พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 426 ไม่หยุด
“นั่นอะไรน่ะ”
ยามนี้ผู้คนทั่วทุกสารทิศในเมืองหลวงต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“มีคนจุดดอกไม้ไฟกลางวันแสกๆ ด้วยหรือ”
“แต่ดอกไม้ไฟนั่นก็ลอยสูงเสียเหลือเกิน…”
บนเจดีย์เก้าชั้นทางทิศใต้ของเมืองหลวง บรรดาผู้คนมาเที่ยวชมใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันกว่าจะปีนขึ้นมาถึงสูงสุดได้ ยามมองดูเมืองหลวงจากมุมสูงเช่นนี้ ในใจก็ฮึกเหิมขั้นมา ความคิดมากมายก็พรั่งพรู ขณะที่กำลังจะตวัดพู่กันจุ่มหมึกเขียนโคลงกลอนบนกำแพง ทันใดนั้นดอกไม้ไฟสีขาวประกายระยิบก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา
พาให้พวกเขาเหล่านั้นเหม่อมองอย่างตกตะลึง
“ดอกไม้ไฟหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร พลุของงานเทศกาลโคมไฟยังสูงไม่ถึงเจดีย์สามชั้นเลย ดอกไม้ไฟจะลอยสูงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
จังหวะที่พูดอยู่นั้นดอกไม้ไฟปะทุขึ้นไม่หยุด จนอารมณ์เจ้าบทเจ้ากลอนของเหล่าผู้มาเที่ยวชมแตกกระเจิงไป เอาแต่ถกเถียงกันว่าเหตุใดดอกไม้ไฟถึงได้ลอยสูงเช่นนี้
บนกำแพงเมืองประตูตะวันออก เหล่าทหารที่กำลังลาดตระเวนอยู่ก็มองดอกไม้ไฟเหล่านั้นด้วยความสงสัย
“กลางวันแสกๆ แท้ๆ มีคนจุดดอกไม้ไฟด้วยหรือนี่” พวกเขาพากันเอ่ยขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหยุดม้าลง
กองทหารปัญจทิศรักษานครก็ตามขบวนมาเช่นกัน จนกระทั่งผู้เป็นหัวหน้าหยุดลง
ขุนนางประจำประตูเมืองทิศตะวันออกแหงนหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเจ้าดู…” เขาเอ่ย
ก็ดูอยู่นี่อย่างไรเล่า เหล่าทหารผู้น้อยได้แต่สงสัยก่อนจะแหงนหน้ามองอีกครั้ง
ดอกไม้ไฟบนท้องฟ้ายังคงปะทุขึ้นต่อเนื่อง
“ดอกไม้ไฟลอยสูงได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ…” ขุนนางผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผู้คนเบียดเสียดกันให้แน่นบริเวณนอกเมืองฝั่งตะวันออก พวกเขามองดูคนผู้หนึ่งวางกระบอกไม้ไผ่ไว้บนโครงไม้ที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง คราวนี้ทุกคนรู้แล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ก็พากันยกมือขึ้นอุดหูอุดจมูก
แต่คนผู้นั้นกลับจุดชนวนบนกระบอกไม้ไผ่ก่อนจะรีบวิ่งหลบไปอีก จากนั้นเสียงหวีดหวิวก็ดังขึ้น กระบอกไม้ไผ่พุ่งทะยานขึ้นสู่เวหา
สายตาของฝูงชนมองไปตามศีรษะที่แหงนขึ้น
เสียงระเบิดดังขึ้นก่อนดอกไม้ไฟจะปรากฏกลางท้องฟ้า
เหล่าชาวเมืองที่อยู่บนพื้นดินเองก็โห่ร้อง
“ดอกไม้ไฟนี่ร้ายกาจเสียยิงกว่าตะกายดาวของร้านตระกูลหลี่เสียอีก...”
“ตะกายดาวของร้านตระกูลหลี่นั่นไม่สมชื่อเอาเสียเลย น่าจะเรียกว่าดาวตกเสียมากกว่า…”
“ใช่ ใช่ แบบนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าตะกายดาว ดูสิลอยสูงยิ่งนัก… หากเป็นยามกลางคืนคงจะตะกายดาวได้จริงๆ”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ดอกไม้ไฟก็ถูกจุดจนหมด ในโพรงจมูกมีแต่กลิ่นของเขม่าดินปืนตลบอบอวล เสียงร้องไห้ที่ถูกกลบโดยเสียงของดอกไม้ไฟก็หยุดลง โลงศพไม้ที่อยู่อีกฝั่งก็ถูกลำเลียงลงหลุมเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับป้ายหน้าศพที่ตั้งตระหง่าน
บนป้ายหน้าศพนั้นไร้ซึ่งตัวอักษรใด
ไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกส่งต่อกันปากต่อปากของเหล่าชาวเมืองที่มามุงดู
“เห็นบอกว่าจะให้ทุกคนที่มีชีวิตอยู่เป็นผู้ตัดสิน...”
“ทำความดีความชอบแล้วแต่ไม่มีผู้เห็นคุณค่า ผู้ใดจะยอมกัน…”
“คนพวกนั้นทำมาหากินอะไรหรือ…”
“เจ้าเดินตามมาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือ มัวแต่กินเหล้าน่ะสิ”
“ก็ใช่น่ะสิ ก็ใช่น่ะสิ เหล้าที่เทแจกกันริมทางช่างน้อยนัก พวกเจ้าดูนั่นมีอีกต้องสองกอง ต้องแย่งมากินให้ได้”
ขณะที่ชาวเมืองกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่นั้น ด้านหน้าก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงของแตกกระจาย
เกิดอะไรขึ้น
ฝูงชนรอบทิศพากันกรูเข้ามาอีกครั้ง พอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็โกลาหลขึ้นมาในทันใด
“เหล้าของข้า!”
คนมากมายพากันร้องเสียงหลง
“ฟ่านสือโถว จงดื่มให้หนำใจเสีย!”
ฟ่านเจียงหลินหอบไหเหล้าสองใบก่อนจะปาลงพื้นหน้าป้ายหลุมศพแล้วตะโกนลั่น
“สวีเม่าซิว จงดื่มให้หนำใจเสีย!”
เสียงเพล้งดังขึ้น เหล้าอีกสองไหแตกกระจาย
“สวีล่าเย่ว์…”
“ฟ่านซานโฉ่ว…”
“สวีปั้งฉุย…”
ฟ่านเจียงหลินยืนอยู่หน้าหลุมศพแล้วเงยหน้าขึ้น เขาร้องตะโกนจนเสียงแหบแห้งราวกับใช้กำลังที่เหลืออยู่ไปจนหมดสิ้น
เสียงตะโกนดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ว่าจะตะโกนอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่มีอีกต่อไป
วันหน้าก็ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เรียกอีก ไม่มีแล้ว
“…คนนับหมื่นร่วมใจ ฟาดฟันศัตรูไปพร้อมกับเจ้า…”
“…มีเพียงจิตใจอันกล้าหาญและภักดี… เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น…”
“…ต้านศัตรูนับพันอย่างโดดเดี่ยว… ไม่เกรงกลัวแม้ตัวตาย…”
“…ตอบแทนคุณแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร์… ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปราบคนชั่ว…”
น้ำเสียงแหบแห้งไร้ซึ่งความไพเราะ ร่ำร้องบทเพลงไร้จังหวะ ตามมาด้วยเสียงของไหเหล้าแตกกระจาย น้ำเมาไหลรินหน้าหลุมศพ กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่ว
เหล่าผู้คนที่มุงล้อมอยู่ก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มาเพื่อเหล้าหรือมาเพื่อดูดอกไม้ไฟ หรือแม้แต่คนที่มามุงดูเพราะเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นก็พากันเงียบไป
“…ร่วมกันปกป้องประตูเมือง…ชายชาติทหารไม่อาจไหวหวั่น…”
“…ทองพันชั่งซื้อม้า… เงินร้อยชั่งตีหอกดาบ...”
บนเดินเขาที่ตั้งอยู่ออกไปไม่ไกลนัก ท่านชายฉิบสิบสามฮัมเพลงพลางเหลียวมองไปมองท่านชายโจว หกที่อยู่ข้างกัน
“ข้าร้องเพราะหรือไม่”
ท่านชายโจวหกถือจอกเหล้าอยู่ในมือ สายตายังคงจับจ้องไปที่กลุ่มคน เสียงของท่านชายฉิบสิบสามขัดจังหวะเขาที่กำลังครุ่นคิดไปตามเสียงขับกลอนของฟ่านเจียงหลิน
เขาส่งเสียงเย้ยหยันแต่ไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม
“ช้าหน่อย เหล้านี้แรงนัก อย่าได้ดื่มมาก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
“เจ้าเคยดื่มหรือ” ท่านชายโจวหกถามเขา
ท่านชายฉิบสามมองเขาแล้วส่ายหน้า
“ไม่เคย” เขาเอ่ย “น้องสาวเจ้าเคร่งครัดกฎระเบียบนัก บอกว่าเหล้าที่จะใช้ในพี่ศพของเหล้าพี่ชาย จะดื่มได้เฉพาะวันนี้เท่านั้น แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ก่อนที่เจ้าจะให้คนไปแย่งมาได้ ข้าจะไม่เคยแม้แต่จะได้กลิ่นด้วยซ้ำ”
ท่านชายโจวหกคลี่ยิ้ม
“เช่นนั้นก็ดี” เขาเอ่ยพลางพลางยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดจอก
ทว่าเขาประเมินฤทธิ์ร้อนแรงของเหล้านี้ต่ำไป จึงสำลักเสียจนไอโขลกหน้าแดงไปหมด
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“เจ้านี่จริงๆ เลย ไม่เห็นหรือไรว่าคนอื่นดื่มเหล้านี่แล้วเป็นอย่างไร ไม่เห็นหรือว่ามีคนเมาตั้งเท่าไหร่ตลอดทาง เจ้ายังไม่เชื่อคำนางอีก” เขาเอ่ย
“แล้วอย่างไรเล่า มีประโยชน์อันใดกัน!” ท่านชายโจวหกเอ่ยพลางไอสำลักแล้วชี้นิ้วไปด้านล่าง “คนพวกนั้น ไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด มาเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาไม่จำไม่ได้แม้แต่ชื่อของพวกสวีเม่าซิว ยังจะหวังให้พวกเขาช่วยเรียกร้องความยุติธรรมอีกหรือ หวังให้พวกเขาแพร่ข่าวความอัปยศอดสูที่พวกสวีเม่าซิวได้รับอย่างนั้นหรือ ไม่ถึงสามวันพวกเขาก็คงลืมทั้งห้าคนนั่นไปแล้ว ไม่หรอก ไม่ต้องรอให้ถึงสามวัน พรุ่งนี้ก็คงลืมแล้วกระมัง”
ท่านชายฉินสิบสามส่ายหน้าแล้วมองฝูงชนเบื้องล่าง
“หากมาเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น ไม่นานพวกเขาก็คงลืม แต่ยามนี้พวกเขาไม่ได้มาเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น” เขาเอ่ย “พอตัวตนที่แท้จริงของเถ้าแก่เรือนนางฟ้าและอี๋ชุนถังถูกเปิดเผย ชาวเมืองหลวงจึงได้พากันสนใจ ทั้งยังมีดอกไม้ไฟยามกลางวันแสกๆ อีก แน่นอนว่าเรื่องนี้คงพูดถึงกันได้อย่างมากก็คงสามวันห้าวัน หากนานกว่านั้นก็คงเดือนสองเดือน ทว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คนสนใจ ทั้งยังเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกด้วย นั่นก็คือ…”
“เหล้าอย่างนั้นหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยขึ้นพลางมองดูจอกเหล้าในมือ พอสิ้นเสียงจอกเหล้าก็ร่วงลงพื้น ตัวคนเองก็ล้มหงายหลังไป โชคดีที่ท่านชายฉิบสิบสามมือไวจึงประคองไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงล้มกลิ้งลงไปเป็นแน่
ท่านชายฉินสิบสามเหวี่ยงร่างของท่านชายโจวหกให้นอนลง ก่อนจะนวดคลึงแขนของตัวเอง
“เจ้าหมอนี่ ไม่เจอกันแค่สองปี ตัวใหญ่ขึ้นเยอะ หนักชะมัด” เขาบ่นพึมพำ มองดูชายหนุ่มที่ดื่มเหล้าจนนอนกรนหน้าแดงก่ำอยู่บนเนินเขา ก่อนจะพลางหน้าแล้วยิ้มออกมา
เสียงกรนยังคงเคล้าคลอ สายตาของเขาเหลียวกลับไปมองที่ตีนเขาอีกครั้ง เหล่าคนที่มาร่วมพิธีศพได้กลับกันไปแล้ว แต่ฝูงชนที่มามุงดูยังคงไม่แยกย้ายไปไหน
“เหล้า เหล้าชั้นดีเช่นนี้ เหล้าแรงหนึ่งเดียวบนโลกหล้า มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ชาตินี้ก็หาที่ใดไม่ได้อีก คนที่ได้ลิ้มลองจะลืมได้อย่างไร นอกจากจะไม่ลืมแล้ว แต่กลิ่นหอมหวนนั้นจะยังคงคละคลุ้งอยู่ในความทรงจำ คนที่ไม่ได้ลิ้มลองก็ไม่ลืมเช่นกัน นอกจากจะไม่ลืมแล้ว ทั้งยังเสียดายเพราะไม่เคยได้สัมผัสรสนั้น”
“สิ่งที่ลืมในชาตินี้ คือสิ่งที่ไขว่คว้ามาไม่ได้”
“ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งยากจะลืมเลือน”
“พอนึกถึงเหล้าในวันนี้ ก็ย่อมนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ และย่อมระลึกถึงเหล่าพี่น้องเขาเม่าหยวนซาน”
“เหล้านี้ หากเป็นไปตามที่คาดไว้ละก็ วันพรุ่งเหล้านี้คงได้ชื่อว่าเม่าหยวนซาน”
ท่านชายฉินสิบสามมองดูที่ตีนเขาแล้วลุกยืนขึ้น สายลมอบอ้าวยามปลายเดือนเจ็ดโบกเป็นเกลียว ชายเสื้อคลุมของเขาม้วนกระพือไปตามแรงลม
นางไม่ได้ลงมืออันใดเลย ไม่ได้เข้าพบผู้ใด ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ใด ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ ไม่ได้ฟ้องร้อง เหมือนดั่งที่นางได้พูดไว้ นางต้องการเพียงจัดพิธีศพให้เหล่าพี่ชายอย่างสงบ
แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าพิธีศพนั้นจะมีอนุภาพถึงเพียงนี้
“เจ้าต้องฟัง! เจ้าต้องฟัง! ข้าบอกให้เจ้าฟัง! ข้าบอกให้เจ้าฟัง! ให้คนทั้งเมืองได้ฟังเรื่องราวของเขาเม่าหยวนซาน!” เขาแหงนหน้าขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สายตาทอดมองไปยังภายในประตูเมือง
เหล่าราชวงศ์ เหล่าราชสำนัก เหล่าขุนนาง
ข้าบอกให้เจ้าฟัง! ข้าบอกให้เจ้าฟัง! ให้คนทั้งเมืองได้ฟังเรื่องราวของเขาเม่าหยวนซาน!
“นางที่ปกปิดตัวตนมาโดยตลอด ยามนี้กลับปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งเมืองหลวง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางยกมือขึ้นมา “เต้าหู้เรือนไท่ผิง นางฟ้าผ่านทาง หมอเทวดา น้องสาวของทหารหนีทัพ ไม่สิ หากตัวตนทั้งสี่นี้ถูกเปิดเผย ก็เท่ากับเปิดเผยเรื่องราวอื่นด้วยเช่นกัน หากมีปัญญาก็ย่อมเชื่อมโยงเรื่องราวได้ เช่นเรื่องของราชเลขาหลิว เช่นคดีหนีทหาร…”
พูดถึงเพียงเท่านั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วมองไปยังตีนเขา
“จู่ๆ ก็งัดกระบวนท่ามากมายออกมาเช่นนี้ ท่าทางคงโกรธน่าดู”
เขาเอ่ยพลางนั่งลงอีกครั้ง
“ทำเต้าหู้เป็น ทำอาหารเป็น รักษาคนก็ได้ คำนวณปฏิทินก็ได้ คราวนี้ยังบ่มเหล้าเองอีก...”
เขาพูดไปพลางหักนิ้วตามทีละนิ้ว
“ทุกครั้งที่ผู้ใดทำให้นางต้องหวาดหวั่น นางก็จะตอบโต้ด้วยวิธีการที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่า ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าหญิงผู้นี้จะเก็บซ่อนสิ่งใดที่น่าประหลาดใจไว้อีก ช่างทำให้ผู้คนสับสนงุนงงยิ่งนั้น มองอย่างไรก็มองไม่ออก คาดเดาอันใดไม่ได้เลย…”
เขาพูดถึงเพียงเท่านั้นก็ใช้เท้าสะกิดท่านชายโจวหกที่กำลังนอนฝันหวานอยู่ข้างกัน
“เช่นนี้ผู้ใดจะอดใจไม่ไปเจอไม่คิดถึงได้เล่า เช่นนี้ผู้ใดอยากจะอยู่ห่างจากนางกันเล่า เจ้าว่าใช่หรือไม่”
ท่านชายที่กำลังหลับสนิทพอถูกเขาสะกิดก็ครางพึมพำออกมา
ท้องฟ้ากลับมาสงบดังเดิมอีกครั้ง เหล่าทหารม้าลาดตระเวนบนกำแพงเมืองเดินวนไปมา ส่วนขุนนางประจำประตูเมืองตะวันออกยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตายังคงจับจ้องไปบนท้องฟ้า
“เหตุใดดอกไม้ไฟถึงได้ลอยสูงเช่นนั้นได้” เขาเอ่ยพึมพำ
เหล่าทหารผู้น้อยก็ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย
ตั้งแต่ได้เห็นดอกไม้ไฟยามกลางวัน ขุนนางผู้นี้ก็เอาแต่ยืนนิ่งอย่างนั้น ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็เหมือนเหม่อลอย โพล่งประโยคเดิมขึ้นมาเป็นครั้งคราว
เหตุใดจู่ๆ ใต้เท้าถึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นหญิงสาวหรือเหล่ากวีที่กำลังดื่มด่ำไปกลับทิวทัศน์เช่นนั้น
“แล้วอย่างไรเล่า” มีคนถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ที่ไม่เคยมีดอกไม้ไฟใดลอยได้สูงถึงเพียงนี้ เพราะไม่มีดินปืนที่ไหนทำเช่นนี้ได้” ขุนนางประจำประตูเมืองเอ่ยพลางส่ายหน้า
เหล่าทหารผู้น้อยหันมาสบตากันอย่างขบขัน
“ใต้เท้าหลี่มองสรรพสิ่งล้ำลึกยิ่งนัก” มีคนเอ่ยขึ้นพลางแค่นหัวเราะ
คำพูดนั้นดึงสติของขุนนางประจำประตูเมืองกลับมา เขาขมวดคิ้วแล้วมองทหารผู้น้อยผู้นั้น ถึงตำแหน่งสูงต่ำอย่างไรตนก็เป็นขุนนาง เพียงแต่ในเมืองหลวงแห่งนี้ขุนนางนั้นมีให้ดาดเดื่อนราวกับสุนัขไม่ปาน ขุนนางฝ่ายบู๊ที่ไม่มีแต่ยศอย่างเขาเองไม่มีใครนับหน้าถือตาด้วยซ้ำ
มองดูทหารผู้น้อยเบื้องหน้าผู้นี้ แม้จะอีกฝ่ายจะเป็นเพียงทหาร ส่วนตนจะเป็นขุนนาง แต่อีกคนกลับมีอำนาจเสียยิ่งกว่าตัวเขาที่เป็นขุนนางเสียอีก
ขุนนางประจำประตูเมืองละสายตากลับมาไม่เอ่ยคำใดต่อ
“ทำอันใดกัน” ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาพลางเอ่ยถาม
แม่ทัพผู้เป็นหัวหน้าท่าทางน่าเกรงขาม ขุนนางประจำประตูเมืองรีบเดินเข้ามาหาแล้วคำนับให้
“ใต้เท้าหลี่ดูดอกไม้ไฟอยู่น่ะขอรับ” มีคนเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ
คำพูดนั้นเสียงหัวเราะของทุกคนให้ดังขึ้น
“หลี่เม่า ในเมื่อใช้เงินซื้อตำแหน่งขุนนางมาแล้ว ก็อย่าได้เอาแต่สนใจกิจการของตระกูลเจ้าเช่นนี้” แม่ทัพผู้นั้นขมวดคิ้วเอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
ขุนนางประจำประตูก้มหัวลงอย่างกระอักกระอ่วน
“ขอรับ ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้ทำเช่นนั้น” เขาเอ่ย
“ไม่ได้ทำเช่นนั้นก็ดี ตั้งใจทำงาน วันหน้าจะได้เลื่อนขั้น พอถึงตอนนั้นผู้คนจะได้รู้ว่าตระกูลหลี่ก็มีลูกชายที่เก่งกาจ มิได้มีเพียงแค่พลุดอกไม้ไฟ ยามเอ่ยถึงตระกูลหลี่ของเจ้าจะได้ไม่ใช่แค่ปรมาจารย์พลุกระบอกไม้ไผ่” แม่ทัพผู้นั้นเอ่ย
แม้คำพูดนั้นฟังดูเหมือนปลุกใจ แต่พอเห็นผู้คนโดยรอบกำลังกลั้นยิ้ม บ้างก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก็รู้ได้ว่ากำลังเอ่ยถากถางกันอยู่
ขุนนางประจำประตูเมืองผู้นี้เป็นลูกชายคนที่สามของตระกูลหลี่ เจ้าของร้านดอกไม้ไฟอันเลื่องชื่อของเมืองหลวง เพราะดอกไม้ไฟที่ตระกูลหลี่ถวายได้รับคำชมเชยจากฮ่องเต้ หลี่เม่าผู้นี้ถึงได้อวยยศเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ยามนี้เขากำลังกำหมัดแน่น โค้งตัวลงแล้วเอ่ยขานรับ
คนกลุ่มนั้นพากันเดินจากไป เขาถึงค่อยๆ ยืนตัวขึ้นก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้ง
“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ ดอกไม้ไฟที่จุดแนวตั้งนั้นพุ่งสูงได้เพียงแล้ว แล้วถ้าจุดแนวนอนเล่า” เขาเอ่ยพึมพำ ดวงตาเป็นประกาย “ทำได้อย่างไรกันนะ ดินปืนที่ทำให้พุ่งสูงได้ขนาดนี้…”