พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 404 สิ่งที่พูด (1)
ปากทางของตรอกเฉิงฝั่งใต้มีคนยื่นหน้าออกมา คนผู้นั้นถูกเด็กน้อยคนหนึ่งกระโดดออกมาให้ตกใจยกใหญ่
“ทำอันใดน่ะ!” เสียงของเด็กตะโกนขึ้น
บ่าวรับใช้ถลึงตาโบกมือไล่
“ไปไหนก็ไปไป” เขาจงใจตวาดเสียงเหี้ยม
ทว่านึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยเหล่านั้นที่เมื่อก่อนพอเห็นพวกเขาแล้วก็ไม่กล้าแม้กระทั่งจะส่งเสียงร้องทัก กลับเก็บก้อนหินบนพื้นขึ้นมาปาใส่ บ่าวรับใช้ทำได้เพียงก่นด่าแล้วหันหลังวิ่งหนีไป
“จัดงานศพรึ” นายใหญ่เฉิงเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ขอรับ ข้าวของก็ซื้อมาพอสมควร ในบ้านต่างแขวนเครื่องรางต้นท้อ แล้ว เหล่าบ่าวรับใช้ก็ต่างคาดเอวกันหมดแล้ว” พ่อบ้านเอ่ยบอก
ฮูหยินใหญ่เฉิงโกรธเกรี้ยวจนต้องวางถ้วยชาลง
“นี่มันกำลังสาปแช่งใครกัน!” นางตะหวาด “ก่อเรื่องจนบ้านแตกสาแหรกขาดแล้วยังไม่พอ ยังจะมาสาปแช่งพวกเราให้ตายกันไปหมดอีกหรือไร”
นายใหญ่เฉิงถลึงตามองนาง
“อย่าพูดมาก” เขาบอกอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังไม่ทันจะถามให้รู้ความก็รีบร้อนหาเรื่องแล้ว ที่ผ่านมายังสูญเสียกันไม่พอใช่หรือไม่”
“ท่านหมายความว่าการสูญเสียพวกนั้นล้วนเป็นเพราะข้าหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบตะคอกสวน
คนเป็นหญิงนี่ช่างด่วนสรุปเสียจริง…
นายใหญ่เฉิงยกมือขึ้นลูบหน้าผาก
“ให้ชายสี่ไปถามดู” เขาเอ่ยบอกโดยไม่สนใจคำพูดของฮูหยินใหญ่
พ่อบ้านเอ่ยรับคำแล้วออกไป พอเดินออกมาถึงหน้าประตูเรือนก็ยังคงได้ยินเสียงโต้เถียงดังขึ้นมาจากในเรือน
“…ท่านพูดให้ชัดเจนนะ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าได้อย่างไร เป็นความผิดของพวกท่านกับบ้านนายรองแท้ๆ…”
“…ยังไม่มีใครว่าว่าเจ้าผิดเลย เจ้าร้อนตัวอันใดกัน…”
“…นี่ท่านยังมิได้ว่าว่าข้าผิดอีกหรือ! ข้าอยู่บ้านนี้ต่อไม่ได้แล้ว ข้าจะไป…”
“…เจ้าจะไปรึ เจ้าจะไปที่ใดเล่า บ้านพี่ชายพี่สะใภ้เจ้าทางนั้นยังกลับไปได้อีกรึ”
เสียงร่ำไห้พลันดังขึ้น
พ่อบ้านวิ่งหนีออกมา
ท่านชายเฉิงสี่แทบจะวิ่งไปยังบ้านของเฉิงเจียวเหนียง ของตกแต่งสีสันสดใสได้ถูกรวบรวมเอาไว้ในลานบ้านจริงๆ ส่วนปั้นฉินที่นั่งอยู่บนระเบียงก็กำลังดึงทึ้งชุดไว้ทุกข์ทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องประดับบนศีรษะของตนใหม่
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” เขาเอ่ยถาม
“บรรดาพี่ชายที่นายหญิงร่วมสาบานด้วย…” ปั้นฉินเอ่ยพลางร่ำไห้
“บรรดาท่านชายที่ปั้นฉินเคยพูดถึงนั่นหรือ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยถาม
เสื้อผ้าใหม่ที่เขาสวมใส่เมื่อเทศกาลปีใหม่ เหล่าท่านชายพวกนั้นยังไม่ทันได้สวมใส่เลย เขาพอจะได้ยินเรื่องของพวกเขามาบ้างจากปากของปั้นฉินที่เมืองหลวง
“พวกเขาเหล่านั้นเป็นพี่ชายที่นายหญิงพึ่งพามากที่สุด สนิทเสียยิ่งกว่าสนิท ยังเคยไปฆ่าหมาป่าด้วยกัน…”
ซ้ำยังเคยฆ่าคนด้วยกันอีก…
ปั้นฉินพูดถึงตรงนี้ก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาอีกครั้ง
ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีจริงๆ แล้ว…
ไม่ว่าอย่างไรไม่มีก็คือไม่มี จนถึงยามนี้นางยังรู้สึกเหมือนว่ากำลังฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น อีกประเดี๋ยวก็จะตื่นจากฝันออกมาแล้ว
“เสียสละชีพเพื่อชาติ…” หลังจากที่ท่านชายเฉิงสี่ได้ฟังก็ทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
เรื่องการบาดเจ็บล้มตายของทหารเป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงได้
“ตอนนั้นยังดีๆ อยู่แท้ๆ เหตุใดต้องรั้นจะไปด้วย อยู่ที่เมืองหลวงต่อไม่ดีหรือ” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยถาม
ปั้นฉินพลันไม่สบายใจขึ้นมา
“ท่านชายสี่ เรื่องนี้มิใช่นายหญิงของข้าเป็นคนบังคับให้พวกเขาไป นายหญิงของข้ามิใช่…” นางเอ่ยอย่างร้อนรน
กล่าวยังไม่ทันจบนางก็ชะงักไป ท่านชายเฉิงสี่ก็ชะงักไปเช่นกัน
ดังนั้น ในใจของนายหญิงยิ่งเอ่ยโทษตัวเองหนักกว่าเดิม ยิ่งเศร้าโศกทรมานมากกว่าใช่หรือไม่ หากอยู่ที่เมืองหลวงต่อละก็…
ทันใดนั้นน้ำตาของปั้นฉินก็พลั่งพลูออกมาไม่ขาดสาย
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” นางโน้มตัวกุมหน้าร้องไห้อย่างหนัก
ท่านชายเฉิงสี่ทำได้เพียงปลอบโยนนาง
“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่จริงๆ น้องสาวเป็นคนเช่นนั้นหรือไร น้องสาวย่อมทำในเรื่องที่มีคนร้องขอจึงจะทำ เป็นพวกเขา…คิดจะไปจึงได้ไปต่างหาก…ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวบนโลกนี้ มิอาจพูดคำว่าถ้าหากได้…” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยขึ้น
ปั้นฉินสะอึกสะอื้นกล่าวขอบคุณ
“น้องสาวนาง…” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดในขณะที่พูดคุยกันนี้…
“นายหญิง นายหญิงไปหาเฉิงผิงแล้วเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยบอก “ข้าเตรียมของขวัญงานศพอยู่ที่บ้านเพื่อส่งไปยังตะวันตกเฉียงเหนือ พ่อบ้านเฉาก็จะไปด้วยเช่นกัน”
เฉิงผิงเป็นผู้ใดอีก
ท่านชายเฉิงสี่คิดในใจว่าน้องสาวช่างเหมือนอยู่คนละโลกกับพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น…
พ่อบ้านเฉายืนอยู่นอกประตู มองมาด้านในคราหนึ่ง เฉิงผิงกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามเฉิงเจียวเหนียงบนระเบียง
“พอนายหญิงเจอหน้าเด็กคนนี้ทีไรก็มักจะลืมตัวเสียกิริยา…ยามนี้มาพบเขาในเวลานี้ มิใช่จะยิ่งเลวร้ายหรือ…” ผู้ติดตามคนหนึ่งกระซิบบอก
“บางทีหนามยอกแล้วใช้หนามบ่งออกก็อาจจะดีขึ้นก็เป็นได้” พ่อบ้านเฉาเอ่ยพลางมองไปยังด้านในอีกครั้ง
“สละชีพเพื่อชาติแล้วมีอันใดให้น่าเสียใจกัน” เฉิงผิงเอ่ยขึ้นแล้วหาวออกมา
หญิงผู้นี้นี่จริงๆ เลย ร้ายกาจจนสามารถก่อเรื่องให้ตระกูลเฉิงบ้านแตกสาแหรกขาดได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็กลับมีคราวที่เหมือนเด็กน้อยไม่รู้เรื่องรู้ความวิ่งตึงตังเข้ามาถามเรื่องน่าขันพวกนั้นเช่นกัน
“ข้าไม่เสียใจ” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้าเอ่ยขึ้น นางยกมือขึ้นลูบดวงตาตนเอง
จนถึงยามนี้นางก็ยังไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวให้หลั่งไหล แต่ไหนแต่ไรมาการต่อสู้ในสนามรบเรื่องความเป็นความตายไม่แน่ไม่นอน สำหรับนางแล้ว คนที่นี่ เดิมทีทุกคนล้วน…เป็นคนตาย
นางรู้สึกกลัดกลุ้มใจอยู่เล็กน้อย แต่กลัดกลุ้มอย่างแปลกประหลาด เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ดังนั้นจึงคิดอยากจะหาคนมาพูดคุยด้วย
“นี่ก็ถูกแล้ว ในเมื่อภักดีต่อชาติ มีภาระหน้าที่อันพึงปฏิบัติ มีอันใดให้น่าเสียใจกัน” เฉิงผิงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อยามนั้นไปเป็นทหาร ก็ต้องรู้ซึ้งถึงผลลัพธ์เช่นนี้”
“แต่ไม่มีใครไปเป็นทหารเพื่อจะตายกันสักคน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
ก็เช่นเดียวกับตระกูลเฉิงของพวกเขาที่ไม่สนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ก็มิใช่เพื่อให้มาถูกล้างตระกูลเช่นกัน! ไม่มีผู้ใดสมควรตายทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่สามารถใช้ประโยคที่ง่ายดายเพียงประโยคเดียวมาบรรยายว่าชะตาชีวิตควรผ่านพ้นไปเช่นไร
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ผิดแล้ว” เฉิงผิงเอ่ย “พวกเราต้องตระหนักรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร มิใช่ไปครุ่นคิดใส่ใจว่าเหตุใดจึงตาย”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
นางเคยเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวที่สุดในตระกูล เห็นอะไรเพียงผ่านตาก็จำได้ขึ้นใจ คนอื่นใช้เวลาร่ำเรียนเป็นปีจึงจะรู้เรื่อง แต่เพียงเดือนเดียวนางก็รู้เรื่องแล้ว ทว่าต่อหน้าบรรพบุรุษกลับเหมือนคนโง่
นางแสบจมูกขึ้นมาเหมือนจะร้องไห้ เป็นเพราะว่าได้เจอญาติสนิทหรือ แม้ว่าจะเป็นญาติสนิทที่ห่างไปนานถึงสามร้อยปีก็ตาม
“พวกเขารู้ดีว่าเหตุใดตัวเองจึงต้องไปเป็นทหาร และยินยอมเพียรพยายามสู้รบเพื่อสิ่งนี้ นี่ก็เพียงพอแล้ว” เฉิงผิงเอ่ยต่อว่า “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือตายอย่างมีคุณค่าจึงได้ผลงอกงาม”
ตายอย่างมีคุณค่า นั่นสิ นางก็เข้าใจดี ตายอย่างมีคุณค่าก็นับว่าประสบความสำเร็จ เหล่าท่านพี่ตายไปแล้ว สู้รบอย่างห้าวหาญ เสียสละชีพเพื่อชาติ ชื่อก้องเกียรตินาม ได้รับรางวัลตอบแทน ก็นับว่าชาตินี้มิได้ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าแล้ว
ทว่าท่านพ่อเล่า เหล่าผองเพื่อนพวกนั้นเล่า วงศ์ตระกูลเล่า ตายไปแล้ว ทุกคนต่างตายไปหมดแล้ว พวกเขาต่อสู้แล้ว เพียรพยายามแล้ว ทว่ากลับได้ตายอยู่ในเงื้อมมือของคนผู้นั้น พวกเขาที่ต่อสู้เพื่อสิ่งนั้นกลับมิได้รับมัน ตายอย่างไร้คุณค่า ชาตินี้มีชีวิตอย่างสูญเปล่า
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เฉิงผิงเงี่ยหูฟัง ได้ยินแต่เสียงพึมพำของนาง ได้ยินแว่วๆ ไม่กี่ประโยค “เจ้าบอกว่าต่อสู้แล้วกลับไม่ได้อันใดสักอย่าง เช่นนั้นก็มิใช่การตายอย่างมีคุณค่าแล้ว เช่นนั้นก็คือการใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่าแล้วอย่างนั้นหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
“หรือไม่จริงเล่า” นางเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าไม่จริง” เฉิงผิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “แม่นางน้อย สิ่งที่เรียกว่าคุณค่าคืออันใด”
“คุณค่าที่ปรารถนา คุณค่าที่พึงกระทำ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก
“ใช่น่ะสิ ก็คือสิ่งที่ข้าเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ ต้องตระหนักรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร” เฉิงผิงเอ่ย “เจ้าบอกว่าคนเหล่านั้น…พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอย่างนั้นหรือ”
“พวกเราย่อมรู้ดี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก