พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 420 ย่อมได้ (2)
คนทั้งห้องโถงชะงักไปชั่วขณะ โดยเฉพาะหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่กำลังเหม่อลอย
ผู้อาวุโสจึงจำต้องขานเรียกอีกครั้ง คราวนี้สายตาทั้งหมดจับจ้องไปทางเดียวกัน นั่นคือฝั่งที่เหล่าพี่น้องตระกูลเฉินนั่งอยู่
“แม่นางน้อยจากตระกูลเฉินหรือ” องค์หญิงป๋อหยางถามสาวใช้ด้วยความประหลาดใจ
บรรดาลูกสาวตระกูลเฉินนั้นแต่งกลอนตามแบบแผนมาโดยตลอด ทั้งยังแต่งโคลงกลอนแบบเล่นสัมผัสได้ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งใดที่จะได้รับคำชื่นชม หรือว่าที่ผ่านมาจะเชิญอาจารย์ชื่อดังมาสอนฝีมือถึงได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“ลองอ่านให้ฟังได้หรือไม่” มีคนตะโกนโพล่งขึ้นมา น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
ผู้อาวุโสขานตอบรับ ก่อนจะกวาดสายตาพลางอ่านบทกลอนออกไป
คนที่ตั้งตาฟังอยู่ในห้องโถงพากันส่งเสียงดังเกรียวกราว
แม้ฝีมือการแต่งกลอนของทุกคนจะนับว่าธรรมดา แต่ก็พอรู้ว่ากลอนเช่นใดเพราะหรือไม่เพราะ กลอนบทนี้แม้จะถูกต้องตามแบบแผน แต่หากถามว่านับเป็นกลอนชั้นดีหรือไม่ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้
“ท่านไม่ได้ดูที่บทกลอนใช่หรือไม่”
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลธรรมดาทั่วไป แม้พวกนางจะได้รับการอบรมสั่งมาว่าอย่าได้ใช้อำนาจกลั่นแกล้งผู้อื่น แต่ยามถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้มีหรือที่พวกนางจะกล้ำกลืนฝืนทน
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่ลุกยืนขึ้นประจันหน้ากับบัณฑิตฮั่นหลินแล้วเอ่ยพูดอย่างไม่นึกเกรงใจ
ผู้อาวุโสเห็นพวกนางต่อต้านเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกฉุนเฉียวแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังดีใจอีกต่างหาก
“ใช่ ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “พวกเจ้าก็รู้หรือ”
ใช่อย่างนั้นหรือ รู้อย่างนั้นหรือ รู้เรื่องอะไรกัน
ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
ผู้เฒ่านี่รักการดื่มเหล้าเสียยิ่งกว่าอะไร คงไม่ใช่ว่าดื่มจนเมาแล้วเลอะเทอะหรอกกระมัง
องค์หญิงป๋อหยางทนไม่ไหวจนต้องกระแอมออกมา
“ใต้เท้าหยาง ท่านจะบอกว่ากลอนบทนี้แต่งได้อย่างนั้นหรือ” นางถาม
ผู้อาวุโสส่ายหน้า
“ไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ใช่เช่นนั้น” เขาเอ่ยไม่หยุดปาก
ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ
องค์หญิงป๋อหยางอยากจะเอามือก่ายหน้าผาก คงจะเมาจนพูดจาเพ้อเจ้อไปแล้วจริงๆ
“กลอนบทนี้ ข้ามิได้อ่าน เพียงแต่ อักษรนี้!” เขาพูดต่อพลางยกสองมือชูกระดาษขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “อักษรนี้!”
อักษรอย่างนั้นหรือ
ทุกคนพากันตกตะลึงอีกครั้ง
“อักษรนี้จรดพู่กันได้สมบูรณ์แบบ เส้นขวางลงเบาไปหนัก สี่ส่วนสมดุล องค์ประกอบทั้งแปดครบถ้วน สั้นยาวพอเหมาะ หนาบางชัดเจน ระยะห่างเท่ากัน ไตร่ตรองก่อนลงพู่กัน งดงามพลิ้วไหว… มีเอกลักษณ์ เรียกได้ว่าเขียนอักษรอิงจากรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง ทั้งยังใส่อารมณ์ความรู้สึกลงไป ใช้ความแข็งแกร่งสร้างรูปลักษณ์ออกมา แต่ละลายเส้นมาจาการฝึกฝน!”
น้ำเสียงตื่นเต้นของผู้อาวุโสดังก้องไปทั่วทั้งโถง คำพูดยาวเหยียดนั้นอื้ออึงอยู่ในหูของทุกคนพาลทำให้สติเลื่อนลอย
“สมกับเป็นบัณฑิตฮั่นหลิน พูดจาราวกับสิ่งนั้นมีชีวิตไม่ปาน พรรณนาเสียจนงดงามสูงส่ง ” มีคนเอ่ยพึมพำขึ้น
ทว่าที่เขาพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไรกันนะ
“อักษรนี้ แม่นางคนใดเป็นผู้เขียนหรือ” ผู้อาวุโสไม่สนผู้คนที่กำลังตกตะลึงอยู่ เขาเดินก้าวมาข้างหน้าก่อนจะถามอย่างใคร่รู้
“ข้ามิได้เก่งกาจเพียงนั้น ขอบคุณใต้เท้ายิ่งนักที่ชื่นชม”
เสียงของหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองด้วยความตกตะลึง ก็เห็นว่าเป็นแม่นางเฉินสิบแปดที่ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะคำนับด้วยรอยยิ้มบาง
“โธ่ แม่นางน้อย ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” ผู้อาวุโสรีบคำนับกลับ “แม่นางน้อย เช่นนี้จะไม่เรียกว่าเก่งกาจได้อย่างไร เพียงแค่ลายมือนี้ก็สามารถเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้แล้ว!”
เข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินอย่างนั้นหรือ…
แม้บรรดาคนที่นั่งอยู่ล้วนแต่เป็นหญิงสาว แต่ก็พอจะรู้ว่าการได้เข้าร่วมสำนักเก่าแก่อย่างฮั่นหลินนั้นหมายความว่าอย่างไร เหล่าคนชั้นสูงในเมืองหลวงเองต่างก็เข้าใจดี
ในสมัยฮ่องเต้พระองค์แรกผู้ก่อตั้งราชวงศ์ มีชาวหยางโจวนามว่าจงกงเฉวียน ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งทิ้งไว้ที่วัด ต่อมาฮ่องเต้เห็นเข้าก็ชอบใจยิ่งนัก จึงรับสั่งให้คนตามหาเขาเพื่อเข้ามาเป็นบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน จากนั้นก็ได้รับยศตำแหน่งก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเส้นทางขุนนางของเขานั้นช่างราบรื่น เป็นบัณฑิตที่ใครต่อใครต่างอิจฉา
แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนมากมาย
แม้หลังจากนั้นก็ไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใดทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้อีก และไม่มีผู้ใดได้เข้าสำนักฮั่นหลินเพียงเพราะเขียนอักษรงามอีกต่อไป แต่บรรทัดฐานการตัดสินอักษรงามนั้นกลับถูกใช้สืบทอดกันต่อมา
ทว่า ณ งานแต่งโคลงกลอนขององค์หญิงป๋อหยางในวันนี้ กลับมีผู้ได้รับคำชื่นชมนั้น ทุกคนจึงตกตะลึกไม่น้อย
“งามถึงเพียงนั้นเลยหรือ” องค์หญิงป๋อหยางถามคำถามที่ทุกคนสงสัย ก่อนจะยื่นมือออกไป “รีบเอามาให้ข้าดูเร็ว”
ผู้อาวุโสไม่ได้ยื่นกระดาษในมือให้แก่องค์หญิง แต่กลับคลี่กระดาษให้นางดูแทน
เพียงเท่านี้ก็พอรู้ได้แล้วว่าเขานั้นหวงแหนกระดาษไม่กี่ผ่านนี้แค่ไหน
องค์หญิงป๋อหยางยิ้มอย่างจนใจ ทว่าไม่เอ่ยคำใดก่อนจะตั้งใจมองดู
คนอื่นๆ ต่อจับจ้องไปที่องค์หญิงป๋อหยาง รวมถึงเหล่าพี่น้องตระกูลเฉิน ที่ยามนี้สีหน้าดูตื่นตระหนกไม่น้อย
องค์หญิงป๋อหยางเชี่ยวชาญตำรา ศึกษาอย่างลึกซึ้ง หากผู้อาวุโสผู้นี้เมามายจนพูดจาเพ้อเจ้อ แต่ก็ยังมีองค์หญิงป๋อหยางที่ยังมีสติครบถ้วนอยู่
งามถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
แน่นอนว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ
ภายในห้องโถงเงียบสงัด สีหน้าของแม่นางเฉินสิบแปดยังคงผ่อนคลาย
นางฝึกฝนมากว่าสองปี ทุกวันทุกคืน ละทิ้งความสนุกสนานทุกสิ่ง พู่กันสึกไปเล่มแล้วเล่มเล่า เสียกระดาษไปนับไม่ถ้วน ฝึกฝนจนอ่างล่างหมึกของเรือนกลายเป็นสีดำ ก็เพื่อวันนี้
ในงานแต่งกลอนขององค์หญิงป๋อหยางวันนี้ งานที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของฮ่องเต้ นางได้ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
องค์หญิงป๋อหยางเหมือนจะมองอยู่นาน แต่ก็เหมือนผ่านไปเพียงแค่พริบตาเดียว ท่ามกลางการเฝ้ารอของคนทั้งห้อง ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้น
“แม่นางเฉิน” นางมองไปยังแม่นางเฉินสิบแปดแล้วถอนหายใจออกมา “ข้าคิดผิดนักที่เชิญเจ้ามาในวันนี้”
คิดผิดอย่างนั้นหรือ
“หากข้าถวายอักษรเหล่านี้ให้แก่ฝ่าบาท พระองค์คงบอกว่าฝีมือข้าสู้เจ้าไม่ได้ วันหน้าเจ้าย่อมต้องมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าข้าเป็นแน่” องค์หญิงป๋อหยางเอ่ยพลางยิ้มบาง
วันหน้าเจ้าย่อมต้องมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าข้าเป็นแน่
แม้คำพูดนี้จะเทียบไม่ได้กับคำว่าเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินของใต้เท้าหยาง แต่ผู้คนที่นั่งอยู่ก็พอจะรู้ความหมายดี
องค์หญิงไม่ได้พูดออกไปเพราะรู้สึกเสียใจ แต่กำลังชื่นชมแม่นางเฉินสิบแปดเหมือนใต้เท้าหยางต่างหาก แถมยังเยินยอเสียยิ่งกว่าใต้เท้าหยางด้วยซ้ำ
เพราะนี่เป็นคำพูดที่เว่ยฮูหยินพูดหลังจากที่ได้เห็นลายมือของหวังสีจื่อ ก่อนจะกราบทูลไท่ฉางอ๋องด้วยน้ำตา
หวังสีจื่อเชียวนะ
“เฉินซู่ขอบพระทัยองค์หญิงที่ชมเพคะ” แม่นางเฉินสิบแปดโค้งคำนับ “เฉินซู่มิกล้ารับไว้หรอกเพคะ”
พอนางยืดตัวขึ้น สายตาเย้นหยันของคนในห้องโถงที่จับจ้องมาก็หายไป แทนที่ด้วยความสรรเสริญ
เพราะคำพูดขององค์หญิงป๋อหยาง ชื่อเสียงของแม่นางสิบเจ็ดคงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงเป็นแน่ นอกจากนี้ตัวอักษรที่นางเขียนจะถูกนำถวายแก่ฮ่องเต้อีกด้วย เพียงเท่านี้ก็เป็นเกียรติแก่นางมากโข
นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าแม่นางเฉินสิบแปดจะมีฝีมือคัดอักษรได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เพราะไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน ทุกคนจึงตกใจราวกับเห็นสายฟ้าฟาดยามกลางวันแสกๆ
“แม่นางเฉิน” ผู้อาวุโสยังคงถือกระดาษเหล่านั้นไว้ในมือ ท่าทางดูเหมือนไม่เต็มใจจะมอบให้องค์หญิงป๋อหยางอย่างไรอย่างนั้น เขาก้าวเดินมาข้างหน้า “ผู้ใดเป็นอาจารย์ของแม่นาง ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับผู้เขียนตัวอักษรทั้งห้าแห่งบนกำแพงวัดเฉี่ยถิงและป้ายร้านเรือนไท่ผิงหรือไม่”
องค์หญิงป๋อหยางได้ยินดังนั้นก็นึกออกในทันที มิน่าละตอนที่เห็นถึงได้คุ้นตานัก
สองปีที่ผ่านมา แม้อักษรทั้งห้าแห่งวัดเฉี่ยถิงจะไม่ได้มีคนพูดถึงมากมายเช่นตอนแรก แต่ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองหลวงไปแล้ว เหล่าบัณฑิตจากต่างเมืองหรือผู้คนที่ชื่นชอบการเขียนพู่กันก็มักจะได้รับคำแนะนำให้ไปเยี่ยมชมสักหน
แม้องค์หญิงป๋อหยางจะยังไม่ได้ไปดูกับตา แต่ในห้องหนังสือของนางก็มีแบบจำลองอักษรเหล่านั้นเช่นกัน แม้นางจะลองลอกเลียนแบบแล้ว แต่อักษรที่ดูแสนเรียบง่ายเหล่านั้นพอเขียนเข้าจริงๆ กลับไม่ง่ายเลย ไม่ว่าเขียนอย่างไรก็งามสู้ต้นแบบไม่ได้
พอมองดูอักษรในมือของบัณฑิตหยางอีกครั้ง ก็คล้ายกับอักษรทั้งห้านั้นอย่างที่ว่าจริงๆ
“เช่นนั้นใต้เท้าคิดว่า อักษรของข้าประณีตเทียบเท่ากับอักษรบนกำแพงวัดเฉี่ยถิงหรือไม่” แม่นางเฉินสิบแปดไม่ตอบแต่ถามกลับ
หยางฮั่นหลินมองดูอักษรในมืออีกครั้ง คราวนี้องค์หญิงป๋อหยางเริ่มนั่งไม่ติดที่ ยื่นมือออกไปพลางเอ่ยเร่งเร้าหยางฮั่นหลิน
“ใต้เท้าหยาง ขอข้าดูสักแผ่นเถิด” นางเอ่ย
หยางฮั่นหลินท่าทางแสนอาลัยอาวรณ์
“ใต้เท้าหยาง อย่าลืมว่านี่เป็นงานแต่งกลอนของตระกูลข้านะ” องค์หญิงป๋อหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นั่นสินะ พอถึงตอนนั้นอยากจะเก็บอักษรเหล่านี้ไว้กับตนเองก็ต้องรู้จักประสบสอพลอกับเจ้าภาพเสียหน่อย
หยางฮั่นหลินยิ้มแล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ในทันที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นให้อีกแผ่น
พอเห็นท่าทางยิ้มแย้มของทั้งสอง คนในห้องโถงกลับไม่มีผู้ใดยิ้มเลย มีเพียงแววตาสรรเสริญที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเริ่มเดินเข้ามาหาแม่นางเฉินสิบแปด
“แม่นางสิบแปด เจ้าเขียนอักษรได้งามถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“แม่นางสิบแปด เหตุใดถึงไม่เขียนให้พวกข้าดูตั้งแต่แรก”
ทุกคนพากันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าแม่นางเฉินสิบแปดกลับไม่สนใจจะพูดคุยหัวเราะกับพวกนาง เอาแต่จดจ้องไปที่ใต้เท้าหยางและองค์หญิงป๋อหยางด้วยความประหม่า
ทั้งสองก้มหน้ามองอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าคิดว่างามกว่าตัวอักษรทั้งห้านั่นเสียอีก” ใต้เท้าหยางเอ่ยขึ้นก่อน
องค์หญิงป๋อหยางพยักหน้า
“ประณีตกว่า ชำนาญกว่า” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
งามกว่าอย่างนั้นหรือ!
งามกว่าของแม่นางผู้นั้นอย่างนั้นหรือ!
งามกว่าของแม่นางผู้นั้นอย่างนั้นหรือ!
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแม่นางเฉินสิบแปด สองมือที่กำแน่นอยู่ข้างลำตัวคลายออก
สำเร็จแล้ว หากพยายามย่อมสำเร็จ หากพยายามย่อมสำเร็จ ไม่ใช่พรสวรรค์ใดเป็นผู้กำหนด
“เช่นนั้นแล้ว แม่นางเฉินมีความเกี่ยวข้องกับอักษรทั้งห้าอย่างนั้นหรือ” ใต้เท้าหยางถามขึ้นในทันใด
แม่นางเฉินสิบแปดหลบตาลง
“เจ้าค่ะ” นางตอบ
“อาจารย์ผู้นั้นเป็นใครหรือ” คราวนี้ใต้เท้าหยางและองค์หญิงป๋อหยางถามขึ้นพร้อมกัน
ในที่สุดเจ้าของอักษรทั้งห้าก็จะถูกเปิดเผยตัวตนแล้วหรือ
แม่นางเฉินสิบแปดเงยหน้าขึ้น
“อักษรทั้งห้านั้นคืออาจารย์ของข้า” นางเอ่ย “ข้าฝึกฝนจากการคัดลอก”