พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 425 เจ้าจงฟัง (2)
พอเห็นเหล้าสีขาวขุ่นถูกเทลงพื้น ฝูงชนที่นิ่งเงียบอยู่ก็โกลาหลขึ้นมาในทันใด
“น่าเสียดายนัก เหล้าชั้นดีเชียวนะ…”
“อย่าเทเลย เหลือไว้สักหน่อยเถิด…”
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน พวกเขาพากันกรูเข้ามาใกล้
เฉิงเจียวเหนียงเทเหล้าจนหมดไหแล้วหันกลับไปมองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน
“ใต้เท้า วันนี้เหล่าท่านพี่ของข้ากลับมาแล้ว พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ข้าจึงขอเลี้ยงสุราให้พวกท่านทั้งหลายร่วมดื่ม” นายเอ่ย “ใต้เท้า ท่านเองก็ลองจิบสักคำ ลองลิ้มรส เหล้าของข้านี้รสแรงห้าวหาญดั่งเหล่าพี่ชายของข้า”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนชะงักไป ผู้ดูแลอู๋ก็พาคนมายื่นเหล้าให้ถึงที่ ไม่ใช่เพียงแค่เขา แต่เหล่าทหารผู้น้อยด้านหน้าทั้งหมดก็ได้รับเช่นกัน
“เหล้านี้แรงนัก ใต้เท้าค่อยๆ ดื่มเถิด” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยกำชับ
แรงอย่างนั้นรึ
ข้าเป็นถึงชายชาตรีมีหรือจะกลัวเหล้าแรง กลัวไม่แรงพอต่างหาก!
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนยื่นมือออกไปรับทันใด ราวกับกำลังเยาะเย้ยคำพูดของผู้ดูแลอู๋เมื่อครู่ เขายกเหล้าดื่มรวมเดียวหมด ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกโพลง ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อในทันที
เสียงหัวเราะของผู้คนดังขึ้น
“ฮา ฮา ล้มแล้ว ล้มแล้ว ล้มแล้ว”
ไม่รู้ว่าเป็นเสียงตะโกนของผู้ใด
พร้อมกับเสียงตะโกนนั้น ทหารผู้น้อยที่อยู่อีกฝั่งก็พากันโซเซก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น
เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
“ดูสิดู ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า”
“ฮา ฮา ฮา ระหว่างทางก็ล้มพับมาแล้วไม่รู้กี่คน!”
แรง แรงยิ่งนัก!
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนรู้สึกถึงเพียงความร้อนรุ่มที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งกาย ราวกับทั้งร่างกำลังถูกแผดเผา สองดูอึ้งอึง เหงื่อผุดซึมทั้งตัว
เยี่ยม เยี่ยม
เขาอยากจะตะโกนโห่ร้องออกมา ความอัดอั้นที่ถูกดูแคลนจากคนตระกูล ความขัดแค้นใจเพราะถูกกลั่นแกล้งจากเหล่าขุนนางยามทำงานหายไปในพริบตา เมื่อความร้อนแผดเผาไปทั่วร่าง เลือดก็ยิ่งสูบฉีดไปทั่วทั้งกาย
เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ
ดี ดี เรื่องใดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งนั้น ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะขอให้ชีวิตให้หนำใจ
“ใต้เท้า เหล้านี้คู่ควรกับเหล่าท่านพี่ของข้าที่ตายจากไปในศึกสงครามหรือไม่”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นข้างหู
ตั้งแต่โบราณกาลมีสักกี่คนเชียวที่รอดชีวิจกลับมาจากสงคราม หากได้ชื่อว่าตายอย่างสมเกียรติในสนามรบ ก็ถือว่าชาตินี้มิไม่สูญเปล่าแล้ว
“คู่ควรยิ่งนัก” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนตะโกนลั่น เขายกมือขึ้นคำนับ “ข้าตี๋ซื่อจิ่วผู้นี้ขอน้อมส่งดวงวิญญาณของเหล่าผู้กล้า”
เหล่าทหารผู้น้อยที่ขวางอยู่ก็พากันแหวกทางให้เมื่อได้ยินเสียงนั้น แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ยอมเปิดทางให้
นั่นก็คือเหล่าทหารสี่ห้านายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนส่งเสียงถุยออกมา
“เจ้าพวกอ่อนหัด” เขาตะโกนลั่น ดวงตาแดงก่ำที่เบิกโพลงหยาดเยิ้มเพราะฤทธิ์น้ำเมา “หามออกไป”
ไม่นานทหารสี่ห้านานก็ถูกหามตัวออกไป
“ดูสิ กองทหารม้าลาดตระเวนปัญจทิศหลีกทางให้แล้ว!”
ความจริงแล้วถึงเขาไม่ตะโกนออกมา คนอื่นๆ ก็เห็นอยู่ดี หลูซืออันเองก็จ้องไม่กระพริบตาเช่นกัน
เดิมที่พวกเขาหลั่งไหลมาตามฝูงชน แต่ยามนี้กลับถูกเบียดเสียดจนยืนแทบไม่มั่น จนต้องใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองขึ้นมายังชั้นสองของร้านอาหาร แล้วมองลงมายังถนนจากด้านบน
“นางพูดอะไรกันนะ ทหารม้ามาอย่างเหี้ยมโหดแท้ๆ แต่กลับก้มหัวยอมฟังแล้วสั่งให้หลีกทางให้อีกต่างหาก” ทุกคนพากันถามเซ็งแซ่
มองดูจากด้านบนก็ดีอย่างเสียอย่าง เห็นชัดดีแต่ไม่ได้เสียงนี่สิ
จู่ๆ ด้านล่างมีแต่เสียงร้องตะโกนขึ้นมา ดึงดูดให้สายตาของเหล่าที่กำลังถกเถียงกันให้หันมามอง
ก็เห็นว่าคนมากมายบนกำลังเบียดเสียบกันเข้ามาราวกับกำลังแย่งชิงอะไรบางอย่าง
“เหล้า!” คราวนี้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน ที่แท้ก็เทเหล้าอีกแล้วนี่เอง
“เหล้านั่นดีขนาดนั้นเชียวหรือ” พวกเขาถามอย่างสงสัย
พวกเขาไม่ทางลดตัวลงได้แย่งกันดื่มเหล้าที่คนอื่นเททิ้งเช่นนั้นหรอก
“ข้าจะให้คนไปเอามาสักสี่ห้าจอก ประเดี๋ยวพวกเราลองชิมกัน” คนหนึ่งเอ่ยพลางหัวเราะ สีหน้าท้าทาย
ไม่นานประตูห้องกูถูกเปิดออก เหล่าบ่าวพรวดพราดเข้ามา คนหนึ่งถือจอกเหล้าเข้ามาอย่างระมัดระวัง
“ใต้เท้า ใต้เท้า เอามาแล้วขอรับ” เขาร้องเอ่ย
คนผู้นั้นชะงักไป
“เหตุใดถึงมีเพียงจอกเดียว” เขาเอ่ยถามพลางมองเหล้าที่ยื่นมาตรงไหน ไม่ ไม่ใช่แค่จอกเดียว ครึ่งจอกเสียด้วยซ้ำ
“ใต้เท้า แย่งมาไม่ได้เลยขอรับ จอกนี้ข้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว…” บ่าวหนุ่มสีหน้าเศร้าสร้อย “กว่าจะเบียดออกมาได้แล้วเหลือสักครึ่งจอกก็นับว่าโชคดีแล้วขอรับ”
แย่งอย่างนั้นหรือ
พวกเขาหันไปมองถนนจากนอกหน้าต่าง ก็เห็นความโกลาหลราวกับคลื่นยักษ์กำลังโหมกระหน่ำ ฝูงชนหลั่งไหลมาไม่หยุดหย่อย แค่พวกเขาเห็นก็กลัวจนตัวสั่น กว่าจะแย่งเหล้ามาได้สักจอกคงมิใช่เรื่องง่ายจริงๆ
โชคดีที่มีเหล้าเพียงแค่สองได้ พริบตาเดียวก็ถูกเทจนหมด ไม่เช่นนั้นคงมีถูกเหยียบบาดเจ็บล้มตายเป็นแน่
เหล้าอะไรกัน เหตุใดถึงทำให้ผู้คนบ้าคลั่งได้เช่นนี้
“น่าจะเป็นเพราะว่าพวกคนที่อยู่ข้างหน้าได้กินแล้ว หรือไม่ก็พวกคนที่อยู่ข้างหน้าได้ยินมาคนพูดว่าเหล้าดี คนก็เลยพากันแย่งแบบนั้น” บ่าวตอบ
“ดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” คนที่อยู่ตรงนั้นถามขึ้น
ทว่าหลูซืออันไม่ได้มองเหล้า แต่กลับมองไปยังฝูงชนบนถนน ผู้คนบนถนนหายไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าแยกย้ายกันไป แต่พวกเขาบกขโยงตามขบวนส่งศพไปต่างหาก เขาแหงนหน้าทอดสายตามองออกไป ก็เห็นว่าบนถนนฝั่งนู้นดูคึกคักเสียงยิ่งกว่าเมื่อครู่อีก
ส่วนฝูงชนก็ยิ่งหลั่งไหลกันเข้ามาเยอะกว่าเดิมอีกต่างหาก
คนเราก็เป็นเช่นนี้แหละหนา ของที่ถูกโยนทิ้งริมทางไม่เคยมีใครนึกสนใจ แต่พอมีคนแย่งชิงกันขึ้นมา ไม่ว่านั่นจะเป็นของที่มีประโยชน์หรือไม่ คนเราพากันรุมแย่งเสียงอย่างนั้น
“แผนการดีนี่…” เขาเอ่ยพึมพำ
“เหล้าชั้นดี!” เสียงแผดร้องที่ดังขึ้นภายในห้องพาให้สายตาของหลูซืออันหันกลับมา
ก็เห็นว่าพรรคพวกคนหนึ่งของเขากำลังถือจากเหล้าด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“เหล้าชั้นดี เหล้าชั้นดี บนโลกนี้มีเหล้าแรงขนาดนี้ด้วยหรือ” เขาตะโกนเสียงดังลั่น
คนอื่นๆ ก็พากันรุมล้อมเข้ามาด้วยความสงสัย อยากจะลองชิมสักคำ แต่พวกพ้องคนนั้นกลับไม่ยอม
“เหล้าชั้นดีเช่นนี้ย่อมต้องมีขาย” เขาเอ่ย “เจ้าไปซื้อมาที”
“ใต้เท้า ไม่มีขายหรอกขอรับ เขาบอกว่านี่เป็นเหล้าที่บ่มเองไม่มีขาย บ่มเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของพี่ชายทั้งห้าที่ตายในสนามรบ”
“จริงหรือ เหล้าชั้นดีเช่นนี้ไม่มีของหรอกหรือ พิธีเซ่นไหว้จบแล้วก็ไม่มีแล้วอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้เช่นไร จะให้เงินเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอย่างนั้นหรือ”
“หากไม่ได้ทำเพื่อเงินเล่า” หลูซืออันเอ่ยเสียงพึมพำ
สายตาของหลูซืออันมองกลับบนถนนอีกครั้ง ก่อนจะนึกถึงเสียงตะโกนร้องโหวกที่ได้ยิน
‘ห้าคนนั้นเป็นทหารกล้ามาจากเขาเม่าหยวน เป็นคนดีแท้ๆ แต่กลับต้องมาตายในสงคราม…’
‘ตายในสนามรบแต่ไม่ได้รางวัล…’
‘เหตุใดถึงไม่ได้รางวัล…’
‘เพราะเหตุใดน่ะหรือ… ก็เพราะถูกแย่งความดีความชอบน่ะสิ วงการนี้…’
“เหล้าชั้นดี” หลูซืออันพึมพำ
คนทั้งห้องหัวเราะ จากนั้นก็มียื่นเหล้าที่เหลือให้
“พี่ซืออัน พี่ลองชิมดู เหล้าดีเช่นนี้นอกเมืองหลวงคงหาได้ยากนัก” พวกเขาเอ่ยขึ้น
หลูซืออันยื่นมือมารับไว้ เขามองดูก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมด
น้ำเมาราวกับลูกไฟร้อนกำลังไหลลงคอไป เผาไหม้จนทั้งใบหน้าและร่างกายแดงซ่าน
หลูซืออันปาจอกเหล้าในมือลงพื้น ก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา
คนในห้องตกใจจนสะดุ้งตัวโยน มองดูหลูซืออันที่สองตาแดงก่ำเท้าสะเอวหัวเราะรื่นเบื้องหน้า
เสียงหัวเราะของหลูซืออันยังไม่ทันจากหาย เขาพอร่างของตนเองโน้มออกไปนอกหน้าต่าง คนให้ห้องเห็นท่าทีของเขาก็ตกใจพลัน รีบเข้ารั้งตัวเขาไว้
“พี่ซืออันทำเช่นนี้ไม่ได้”
“พี่ซืออันใจเย็นก่อน”
พวกเขาร้องตะโกนพลางรั้งตัวเขาไว้แน่น เพียงแต่ยามนี้ความคับแค้นที่สั่งสมอยู่ใจของ
หลูซืออันยากจะจางหาย เพราะฤทธิ์เหล้าทำให้เขาผลีผลามอยากจะปลิดชีพตนเอง
หลูซืออันที่ถูกพวกพ้องฉุดรั้งไม่แม้แต่จะไหวติง เขาหัวเราะดังลั่นพลางยกมือโบกออกไปนอกหน้าต่าง
“เจ้าต้องฟัง! เจ้าต้องฟัง! ข้าบอกให้เจ้าฟัง! ข้าบอกให้เจ้าฟัง! ให้คนทั้งเมืองได้ฟังเรื่องราวของเขาเม่าหยวนซาน!”
หลังจากเสียงตะโกนแหบแห้งของเขา ก็มีเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่าดังขึ้น เสียงนั้นกลบเสียงวุ่นวายของเหล่าชาวเมือง ทุกคนเหลียวไปมองในทันใด ก็เห็นดอกไม้บนท้องฟ้าฝั่งตะวันออก
พื้นหลังของท้องฟ้ายามกลางวันมิได้มืดมิดดั่งยามค่ำคืน ดอกไม้ไฟนั้นไม่มีสีสันตระการตา มีเพียงควันสีขาวที่พวยพุ่ง
พอพวกเขาเหลียวไปมอง เสียงดอกไม้ไฟก็ดังขึ้นต่อเนื่อง ควันสีขาวราวกับหมู่เมฆแผ่นซ่านไปทั่วฟ้าคราม ส่องประกายระยับดังเกล็ดหิมะ
ไม่เคยรู้เลยว่าดอกไม้ไฟตามกลางวันจะงดงามเช่นนี้
ภาพนั้นพาให้ทุกคนชะงักไป ภายในหัวขาวโพลนไปหมด รู้สึกถึงเพียงความชาหนึบที่แล่นริ้วไปทั่วร่าง