พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 424 มุงดู (2)
ขบวนศพออกไปแล้ว ผู้คนที่มายืนดูอยู่บนถนนเส้นนี้ก็เริ่มทยอยกลับ
“มาเร็ว ทุกท่าน โปรดมารับเหล้า เพื่อแสดงความขอบคุณ” ผู้ดูแลร้านที่ยังอยู่ในเรือนร้องตะโกน พวกเขาก็เริ่มทยอยแจกถ้วยเหล้า
บางคนก็รับไว้ บ้างก็ไม่รับ
“นี่เป็นเหล้าที่เถ้าแก่ใหญ่บ่มเอง ไม่มีขายที่ไหน มีเพียงหนึ่งเดียวไม่ซ้ำใคร ถือเป็นเหล้าที่แรงที่สุดในปฐพีเลยก็ว่าได้” ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพลางกอดไหเหล้าเอาไว้ “ใครคอไม่แข็ง ก็ชิมนิดเดียวพอ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ผู้คนที่แยกย้ายไปแล้วหันกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“พูดอะไร ไร้สาระ”
“ข้าไม่ได้พูดไร้สาระ ข้าก็ฟังมาอีกที พวกเจ้าเองก็ยังไม่รู้เลยนี่ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร ข้าก็แค่ถูกจ้างมาเพื่อแจกจ่ายเหล้าก็เท่านั้น” ชายผู้นั้นยิ้มแล้วยื่นมือออกเพื่อดันฝาไหเหล้าออก
“กลิ่นหอมยิ่งนัก!”
“กลิ่นไม่เลวเลย ไหนข้าขอลองหน่อย!”
“เหลือแค่สองโถนี้เท่านั้น ถ้าดื่มหมดก็ไม่มีให้ดื่มแล้ว เพราะไม่ได้มีขายที่ไหน เถ้าแก่ใหญ่ลงมือบ่มเองเป็นพิเศษสำหรับงานนี้”
เสียงรินเหล้าที่ไหลกระทบลงจงดังก้องไปทั่ว มือมากมายต่างถือถ้วยกรูกันเข้ามา
หลายคนเงยหน้ากระดกดื่มยกใหญ่
จากนั้นก็มีเสียงร้องนักขึ้น
“เหล้านี้แรงนัก!”
พอสิ้นเสียงร้องสักพัก ก็มีเสียงตุ้บดังขึ้น
“มีคนเมาจนนอนล้มลงไปแล้ว!”
“จริงหรือ เป็นไปได้อย่างไร แค่เหล้าจอกเดียวก็ล้มแล้วหรือ! เจ้านั่นมันดื่มเหล้าไม่เป็นสินะ!”
…
“มาแล้วขอรับ”
ผู้คนที่มายืนออกันอยู่ตรงหน้าประตูเมืองเริ่มมีเสียงร้องดังขึ้น ทำให้ผู้คนที่ยืนรออยู่ด้านหลังมานานเริ่มอยู่ไม่สุข
ทหารที่เฝ้ายามอยู่ตรงนั้นก็เริ่มเป็นกังวล
“เฮ้อ นายท่าน จะรอดหรือ” ทหารนายหนึ่งกระซิบถาม พลางมองไปยังผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่หน้าประตูเมือง มีคนสิบกว่าคนถือโคมวิญญาณ ด้านข้างถือธงที่เขียนชื่อร้านอี๋ชุนถัง
ผู้คนในเมืองหลวงต่างรู้จักร้านอี๋ชุนถังเป็นอย่างดี เป็นร้านขายยาที่มีหญิงผู้เก่งกาจนางหนึ่งเคยประจำอยู่ในร้าน แม้ว่าต่อมานางจะหายสาบสูญไป แต่กิจการของครอบครัวของนางนั้นดีเสมอมา มีทั้งยาดี หมอดี ว่ากันว่าเป็นร้านที่มีหมอเทวามาประจำอยู่ อี๋ชุนถังจึงกลายเป็นร้านในตำนาน
พวกเขาเป็นใครกัน เกี่ยวข้องอันใดกับอี๋ชุนถังกันนะ
“ไม่เห็นมีอะไร ก็แค่พวกคนมีเงินที่จัดงานศพใหญ่โตมโหฬารก็เท่านั้นเอง” ทหารที่เฝ้าประตูพูดออกมาอย่างไม่สนใจ มือพลางลูบถุงเงินของตน
พวกคนมีเงินก็ชอบทำอะไรใหญ่โตเช่นนี้นี้แหละ ไหนจะมีคนที่ถูกจ้างให้แสร้งร้องไห้เศร้าโศกในงานด้วย แถมยังนำพวกของเซ่นไหว้มาวางไว้ตามถนน ใช้วิธีเอาเหล้ามาล่อให้ผู้คนเกิดความสนใจ ไม่ต่างอะไรกับพวกที่จัดงานศพหลอกๆ หรอก
“ภายใต้ผืนฟ้านี้ ในเมืองหลวงแห่งนี้ จะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกันเชียว”
“วิญญาณวีรบุรษได้กลับมาแล้ว วิญญาณวีรบุรษได้กลับมาแล้ว”
คนควบม้าถือโคมดวงวิญญาณเดินมาข้างหน้า ไม่ได้หยุดพักตรงประตูเมืองแต่อย่างใด กลับเดินมุ่งหน้าเข้าไปในตัวเมือง
จากนั้นชาวอี๋ชุนถังที่ยืนอยู่ที่นั่นก็เริ่มคุกเข่าลงไปบนพื้น
“ขอให้เถ้าแก่ไปสู่สุขคติด้วยเถิด!” ผู้ดูแลร้านอี๋ชุนถังเปล่งเสียงคร่ำครวญออกมา
เหล่าผู้ดูแลร้านที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พากันสะอื้น แล้วพวกเขาก็หยิบกระดาษเงินขึ้นมาเผา
เศษกระดาษเงินที่ปลิวตามลม ลอยว่อนไปพร้อมๆ กับขบวนศพที่กำลังดำเนินไป
“ตายเยอะขนาดนี้เชียวหรือ…”
“ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน…”
“ดูสิ ยังเล็กอยู่เลย ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก…”
“ตายได้อย่างไรกัน”
เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนที่มารุมล้อมเริ่มดังขึ้น พอมาถึงท้ายขบวน ก็มีผู้คนเข้ามาถือโคมดวงวิญญาณมาร่วมขบวนเยอะขึ้น ถ้ามองจากบนประตูเมือง คงเป็นภาพที่น่าตะลึงไม่น้อย
“เป็นขบวนที่สมศักดิ์ศรีเสียจริง” ทหารเฝ้าประตูมองดูแล้วเอ่ยออกมา
ขบวนศพผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทหารที่เฝ้าประตูเตรียมจะเข้าไปจัดระเบียบพื้นที่ แต่กลับพบว่า มีคนบางกลุ่มกำลังอุ้มไหเหล้าไว้ในมือ
“ทุกท่าน นี่เป็นเหล้าที่พวกเราบ่มกันเองเพื่อแสดงความขอบคุณ โปรดรับไว้สักจอก”
จริงสิ พวกเขาแจกเหล้าให้กับผู้คนที่มามุงดู
“เหลือแค่สองไหนี้เท่านั้น ถ้าดื่มหมดก็ไม่มีให้ดื่มแล้ว เพราะไม่ได้มีขายที่ไหน เถ้าแก่ใหญ่ลงมือบ่มเองเป็นพิเศษ เหล้านี้แรงนัก ค่อยๆ ดื่มกันนะขอรับ”
ทหารเฝ้าประตูได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
“ไม่เลวนี่ ขนาดจัดงานศพก็ยังไม่ลืมทำมาค้าขาย เหมือนพวกเราจะดูถูกคนพวกนี้เกินไปเสียแล้วกระมัง” ทหารเฝ้าประตูเอ่ย “เหล้าที่แรงที่สุดมันเป็นเช่นไรกันนะ ไปลองดูกันเถอะ”
…
“เถ้าแก่ เถ้าแก่…”
เสียงโห่ร้องด้วยความเศร้าโศกของชายผู้หนึ่งกลายเป็นที่สนใจของผู้คน
ผู้ดูแลร้านสองคนกำลังช่วยกันพยุงผู้ดูแลร้านอีกคนที่กำลังร้องไห้เศร้าโศกจนแทบจะยืนไม่มั่นให้ลุกขึ้นมา
ด้านหลังขบวน มีคนสิบกว่าคนถือโคมวิญญาณ ด้านข้างถือธงที่เขียนชื่อร้านเรือนนางฟ้า
“เถ้าแก่ เถ้าแก่ เหตุอันใดถึงได้จากพวกเราไป เหตุอันใดถึงได้จากพวกเราไป”
ชายผู้นั้นทุบอกตัวเองจนแทบจะเป็นลม ผู้ดูแลร้านสองคนเข้ามาช่วยพยุงไว้ไม่ทัน ได้แต่ปล่อยให้เขาล้มนอนลงไปบนพื้น
“นั่นใครกัน”
“เจ้าไม่รู้หรือ นั่นเป็นพ่อครัวใหญ่ของเรือนนางฟ้า ที่มีมือซ้ายข้างเดียว ชื่อหลี่ต้าเสา”
“พ่อครัวที่มีมือซ้ายข้างเดียว ใช่คนที่ใช้มือเดียวแล่ปลาดิบประจำเรือนนางฟ้านั่นน่ะหรือ ”
“หลังจากที่เสียแขนขวาไป เขาก็ฝึกทักษะมีดด้วยมือซ้าย คือพ่อครัวคนนั้นแหละ”
“ใช่แล้วใช่แล้ว พ่อครัวคนนั้นล่ะ มีหลายคนไปร้านเพื่อกินปลาที่เขาแล่โดยเฉพาะเลยนะ”
“คนพวกนี้เป็นเถ้าแก่ร้านเรือนนางฟ้าเองหรอกหรือ”
เสียงถกเถียงโต้แย้งดังขึ้นในทันใด
“พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นเถ้าแก่ของร้านเรือนนางฟ้าเท่านั้น ยังมีเรือนไท่ผิง แล้วก็อี๋ชุนถังอีกด้วย”
สามร้านนี้ ถือเป็นร้านชื่อดังประจำเมืองหลวง นี่เป็นเรื่องตลกหรืออย่างไร พวกเขามีอำนาจมากแค่ไหนกัน คนระดับนี้แล้วยังจะไม่รอดเลยหรือ ไม่สิ คนเรายังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่ระดับพวกเขาแล้ว ดูยังไงก็ไม่น่าจะตายในสนามรบได้
รวยขนาดนี้แล้วยังจะไปเสี่ยงชีวิตอีก ช่างเขลานัก
“ข้าไม่ได้เพ้อเจ้อนะ ข้าเองก็คอยสังเกตการณ์อยู่เรื่อยๆ ข้าเห็นพวกคนในร้านวุ่นวายกับการเตรียมงานศพ ทั้งยังจ้างคนตั้งมากมายให้มาช่วยในพิธีครั้งนี้ด้วย”
“สามร้านนี้เป็นเจ้าของเดียวกันหรือนี่!”
ข่าวที่แพร่กระจายออกไป ทำให้เกิดความโกลาหลในฝูงชน
เรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวใหญ่ เพราะเจ้าของร้านชื่อดังทั้งสามร้านนั้นเป็นความลับมาตลอด คนไม่น้อยที่พยายามสืบ แต่สืบเท่าไหร่ก็ไม่ได้ความ ไม่คิดเลยว่างานศพครั้งนี้จะเป็นการเปิดเผยความลับครั้งยิ่งใหญ่ได้
“ไปดูกันว่าใครเป็นเถ้าแก่ใหญ่ที่พวกเขากำลังพูดถึง”
ฝูงชนบนถนนกำลังจะเดินตามขบวนศพที่ผ่านไปแล้ว แต่กลับมีเสียงตะโกนเรียกดังขึ้น
“ทุกท่าน นี่เป็นเหล้าที่พวกเราบ่มขึ้นมาเองเพื่อแสดงความขอบคุณ โปรดรับไว้สักจอกเถิด”
“เหลือแค่สองไหนี้เท่านั้น ถ้าดื่มหมดก็ไม่เหลือให้ดื่มแล้ว เพราะไม่ได้ขายที่ไหน เถ้าแก่ใหญ่ลงมือบ่มเองเป็นพิเศษ เหล้านี้แรงนัก อย่าลืม ค่อยๆ ดื่มนะขอรับ”
“พูดจาโอ้อวดยกใหญ่ เหล้านี่มีอะไรดีนักเชียว”
เสียงของความสงสัยจากผู้คนยังไม่ทันจบ ก็มีอีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้น
“ให้ข้า ให้ข้าดื่ม!”
เสียงอึกทึกดึงความสนใจของผู้คน พวกเขาวิ่งกรูกันเข้ามา แต่ละคนใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง บางคนเริ่มทรงตัวไม่อยู่ แต่ก็มิอาจหยุดความต้องการของพวกเขาที่มีต่อเหล้าได้
“นี่มันเหล้าชั้นดี ชั้นดีเลย แรงที่สุดในโลกหล้าเลย”
“ดีขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ พวกเจ้าลองดูสิ ทั้งถนนมีแต่คนเมาแอ๋เต็มไปหมด! แค่จอกเดียว จอกเดียวเท่านั้น!”
“รีบไปเอามาสิ ตรงนั้นยังเหลืออยู่นะ รีบไปเอามาเร็วเข้า”
ผู้คนที่ยืนแออัดอยู่ในฝูงชนคงมิได้รู้สึกระแคะระคายอันใด แต่สำหรับผู้คนที่มองลงมาจากตึกรามบ้านช่องทั้งสองฝั่งถนนนั้น ต่างพากันพูดไม่ออก แลดูไม่อยากจะเชื่อกับภาพตรงหน้าที่เกิดขึ้น
จากมุมมองของพวกเขา ทั้งถนนเต็มไปด้วยผู้คน ราวกับอยู่ในเทศกาลโคมแดง
เหตุใดถึงได้มีผู้คนเข้ามาเยอะขนาดนี้
ทั้งที่ๆ ขบวนแห่ศพผ่านไปแล้ว ทำไมฝูงชนไม่แยกย้ายกันไป แต่กลับตามขบวนงานศพไปเสียอย่างนั้น
พวกเขามองไปยังต้นทางที่ขบวนศพเคลื่อนเข้ามา พบว่ามีฝูงชนอีกจำนวนมากทยอยเดินเข้ามา มองดูราวกับกระแสน้ำจากแม่น้ำใหญ่ที่พัดพา ผู้คนที่มองอยู่ห่างๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดไปตามๆ กัน
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่