พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 404 สิ่งที่พูด (2)
พวกเราสร้างคุณูปการเพื่อสนับสนุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่
พวกเรารึ เฉิงผิงเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่มีอันใดให้ต้องสนใจหรอก ปล่อยนางไปก็แล้วกัน
“และได้ต่อสู้อย่างไม่เสียดายชีวิตเพื่อสิ่งนี้ด้วยใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม
“ไม่เสียดาย” เฉิงเจียวเหนียงตอบอย่างแน่วแน่
ดูฟ้าดูฝนเพื่อเตรียมการ นำทัพเข้าเข่นฆ่าจนเลือดเจิ่งนอง พวกเขาไม่เคยมีใครถดถอยกันสักคน
“เช่นนั้นก็จบลงแล้วมิใช่หรือ” เฉิงผิงแบมือแผ่ออกพลางเอ่ย “นี่เป็นการตายอย่างไร้คุณค่าตรงไหน เหตุใดนี่ยังไม่พออีก”
“มันจะพอได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงหวีดร้องขึ้นเสียงดัง
พ่อบ้านเฉาที่อยู่ด้านนอกรีบมองเข้ามาแล้วทำมือส่งสัญญาณเตือนเฉิงผิง
เฉิงผิงเบะปาก
“ก็เพราะว่าไม่ได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาเช่นนั้นหรือ” เขาเอ่ย “ใครบอกเจ้ากันว่าปรารถนาสิ่งใดแล้วจะได้สิ่งนั้น ใครบอกเจ้าว่าเจ้าพยายามต่อสู้แล้วก็จะประสบความสำเร็จเป็นเจ้าโลกกัน ใครบอกเจ้าว่าอยากทำอย่างไรก็จะทำเช่นนั้นได้ ใครๆ ก็พูดได้ หากแค่พูดแล้วมันได้ดั่งใจล่ะก็ บนโลกนี้จะไม่ถึงคราวกัลปาวสานเลยหรือ”
แต่ว่า…
“แต่ว่าเจ้าพยายามต่อสู้แล้วใช่หรือไม่ แต่แล้วคนอื่นเล่า เทียบกับคนอื่นเล่า คนอื่นเขามิได้เพียรพยายามต่อสู้เลยหรือ เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่ควรจะสมปรารถนาแล้วคนอื่นควรจะพ่ายแพ้ เจ้าก็เป็นเจ้า เขาก็เป็นเขา ไหนเลยจะมีเรื่องควรไม่ควรอันใด” เฉิงผิงเอ่ย
ว่าอย่างไรนะ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาอย่างตื่นตะลึง
“…ขอเพียงตระหนักรู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร และเพียรพยายามต่อสู้เพื่อสิ่งนั้น ก็จะประสบความสำเร็จ ก็จะมีคุณค่า เผยกงกลายเป็นฮ่องเต้นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่า อ๋องทรราชแห่งซีฉู่ดับสิ้นที่อูเจียงก็เป็นเรื่องที่มีคุณค่า ขอทานได้กินข้าวมื้อหนึ่งก็เป็นเรื่องที่มีคุณค่า มดปีนขึ้นฝั่งโดยไม่จมน้ำตายก็เป็นเรื่องที่มีคุณค่า สวรรค์ไร้เมตตายึดถือสรรพชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง เจ้าไปเอาความมั่นใจจากไหนมาตัดสินความสำเร็จและความล้มเหลว เจ้าไปเอากฎเกณฑ์จากที่ใดมากำหนดความเป็นไปแห่งฟ้าดินนี้ นั่นเป็นคุณค่าของเจ้า มิใช่คุณค่าของกฎแห่งสวรรค์”
เฉิงผิงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม ดวงตาประกายแวววาว จิตวิญญาณเร่าร้อนโชติช่วง
พ่อบ้านเฉาที่อยู่ด้านนอกฟังจนมึนไปแล้ว เขามองเด็กหนุ่มในชุดขาดรุ่ยอย่างงุนงง
ก่อนจะมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงพลางสาวเท้ายาวเข้าไปหา จากนั้นก็หันหลังไปหยิกเฉิงผิง
“โอ๊ย เจ็บ เจ็บ…” เฉิงผิงร้องตะโกนขึ้น
“นายหญิงของข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ เจ้ายังจะมาพล่ามเพ้อเจ้ออันใดให้นางฟังอีก” พ่อบ้านเฉากระซิบดุดัน หยิกเขาไม่ปล่อย
“ข้าก็สั่งสอนนางน่ะสิ” เฉิงผิงร้องเอ่ยด้วยสีหน้าของคนถูกใส่ความ “ให้นางได้ปล่อยวางจิตใจลง ให้นางได้รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร มิใช่ต้องไปรับรู้ใส่ใจว่าเหตุใดจึงต้องตาย ไม่สูญเสียความตั้งใจแต่เดิมไปจึงจะมีความสุขได้”
พ่อบ้านเฉาเขย่าเขาไปมาอย่างรุนแรง
“พูดภาษาคนสิ!” เขาตะคอก
“ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า รู้จักประมาณกำลังของตัวเอง”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ พล่ามออกมาเสียเยอะแยะก็เพื่อสรุปเป็นประโยคนี้ ไม่ใช่สิบแปดมงกุฎแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!”
เมื่อท้องฟ้ายามราตรีเข้าปกคลุม พ่อบ้านเฉามายังเรือนชั้นในด้วยความไม่สบายใจ ปั้นฉินโบกมือให้เขา
“ไม่เป็นไรหรอก ล้างหน้าบ้วนปากแล้ว จะเข้านอนแล้ว” นางกระซิบบอก
“ไม่เป็นไรจริงหรือ” พ่อบ้านเฉากระซิบถาม
ปั้นฉินส่ายหน้า
นายหญิงผู้นี้ยากแท้ที่จะหยั่งถึง หรือเดิมทีอาจเพราะไม่สนิทกระมัง จะเอาความเศร้าโศกเสียใจมาจากไหนเยอะแยะ พ่อบ้านเฉาส่ายหน้า
“หากมีเรื่องอันใดก็ให้เรียกข้า วันนี้ข้าจะเฝ้ายามเอง” เขาเอ่ยบอก
ปั้นฉินพยักหน้ามองส่งพ่อบ้านเฉาที่เดินออกไป พอเดินไปถึงระเบียงก็มองเข้าไปภายในห้องของเฉิงเจียวเหนียง ตะเกียงยังคงส่องสว่าง บนหน้าต่างอันมืดสลัวนั้นกลับมีเงาร่างที่นั่งหลังตรงสะท้อนอยู่
ตั้งแต่ล้างหน้าบ้วนปากแล้ว นางก็นั่งอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนาน วันนี้เฉิงผิงพูดมากพูดมาย ทำเอาในหัวของนางขาวโพลนไปหมด
ไม่คิดแล้ว ไม่คิดแล้ว
นางส่ายหน้า ม้วนปอยผมที่ตกลงมาข้างขมับเบาๆ พร้อมกับเสียงสิ่งของบางอย่างตกลงพื้นดังขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองก็เห็นหวีเงินด้ามเล็กที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างกระโปรง เปล่งประกายสลัวอยู่ภายใต้แสงตะเกียง
‘นายหญิง พวกเราเจ็ดพี่น้อง เป็นคนบ้านเดียวกัน มาจากเขาเม่าหยวน ชื่อของพวกข้าต่ำต้อยนักนายหญิงไม่ต้องจำหรอกขอรับ เพียงแต่ขอถามชื่อของนายหญิงผู้มีพระคุณ เพื่อจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ขอรับ’
‘นั่นสิ นั่นสิ นายหญิงช่วยพี่ข้าเอาไว้ ซ้ำยังให้เงินอีก’
‘เป็นดั่งพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดใหม่…’
‘จะตั้งป้ายเชิดชูเกียรติให้นายหญิง…’
เสียงวุ่นวายโหวกเหวกดังขึ้นภายในห้องอันว่างเปล่า
เฉิงเจียวเหนียงมุมปากโค้งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ความจริงแล้ว นั่นไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใด เป็นเพียงแค่เรื่องง่ายๆ ที่แทบไม่ต้องออกแรงใดเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคนสนิทคุ้นเคยกันมาล้มหายตายจากไปอย่างรวดเร็วเพียงนี้ ความรู้สึกนี้มันดูแปลกประหลาด ความเสียใจนี้ผสมปนเปเข้ากับความเสียใจที่สูญเสียครอบครัวไป เดี๋ยวไกลเดี๋ยวใกล้ คล้ายจริงคล้ายไม่จริง
นางยื่นมือไปหยิบหวีเงินขึ้นมา
ดังนั้น บนโลกใบนี้ไม่มีคนผู้นั้นและคนเหล่านั้นอยู่อีกต่อไปแล้ว…
‘เงียบหน่อย เงียบหน่อย น้องสามข้าจะร้องเพลงแล้ว!’
“ความสัมพันธ์พี่น้อง ยอมเสียสละเพื่อกัน ต่อหน้าความเป็นตาย น้ำใจสูงเสียดฟ้า โอ้แม่สาวงาม ยิ้มให้แก่ข้า…”
“…ธรรมเนียมสืบทอดแบกบนบ่า เพื่อคนรู้ใจละทิ้งนานา โมโหโกรธาฝืนกฎฟ้า”
“สาวงาม…ผมขาวโพลน… ความหลงใหลไม่เสื่อมครา…”
ปั้นฉินที่นอนไม่หลับพลิกตัวไปมาอยู่ในห้องเล็กด้านข้างพลันลุกขึ้นพรวดอย่างแรง นางเงี่ยหูฟัง
มิใช่ภาพลวงตา เสียงเคาะเครื่องปั้นดินเผาและเสียงเพลงเบาๆ ดังขึ้นมาท่ามกลางลมราตรี
นางลุกขึ้นเปิดประตูออกไปอย่างอดไม่ได้ เสียงปนเปไปกับสายลมยามค่ำคืน
“ถามวีรบุรุษ…เรื่องใด…ยากจะสำเร็จ…”
นายหญิงกำลังร้องเพลงอยู่หรือ
เป็นเพลงที่โศกเศร้านัก ปั้นฉินร่ำไห้ออกมาอย่างอดไม่อยู่
บอกแล้วอย่างไร นางจะไม่เศร้าโศกได้อย่างไร นางจะไม่เจ็บปวดได้หรือ นายหญิงเพียงแค่บอกออกมาไม่ถูกเท่านั้นเอง
นี่คือเพลงอะไร
ปั้นฉินไม่ทราบ พ่อบ้านเฉากลับได้ยินแล้วนิ่งไป
“พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย
คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สองคนสบตากันแล้วส่ายหน้า
“อ้อ พวกเจ้าจำมิได้ พวกเจ้าไม่รู้ ตอนนั้นพวกเจ้ามิได้อยู่ด้วย” พ่อบ้านเฉายิ้มกับตัวเองพลางเอ่ยขึ้น แม้ว่าจะยิ้มอยู่แต่แววตากลับยังคงเลื่อนลอย
เขายื่นมือไปเปิดประตูให้เสียงเพลงเสียงเคาะลอยเข้ามาได้แจ่มชัดขึ้น เปลวไฟเบื้องหน้าขยับไหวราวกับย้อนไปยังหุบเขาในวันนั้น
‘หัวเราะชีวิตคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ความว่างเปล่าก็ยังเป็นความว่างเปล่า!’
เสียงหยาบกระด้างของบุรุษดังขึ้นข้างหูเขา
บุรุษหนวดเครารกครึ้มท่าทางอเนจอนาถผู้นั้นเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มออกมาภายใต้แสงไฟ
‘เรื่องราวเพียงพริบตา ขอท่านอย่าเศร้าใจ…บุตรสาวแยกหนีหาย… ความฝันสิ้นมลาย…’
สตรีที่นั่งบนพื้นห่อตัวด้วยเสื้อกันลมก้มหน้าก้มตาเคาะไหสุราเคล้าคลอไปด้วย
เสียงหัวเราะและเงาร่างของพวกบุรุษที่อยู่ด้านข้างกระเพื่อมไหว
ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
พ่อบ้านเฉาเงยหน้าแหงนขึ้นอย่างอดไม่ได้
“พ่อบ้านเฉา ท่านร้องไห้หรือ” คนรับใช้คนหนึ่งกะพริบตาเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ร้องไห้แล้ว นี่มิใช่กำลังร้องไห้อยู่หรือไร” พ่อบ้านเฉาเงยหน้าสูดหายใจลึก เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ข้าบอกแล้วว่าเฉิงผิงเด็กคนนี้ใช้หนามบ่ง ต้องสั่งสอนได้เรียบร้อยแน่นอน ดูสิ นี่มิใช่ร้องไห้อยู่หรือไร ร้องไห้ก็ดีแล้ว ร้องไห้ก็ปกติแล้ว”
จะไม่ร้องไห้ได้อย่างไร จะไม่เศร้าโศกเสียใจได้หรือ ต่อให้เข้าใจกระจ่างแจ้งฉลาดเฉลียวกว่านี้ก็มีหัวใจมีความรู้สึก นี่แหละคือมนุษย์
พวกผู้ติดตามต่างสบตากัน เช่นนั้นแล้วเฉิงผิงใช้หนามบ่งผู้ใดกันแน่ นายหญิงมิได้ร้องไห้สักแอะ แล้วเหตุใดเจ้าจึงร้องไห้ออกมาเล่า
เสียงร้องเพลงและเสียงเคาะเครื่องปั้นดินเผาดังก้องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในเรือนอย่างเนิบช้า คลอเคล้าไปกับลมราตรีที่โบกโชยไปทั่วทิศ ไห้หวนสะอื้นอยู่ในราตรีกาล