุดที่จะเข้ามายังเมืองหลงกู่ ถ้าผ่านจุดนี้เข้ามาได้ก็จะเป็นเส้นทางตรงยาว เมื่อมาคิดดูแล้ว อาจเป็นช่องโหว่ให้ศัตรูบุกโจมตีกองกำลังที่ถูกสั่งให้รับมือศัตรูอีกฟากได้
แม่ทัพรู้ดีว่าจะต้องเจอกับอะไร แต่ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ก็คงไม่ได้การ
“นี่เป็นหายนะที่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของจ้าวเฉิง” เขากัดฟันเอ่ย อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดนี้ เขาจะไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวด้วยอย่างแน่นอน
สวีเม่าซิวนิ่งไปสักพัก
“นายท่าน พวกเราลองต้านทานกำลังทหารพวกมันสักช่วงหนึ่งไปก่อน แล้วให้คนส่งสารรีบแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ ในเมื่อคบเพลิงก็จุดแล้ว ข้าว่ามีเวลาเหลือพอที่จะให้กองทหารของแม่ทัพจ้าวเตรียมตัวได้บ้าง” สวีเม่าซิวเสนอความเห็น เขาก้าวไปด้านหน้า พลางชี้นิ้วไปที่นอกเมือง “พวกเราถอยทัพไปยังตัวเมือง ถ้าหากเรารบกับพวกมันตรงแนวตัวเมือง เราอาจจะได้เปรียบกว่าพวกมัน”
เป็นอย่างที่เขาว่า จุดแข็งของทหารตะวันตกเฉียงเหนือก็คือถนัดรบในเมือง ต่างกับพวกโจรตะวันตกที่ขี่ม้าไปมา
การรบครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสในการสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เสมือนว่าเป็นการปกป้องใต้เท้าจูแห่งเมืองหลงกู่…
นัยน์ตาของแม่ทัพเริ่มมีประกายแห่งความหวัง
“จริงด้วย ในปีนั้นใต้เท้าจูสามารถนำทัพกว่าสองพันนายปกป้องเมืองหลงกู่ ทำไมพวกเราจะทำไม่ได้!” แม่ทัพเอ่ยเสียงดัง “อีกอย่างพวกเราแค่ต้องใช้เวลาเพียงชั่วยามในการป้องกันเมือง แม้ว่าคนของเราจะน้อย แต่เราก็ต้องทำให้พวกโจรตะวันตกได้รู้ว่าพวกมันไม่ควรมาหยามกับคนของเราและเมืองของเรา!”
…
“นายท่าน นายท่าน!”
หลิวขุยที่ประจำอยู่ทางทิศเหนือของเมือง กำลังตาลีตาเหลือกวิ่งเข้ามาทางแม่ทัพ
“นายท่านได้เตรียมกำลังเสริมแล้วใช่ไหมขอรับ”
แม่ทัพดึงหน้าตึงใส่เขา
“กำลังเสริมอันใดกัน! รีบไปตั้งทัพในเมืองเดี๋ยวนี้!” แม่ทัพตะโกน
“นายท่าน พวกฟางซื่อจิ้นเขา…” หลิวขุยรีบแย้ง
“พวกเขา พวกเขาจุดไฟแล้ว เจ้ายังไม่รีบอีก” แม่ทัพถอนหายใจแล้วสะบัดแขนเสื้อเบือนหน้าหนี
หลิวขุยมองที่แผ่นหลังของแม่ทัพอย่างกระวนกระวาย
“ข้าจะจับตาดูพวกเขาเอง ข้าจะจับตาดูพวกเขาเอง ข้าจะไม่ให้พวกเขาหนีไปไหน!” เขากัดฟันพึมพำ แล้ววิ่งออกไป
“ข้าว่าพวกเขาคงไม่หนีหรอก”
ขณะเดียวกัน ท่านชายโจวหกลุกยืนแล้วพูดขึ้นในกระโจมค่ายทหาร
สายตาทุกคนจับจ้องไปที่เขา
แม่ทัพบางคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขากำลังชักสีหน้าใส่
“นั่งลงก่อน ท่านชายโจวหก” แม่ทัพที่นั่งอยู่ตรงนั้นเอ่ยกระซิบกับท่านชายโจวหก
เขาเริ่มคลี่ยิ้ม
“นี่คือท่านชายเล็กของตระกูลโจวสินะ ไม่เลวเลย” เขาหัวเราะ “ท่านว่ามา”
“ข้าคิดว่าพวกฟางซื่อจิ้นไม่ถอยทัพออกไปแน่ๆ” ท่านชายโจวหกอธิบายพลางสูดหายใจลึก แล้วชี้นิ้วไปยังแอ่งกระทะในทะเลทราย “จุดนี้ไม่ใช่ระยะที่จะเห็นสัญญาณคบเพลิง เรื่องนี้พวกโจรตะวันตกรู้ดี ฟางซื่อจิ้นเองก็รู้ดี ดังนั้นพวกเขาจะต้องถ่วงเวลาเพื่อปกป้องเมือง”
“แต่คนส่งสารบอกว่าพวกทหารของศัตรูมีทั้งหมดสี่พันกว่านาย แต่พวกเขามีทหารไม่ถึงสองพันนาย” แม่ทัพอีกคนหนึ่งกล่าว
ท่านชายโจวหกยืดอกขึ้น
“พวกเราไม่เคยกลัวจำนวนศัตรูที่เยอะกว่า” เขาพูด
พวกทหารที่อยากจะคว้าโอกาสนี้กอบกู้เกียรติยศของตน เดิมทีคงจะไม่ได้สนจำนวนของศัตรูที่มีเยอะกว่า เพราะนี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญ พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ศัตรูหลุดมือไป! ไม่ปล่อยให้หลุดมือเป็นอันขาด! ต้องต้านทานเอาไว้ให้ได้!
ท่านโจวหกโบกกำปั้นแน่น
คันธนูและลูกธนูถูกยิงขึ้นหลายครั้งราวกับสายฝน ทหารด่านหน้าทั้งหกนายเปิดการโจมตีอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฝนลูกธนูถูกยิงจนทะลุเกราะ เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“ทักษะการยิงธนูของเม่าหยวนซานไม่เลวเลย…” ฟางซื่อจิ้นที่ยืนอยู่ตรงประตูเมืองเอ่ยปากชม ดูเหมือนว่าจะสามารถยื้อเวลาได้หนึ่งชั่วยามตามที่วางแผนไว้
แต่ก่อนที่ฟางซื่อจิ้นจะพูดจบ ก็มีคันศรอันแหลมคมก็พุ่งขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเขา
ทหารที่ยืนอยู่ได้เห็นภาพนั้น ก็เริ่มคว้ามีดขึ้นมากวัดแกว่ง ส่วนฟางซื่อจิ้นก็เริ่มก้าวถอยหลัง คันศรนั้นได้ปักเข้าไปที่ขาเขาจนล้มลงกับพื้นความเจ็บปวด
ฝีมือธนูไม่เลวนี่!
สมกับเป็นกองทหารพิเศษของพวกโจรตะวันตก
เมื่อฟางซื่อจิ้นเห็นกองทหารม้าพวกโจรตะวันตกที่ส่งเสียงโห่ร้องที่ประตูเมือง ใบหน้าของเขาก็เริ่มซีดเผือด ยามมองไปที่กองทัพศัตรูอันหนาแน่นที่อยู่ไกลออกไป เหงื่อก็ไหลออกมาตามฝ่ามือ
หรือว่า หนึ่งชั่วยามจะยาวนานเกินไปเสียแล้ว..
ด้วยแรงของห่าฝนธนูจากศัตรู ทหารที่ปิดล้อมด้านล่างจึงจำต้องถอยทัพลงไป
สวีปั้งฉุยหัวเราะ
“เจ้าพวกเด็กน้อย ให้รู้ฤทธิ์ของคนรุ่นเก่าเสียบ้าง” เมื่อเขาเห็นกองศพใต้ประตูเมือง นัยน์ตาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “เกรงว่าจะมาจัดการทีหลังไม่ได้นี่สิ ต้องใช้แรงคนอีกเท่าไหร่กัน”
“ปั้งฉุย วางใจเถอะ ยังมีหัวของพวกโจรให้เจ้าตัดอีกเพียบ” ทหารอีกนายแซว
เสียงตีกลองจากเบื้องล่างดังขึ้นอีกครั้ง นั่นหมายความได้อย่างเดียว การล้อมโจมตีครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
หากโจมตีเมืองเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ จะกล้าเรียกตนเองว่ากองทัพพิเศษได้เยี่ยงไร พวกศัตรูเองคงคิดเช่นนี้ จึงกลับมาพร้อมกับการบุกที่รุนแรงมากขึ้น
เหล่าทหารถูกโจมตีด้วยลูกศรและก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาถูกโจมตีจนโงหัวไม่ขึ้น
“…ต้องยื้ออีกนานไหม” ฟ่านเจียงหลินตะโกนถาม
“ใกล้แล้ว!” สวีเม่าซิวตอบ “เหลืออีกครึ่งชั่วยาม”
ยังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วยาม
“เวลาแค่หนึ่งชั่วยามทำไมถึงผ่านไปช้าเยี่ยงนี้…” ทหารนายหนึ่งพูด
ถึงกระนั้น พวกเขาก็กำลังตอบโต้กลับด้วยการยิงธนู
“ยังมีธนูเหลืออีกไหม เอามาให้ข้า!” สวีเม่าซิวตะโกนขอ
ไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด พอสวีเม่าซิวหันกลับมาอีกที ก็พบว่า เหลือกำลังพลไม่มากนัก
แม้แต่ฟางซื่อจิ้นที่ประจำอยู่จุดนั้นเองก็ไม่อยู่แล้ว
จิตใจของเขาเริ่มหวาดกลัว
“ใต้เท้าฟางหนีไปแล้ว!” ทหารนายอื่นเมื่อได้ยินเข้า ก็เริ่มตะโกนโหวกเหวก
เกิดความวุ่นวายชั่วขณะตรงประตูเมือง
ตอนนั้นเอง มีทหารสองนายคิดจะหนีด้วย แต่พวกเขาดันถูกโจมตีด้วยหินจนสมองของพวกเขาไหลออกมา
“บ้าจริง เจ้าไก่อ่อน!” สวีปั้งฉุยตะโกนด่า
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งตกใจ ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็ไม่มีทางสู้แรงม้าของพวกโจรได้!” สวีเม่าซิวตะโกนบอก เพื่อหยุดความวุ่นวาย “พวกเรายังต้องถ่วงเวลาไว้อีก”
“เจ้าสวีคนกล้า ถามหน่อยสิว่าจะยื้อต่อด้วยวิธีใด เจ้าเบิกตาดูสิ คนของเรามีไม่พอนะ!” ทหารคนอื่นๆ ตะโกนตอบ
สวีเม่าซิวมองไปยังตัวเมืองที่เต็มไปด้วยลูกธนูและก้อนหิน
“พวกเราต้องจุดไฟเผาเมืองเสีย!” เขากล่าว
ประตูห้องเก็บของถูกพังจนล้มครืน ฝุ่นคละคลุ้งลอยในอากาศเป็นจำนวนมาก ฟ่านเจียงหลินยกมือป้องแล้วจามออกมา
“ที่นี่มีน้ำมันเก็บไว้หรือ” เขาตะโกนถาม
สวีเม่าซิวเดินเข้าไปหาน้ำมัน โดยมีทหารอีกสามคนตามมา พลางด่าฟางซื่อจิ้นไม่หยุดปาก
เนื่องจากฟางซื่อจิ้นหลบหนีไปได้ มีทหารและพลเรือนในป้อมบางส่วนได้หลบหนีตามเขาไป พวกเขาจึงค้นหาสิ่งของไม่สะดวก
“เร็วเข้า ไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นเชื้อเพลงได้หยิบมาให้หมด ไม่มีเวลาเหลือแล้ว” ฟ่านเจียงหลินเร่ง
ไม่นาน ถังน้ำมันก็ถูกเทไว้ที่ทุกประตู รวมถึงบ้านเรือนรอบๆ และตามถนนหนแห่ง
“รีบไปเร็ว” ฟ่านเจียงหลินรีบกระจายเชื้อเพลิงอย่างเร่งด่วน
ทหารบางส่วนต้านแรงของศัตรูตรงประตูเมืองไม่ไหวจึงได้ถอยออกมา ในระหว่างนั้นมีทหารสามสี่นายที่ไม่สามารถหลบหนีจากการโจมตี จึงทำร้ายและสิ้นลมคาบันไดประตูเมือง
พวกโจรตะวันตกเริ่มพังประตูเข้ามาแล้ว เสียงทุบประตูที่ดังขึ้นแต่ละครั้งนั้นช่างบีบหัวใจเสียเหลือเกิน
“จุดไฟเร็วเข้า” ฟ่านเจียงหลินตะโกน เปลวเพลิงได้ลุกโชนขึ้น ขณะนั้นเอง เขากลับเห็นสวีเม่าซิวกำลังวิ่งไปที่กำแพง
“เห้ย เหล่าซาน จะทำอะไร!” เขาตะโกนถาม
“แค่นี้ยังไม่พอ ต้องถ่วงเวลาไว้อีก ข้าจะลองดู แค่ต้องพยายามอีกนิดเดียวเท่านั้น!” สวีเม่าซิวตะโกนตอบ พลางขึ้นไปบนกำแพงเมือง แล้ววางหน้าไม้ให้กระจายรอบๆ กำแพงเมือง
ฟ่านเจียงหลินตะโกนเรียกแล้วตามเขาขึ้นไป ส่วนสวีปั้งฉุยที่ขี่ม้าออกไปแล้วนั้น เมื่อเห็นภาพเมื่อครู่ก็อดไม่ได้ที่จะตามไปด้วย
หน้าไม้ทั้งหมดถูกวางบนกำแพงเมืองเรียบร้อย
“ไปลงนรกซะพวกคนเลว!” สวีปั้งฉุยตะโกน พร้อมปล่อยสายธนูออกไป
ในขณะเดียวกัน สวีเม่าซิวก็ยิงธนูออกไป เสียงของลูกธนูที่ถูกยิงออกไปดังขึ้นพร้อมๆ กัน
เกิดเสียงครวญดังขึ้นตรงใต้ประตูเมือง และเสียงทุบประตูกลับหายไป
“รีบหนีสิ เร็วเข้า” ฟ่านเจียงหลินตะโกน
สิ้นเสียงของฟ่านเจียงหลิน สวีเม่าซิวที่ยืนอยู่ข้างๆ เขายื่นมือออกมาทั้งคว้าทั้งผลักเขา
“เกิดอันใดขึ้น” ฟ่านเจียงหลินล้มลงกับพื้นแล้วตะโกนเสียงดัง ยามเขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าสวีเม่าซิวกำลังมองมาที่เขาด้วยตาเบิกโพลง ฟ่านเจียงหลินแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้ว
“ท่านพี่สาม!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทหารที่อยู่ใกล้ๆ รีบวิ่งมาดูเหตุการณ์
สวีเม่าซิวรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวเขาช้าลง เขาก้มลงไปมองลูกธนูที่ปักบนหน้าอก ลูกธนูของพวกโจรตะวันตกนั้นช่างโหดร้าย มันแฝงไปด้วยยาพิษที่กำลังกัดกินเลือดเนื้อของเขา
คราก่อนเขาก็เคยถูกโจมตีด้วยลูกศรนี้ เขาจึงได้รู้ว่าลูกธนูนั้นถูกอาบด้วยยาพิษ
ครั้งที่แล้วก็โดน…ครั้งนี้ก็ด้วย…
สวีเม่าซิวยิ้มที่มุมปากอย่างไม่รู้ตัว
ก็แค่บาดเจ็บเอง จะรักษาไม่หายได้อย่างไรกัน
แต่จะว่าไป นี่คงเป็นโชคชะตาสินะ
โชคชะตานี้ ไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จและชื่อเสียง ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน ไม่มีก็คือไม่มี
ได้ตายในสนามรบ แค่นี้ก็เป็นเกียรติเกินพอ
“บอกนางไม่ต้องเสียใจนะ”
สวีเม่าซิวมองไปยังใบหน้าของพี่น้องร่วมสาบาน ใบหน้านั้นเริ่มจะเลือนลางขึ้นเรื่อยๆ เขาพึมพำในลำคอ ก่อนจะเอนหลังพิงกำแพงเมือง