พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 409 สุดความสามารถ (1)
แสงจากตะเกียงน้ำมันส่องสลัว ฟ่านเจียงหลินฝนหมึกด้วยท่าทางเงอะงะ สวีซื่อเกินที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามสีหน้ากลัดกลุ้ม
“พวกเราทำเช่นนี้ จะไม่ดูไร้ประโยชน์ไปหน่อยหรือ” สวีซื่อเกินเอ่ย
เข้าร่วมกองทัพครั้งแรกยังไม่ทันได้มีชื่อเสียง ก็กลายเป็นทหารหนีทัพจนแทบเอาชีวิตไม่รอด อุตส่าห์ได้โอกาสกลับมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า….
จนถึงตอนนี้ แม้แต่รางวัลก็เก็บรักษาไว้ไม่ได้
ยื้อมานานเช่นนี้กลับไม่ได้เรื่องได้ราว หากต้องไปพึ่งหญิงสาวผู้นั้นอีกล่ะก็ แค่คิดก็อยากจะเอาหัวโขกเสาให้ตายไปข้างหนึ่ง
“ตั้งแต่เป็นเด็กพวกเราต่างก็ยากจน พ่อแม่ก็ตายจากไปตั้งแต่ยังเล็ก ดิ้นรนอยู่รอดมา… ต่อมาเหล่าซานออกความคิดว่าเกิดเป็นลูกผู้ชายควรมีความสามารถอะไรสักอย่างยามมีชีวิตอยู่…” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาอยากสอนพวกเราให้รู้หนังสือ”
สวีซื่อเกินหัวเราะ
พอนึกถึงยามเป็นเด็กขึ้นมา ทั้งที่ยิ้มอยู่แท้ๆ แต่ขอบตานั้นเริ่มแดงก่ำ
“ต่อมาเขาก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” ฟ่านเจียงหลินพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “หากใช้แรงใจไม่ไหว ก็ใช้แรงกายก็แล้วกัน…”
ภรรยาของฟ่านเจียงหลินที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งกำลังกล่อมเด็กน้อยให้นอนหลับ นางเองก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“…พวกเราฝึกวรยุทธ์มาหลายปี ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์เสียที ได้เข้าร่วมกองทัพอย่างฮึกเหิม อยากจะสร้างผลงาน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ทั้งยังมีเรื่องพิพาทจนต้องหนีตายออกมา” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยพลางรำลึกถึงอดีต “…ตอนนั้นเม่าซิวเคยบอกกับข้าลับหลังพวกเจ้าว่า บางทีพวกเราอาจจะเป็นพวกใจใหญ่เทียมฟ้า แต่ชะตานั้นเบาบางดั่งกระดาษ มนุษย์บนโลกล้วนแต่เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น มักคิดว่าตนเองแตกต่างจากผู้อื่น และคิดว่าสวรรค์คงจะเห็นความแต่งต่างเช่นกัน แต่ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงฝุ่นผงธุลีเท่านั้น”
สวีซื่อเกินพยักหน้า
“แต่พวกเรายังโชคดีที่ได้พบน้องสาว” เขาเอ่ย “สวรรค์คงเห็นว่าเราพิเศษจริงๆ”
“ใช่ ชีวิตนี้คุ้มค่าแล้ว” ฟ่านเจียงหลินพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อย่างเชื่องช้า “เหล่าซื่อ พวกเรารู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนเช่นไร รู้ตัวว่าตนเองมีกำลังมากแค่ไหน เหมือนกับที่น้องสาวพูดยามอยู่ที่เมืองหลวง พวกเราทำในสิ่งที่เราทำได้ ส่วนเรื่องอื่นนางจะเป็นผู้จัดการเอง ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้ก็ทำเสร็จแล้ว ส่วนที่เหลือพวกเราไม่มีปัญญาจะทำได้ หากดึงดันที่จะทำต่อ ไปหาเรื่องคนแซ่ฟาง เอาเรื่องเหล่าใต้เท้าขุนนางพวกนั้น ข้าคิดว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งยังหาเรื่องใส่ตัวอีกต่างหาก พวกเราต้องการแค่ศักดิ์ศรี หรือว่าต้องการบรรลุเป้าหมายกันแน่”
สวีซื่อเกินมองไปที่เขาแล้วพยักหน้า
“พี่ใหญ่” เขาร้องตะโกนเหมือนจะพูดอะไรแต่กลับไม่พูดออกมา ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้ง
“เขียนเถิด” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยพร้อมยกมือขึ้น
สวีซื่อเกินพยักหน้าแล้วยกพู่กันขึ้น
เมื่อเห็นสองพี่น้องเริ่มเขียนจดหมาย ภรรยาของฟ่านเจียงหลินก็อุ้มลูกที่กำลังหลับอยู่เดินออกไป
กลางดึกยามฤดูร้อนลมเย็นโบกโชย นางยืนสูดหายใจเข้าลึกอยู่นอกห้องด้วยความสงสัย
เรื่องใหญ่เช่นนี้ แม้แต่ใต้เท้าผู้ตรวจการณ์ก็ไม่ยอมสนใจ หากบอกน้องสาวผู้นั้นแล้วจะมีทางออกหรือ
น้องสาวผู้นั้นเป็นคนเช่นไรกันนะ
เมืองหลวง ยามฟ้าสว่างเจิดจ้า สาวใช้เปิดประตูห้องของท่านชายฉินสามอย่างเบามือ พอหันไปเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่กลางห้อง สาวใช้ก็สะดุ้งก็ตกใจในทันใด
“ท่านชาย ท่านยังไม่ได้นอนหรือเจ้าคะ” นางถามพลางนั่งคุกเข่าลง
ท่านชายฉินสิบสามนวดไหล่ของตน วางจดหมายในมือลงแล้วปฏิเสธสาวใช้ที่จะมาช่วยล้างหน้าให้
“ข้าจะเขียนจดหมาย” เขาเอ่ย
สาวใช้ตอบรับ รีบหยิบพู่กัน หมึก กระดาษ ถลกเสื้อขึ้นแล้วเริ่มฝนหมึก
“…เจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนให้รู้แล้วรู้รอด ไปเอาเรื่องกับเจ้าคนแซ่ฟางนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าหาเรื่องไปก็ไร้ประโยชน์… พอโตขึ้นแล้วรู้ประสาก็ยิ่งคับแค้นใจ บางทีหากแสร้งทำเป็นไม่แยแสตั้งแต่แรกยังจะดีเสียกว่า แต่เพราะหัวหน้าเจียงผู้นั้น ข้าถึงได้ถูกทั้งท่านลุงท่านอาและเหล่าพี่น้องรุมประณาม ถูกพวกเขาห้ามไว้ จนเกือบจะถูกมัดตัวส่งกลับบ้านเสียแล้ว…”
ข้าเข้าใจแล้ว…
ท่านชายฉินสิบสามยกพู่กันขึ้นจรดหมึก
ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด แล้วก็รู้ด้วยว่านางกังวลเรื่องใด แต่คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไป แล้วก็ไม่รู้ว่านางกังวลเรื่องใดกัน
จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่ว่าคับแค้นใจเพราะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วรู้ประสา แต่เพราะโตขึ้นแล้วกลับแข็งแกร่งไม่พอต่างหากถึงได้คับแค้นใจ ทุกคนล้วนแต่ปรารถนาจะก้าวสู่จุดสูงสุดกันทั้งนั้น ปรารถนาจะเป็นผู้แข็งแกร่ง หรือบางทีอาจเป็นเพราะเบื้องลึกในจิตใจที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกรังแกถึงทำให้รู้สึกเช่นนั้น
โลกนี้ไม่มีเหตุผล หากเจ้าคือผู้แข็งแกร่ง เจ้าก็คือเหตุผล ดังนั้นจงสู้ต่อไปในทัพตะวันตกเฉียงเหนือเถิด อย่าลืมคำพูดที่เจ้าเคยคุยโวไว้ ปีหน้าข้าเองก็จะลงสนามแล้ว
เรื่องนี้ข้าคิดว่าเจ้าควรหยุดอย่าได้ข้องเกี่ยวอีก เพราะเรื่องนี้ได้ตายจากกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือไปแล้ว หากเจ้าดึงดังต่อไป ก็รังแต่จะยิ่งทำให้คนไม่พอใจเจ้า หาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น ไม่มีประโยชน์อันใดเลย
จากนี้ไปให้เป็นเรื่องของนาง
นางไม่เคยสนใจสิ่งที่ไม่ใช่ของนาง แต่หากผู้ใดแย่งชิงของของนาง เช่นนั้นก็ต้องชดใช้
เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ เจ้าหก อันที่จริงเจ้าไม่ได้โง่เลย…
ท่านชายฉินสิบสามเขียนมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง
หลายครั้งคนเรารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังจะไปถามผู้อื่นอยู่ได้ อันที่จริงก็แค่อยากจะหาใครสักคนพูดคุยด้วยเท่านั้น
เขาเม้มปากแล้วยิ้ม โยนกระดาษทิ้งแล้วเขียนใหม่อีกครั้ง
เมื่อเห็นบ่าวส่งจดหมายออกไป ท่านชายฉินสิบสามที่ยืนอยู่บนระเบียงก็ยืดแขนขึ้น
“ท่านชาย อาหารเช้ามาส่งแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้บอกเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามมองดูลานบ้านยามคิมหันตฤดู ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อเสีย ข้าจะออกไปข้างนอก” เขาเอ่ย
เรือนนางฟ้าในยามฤดูร้อนนั้นยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคย ฤดูกาลไม่ได้ทำให้ร้านนี้เงียบเหงามากไปกว่าเดิมแต่อย่างใด
“ท่านชายฉินมาวันนี้ เหลือว่างอยู่ห้องหนึ่งพอดีเลยขอรับ” บ่าวรับแขกนำทางแล้วยิ้มให้
“ข้าแค่อยากมาพักผ่อนก็เท่านั้น” ฉินสิบสามเอ่ยแล้วถามขึ้นว่า “ปั้นฉินอยู่หรือไม่”
บ่าวส่ายหัว
“บังเอิญเสียจริง พี่สาวเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เองของรับ” เขาเอ่ย “หากท่านชายมีธุระ ข้าจะไปตามให้…”
ฉินสิบสามยกมือขึ้นแล้วโบกไปมา
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่ถามเฉยๆ” เขาเอ่ย
ชายผ้าพลิ้วไหวยามก้าวขึ้นบันได ขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ชุนหลิงที่ออกมาจากห้องทางทิศตะวันตกก็หันไปเห็นท่านชายฉินสิบสาม นางทั้งดีใจทั้งประหลาดใจนัก รีบก้าวเข้าไปหาอย่างอดไม่ได้ ปากก็ร้องเรียก แต่กลับหยุดเสียก่อนเมื่อเห็นแม่นางจูตามมาข้างหลัง
เสียงหัวเราะดังมาจากหลังประตูที่เปิดอยู่
แม่นางจูที่ก้าวออกมาดวงตาแดงก่ำ นางก้มหน้าลงพร้อมก้าวเท้าอย่างฉับไว เห็นได้ชัดว่างานเลี้ยงครานี้คงไม่ราบรื่นนัก
ชุนหลิงเม้มริมฝีปากล่างพลางกระพริบตาสองสามที เมื่อเห็นว่าบ่าวเปิดประตูห้องนำทางให้ นางจึงเร่งฝีเท้าเดินไปยังขั้นบันได ก่อนจะจงใจก้าวบันไดผิดขั้น ร้องโอดครวญว่าตนตกบันได
แม่นางจูและสาวใช้อีกคนที่อยู่ข้างหลังนางต่างตกใจก่อนจะรีบเข้าไปช่วยพยุง ท่านชายฉินสิบสามหันไปมองตามสัญชาตญาณ พอเห็นชัดว่าเป็นผู้ใด ฝ่าเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าประตูก็หยุดชะงักลง
คนงานของร้านที่เข้ามาช่วยพยุงเอ่ยถามไถ่ สาวใช้อีกนางหนึ่งพยุงชุนหลิงให้ลุกขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าซุ่มซ่ามเกินไปเอง” ชุนหลิงเอ่ยทั้งน้ำตา
แม่นางจูเอ่ยเตือนให้ระวังหน่อย แล้วก้าวเดินออกไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ จะให้ตามหมอมาดูหรือไม่”
เสียงของท่านชายฉินสิบสามดังมาจากด้านข้าง
แม่นางจูหันหน้าไปเห็นเขาก็ตกใจไม่น้อย แล้วรีบก้มหัวคำนับให้ในทันที
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้าแค่ก้าวพลาดไปเท่านั้นเจ้าค่ะ” ชุนหลิงก้มหน้าลงอย่างตื่นตระหนกก่อนจะเอ่ยตอบ พลางก้าวเดินไปอย่างเร่งรีบ
แม่นางจูคำนับท่านชายฉินสิบสามอีกครั้ง แล้วก้มหน้าเดินไป
“แม่นางจูจะกลับแล้วหรือ จะไปที่ใดต่ออีกหรือ” ท่านชายฉินสิบสามถาม
แม่นางจูหยุดฝีเท้า ก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ข้าจะกลับไปแล้ว” นางเอ่ย
“ข้าได้ยินมาว่าแม่นางดีดพิณได้ยอดเยี่ยมนัก ไม่รู้ว่าจะโชคดีได้ฟังสักครั้งหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามถาม
แม่นางจูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านชายยกยอกันเกินไป ข้ามิกล้าหรอก” นางเอ่ยพลางและหันตัวมาคำนับ
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม แล้วเดินนำหน้าไปก่อน
แม่นางจูเดินตาม สาวใช้ปล่อยมือจากชุนหลิง กอดพิณเดินตามไป ชุนหลิงยืนตัวตรงพลางนวดขาของตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มแสนลำพองใจบนใบหน้า