พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 428 ดูภาพ
ไม่มีผู้ใดขาดประชุมราชสำนักวันนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ที่ไม่ค่อยปรากฏตัวก็ยังเข้าร่วม
ขันทีสองนายกำลังคลี่ภาพวาดภาพหนึ่งกลางท้องพระโรงอย่างเบามือ
“ปู่ของหลูซืออัน หลูเจี๋ย เป็นผู้วาดภาพนี้ เราจำได้ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนโปรดปรานนัก จึงรับสั่งให้แขวนไว้ในตำหนักที่ประทับ”
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยเสียงเรียบ
“เพียงแต่ลูกหลานรุ่นหลังพรสรรค์ไม่เพียงพอ ไม่สามารถสืบทอดวิชาของเขาไว้ได้ ทั้งยังมุ่งศึกษาตำราวิชาการเสียมากกว่า งานวาดเขียนจึงได้ถดถอย ผลงานของหลูเจี๋ยจึงกลายเป็นของล้ำค่าในวันนี้”
น้อยนักที่การประชุมราชสำนักจะถกเถียงกันเรื่องโคลงกลอนหรือศิลปะ เพราะมักจะถูกผู้ตรวจการกล่าวหาว่ามัวแต่เริงสำราญจนไม่สนใจการงาน แต่ในวันนี้ไม่มีผู้ตรวจการคนใดปริปาก แต่กลับพินิจพิจารณาภาพที่กางอยู่กลางโถงอย่างจดจ่อ ดวงตาทุกคู่ล้วนเปล่งประกาย ราวกับมองแกะน้อยกำลังโดนเชือด พลางครุ่นคิดว่าจะกัดกินส่วนใดเป็นคำแรกดี
“แม้หลูซืออันจะมิได้ฝึกฝนจนช่ำชองเท่าคนเป็นปู่ แต่ก็ไม่ทำให้ต้นตระกูลต้องขายหน้า ขอเหล่าขุนนางทั้งหลายโปรดดู ดูว่าภาพวาดของเขาเป็นเช่นไรบ้าง”
ขุนนางในการประชุมราชสำนักมีไม่มาก สองแถวยืนเรียงกันประมาณสิบกว่าคน ทว่าพอได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ทั้งยังไม่มีผู้ใดก้าวเท้าออกมา
“ฝ่าบาท หลูซืออันใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ… ”
ขุนนางผู้หนึ่งเห็นแววตาเกาหลิงปอ จึงรวบรวมความกล้าแล้วยืนขึ้นพูด
ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบฮ่องเต้ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“หลูซืออันใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ เรารู้ดี ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าย้ำเตือน ยามนี้เรากำลังพูดถึงภาพวาด” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ “ยามนี้เราให้พวกเจ้าดูว่าภาพวาดนี้วาดได้ดีหรือไม่!”
ไม่มีผู้ใดกล้าพูดต่อ
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เสียงดังกังวานของชายหนุ่มดังขึ้น ทำลายบรรยากาศแสนอึดอัดลง
พอเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวออกมามา องค์ชายใหญ่ที่อยู่ข้างกันก็เดินตามติด ก่อนจะชิงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าภาพวาดก่อน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบางชะงักฝีเท้าลงแล้วหลีกทางให้
พอมีเหล่าองค์ชายเปิดฉาก เฉินเซ่าก็ก้าวเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าเช่นกัน คนที่เหลือก็ทยอยตามกันมาตามลำดับศักดิ์ของตำแหน่ง
ภาพวาดผืนยาวนี้ เริ่มต้นจากประตูตะวันตกของเมืองหลวง ภาพทิวทัศน์ที่วาดออกมานั้นไม่อาจเรียกได้ว่างามสักเท่าไหร่ ลายเส้นพู่กันแสนธรรมดา แต่โดดเด่นที่ความมีชีวิตชีวา
เดิมทีท้องพระโรงนั้นเงียบสงัดแม้เหล่าขุนนางจะเริ่มขยับเข้ามาใกล้ จนกระทั่งเริ่มมีเสียงกระซิบถกเถียงดังขึ้น
แน่นอนว่าเหล่าขุนนาง ณ ที่นี้ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นกับตาของตนเอง แต่อย่างน้อยก็ต้องได้ยินข่าวคราวบ้าง ภาพวาดที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าในยามนี้ ราวกับกำลังพาพวกเขาเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอย่างใกล้ชิด
สมกับที่เป็นหลานชายของหลูเจี๋ย ลายเส้นปลายพู่กันของหลู่ซืออันนั้นละเอียดยิ่งนัก แม้แต่ดอกไม้ขาวที่ประดับอยู่บนหัวม้าก็ยังวาดอย่างประณีต
ในภาพมีทั้งคนหามโลงศพ คนถือธงดวงวิญญาณ คนยกมือขึ้นปาดน้ำตา คนที่ใบหน้าเรียบเฉย คนที่ก้มหน้า แถมท่าทางของเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของใครคนหนึ่งก็เปลี่ยนผันไปตามการเคลื่อนขบวน บางครั้งก็ชูมือออกไปคว้าธงขาว บางครั้งก็ขยี้ตา บางครั้งก็อมนิ้วมือ ช่างดูไร้เดียงสายิ่งนัก
สีหน้าของบรรดาชายหญิงทั้งคนหนุ่มของแก่ริมถนนก็แตกต่าง บ้างก็กำลังถามไถ่ด้วยความตื่นตระหนก ทั้งยังมีสีหน้าของคนเมาที่พยามยามยื้อแย่งเหล้ากัน เขาก็สามารถวาดออกมาได้สมจริงนัก
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเห็นดังนั้นก็เม้มปากยิ้มออกมอย่างห้ามไม่อยู่
ในตอนแรกองค์ชายใหญ่ก้าวฉับอย่างว่องไว แต่พอหางตาเหลือบไปเห็นจิ้วอันจวิ๋นอ๋องเดินช้าลง จังหวะฝีเท้าของเขาจึงช้าลงตาม เขามองจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่เอาแต่จอจ้องไปที่ภาพวาด ราวกับกลัวว่าจะรายละเอียดบางอย่างจะหลุดลอดสายตาไป ทั้งยังขมวดคิ้วแน่น
เขาเกลียดการดูภาพวาด! เพราะเหมือนกับการดูแผนที่! ในสายตาของเขาลายเส้นขีดเขียนอะไรพวกนั้นล้วนแต่น่าเบื่อหน่าย!
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนแต่ก่อนแล้ว องค์ชายใหญ่เงยหน้าขึ้น สายตาหยิ่งยโสนั้นจับจ้องไปภาพวาดอย่างพินิจพิจารณา
เจอแล้ว!
จิ้นอันจวิ้นอ๋องชะงักฝีเท้าลง สายตาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของภาพ ท่ามกลางฝูงชนวุ่นวาย มีหญิงสาวนางหนึ่งกำลังยื่นมือออกไปลูกหัวม้า แม้จะสวมหมวกคุลมหน้า แต่เข้าก็รู้ว่าเป็นผู้ใด
ภาพวาดของหลูซืออันเทียบไม่ได้กับของคนเป็นปู่เลยสักนิด เพราะความจริงแล้วเพียงแค่หมวกคลุมหน้าไม่อาจปกปิดท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวผู้นั้นได้อย่างแน่นอน แต่จากปลายพู่กันของเขากลับกลายเป็นเพียงภาพไร้อารมณ์
ตรงนี้ต้องสูงขึ้นอีกนิด แขนเสื้อต้องกว้างขึ้นอีกหน่อย ถึงจะเป็นหมวกคลุมหน้าแต่ก็ไม่ควรลงสีดำสนิทเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องเผยให้เห็นใบหน้าภายในบ้าง…
“ฝ่าบาท…”
เสียงเตือนเรียกสติดังขึ้นข้างกาย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนตัวตรง มองดูเฉินเซ่าพยักหน้าส่งสัญญาณ แล้วจึงก้าวเดินไปข้างหน้า
ดูอะไรกัน เหตุใดถึงได้เหม่อลอยเช่นนั้น
เฉินเซ่ามองตามอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีจุดใดโดดเด่นเป็นพิเศษ
ภาพนี้ร่ายเรียงเรื่องราวตั้งแต่ประตูเมืองทิศตะวันออก ไปจนถึงความครื้นเครงที่หน้าหลุมศพ และดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า
“วาดได้ดีหรือไม่” เสียงของฮ่องเต้ดังมาจากบนบัลลังก์
วาดได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่วาดได้สมจริงเสียจนน่าหวาดกลัว
เกาหลิงปอกัดฟันกรอด
ภาพวาดหรือการร่ายร่ำย่อมแสดงออกได้เด่นชัดยิ่งกว่าบทกวี ทั้งยังสะเทือนอารมณ์คนมากกว่า
หากเหตุการณ์นี้พรรณนาโดยบทร้อยกรอง คงน่าเบื่อหน่ายเพราะคนขับร้องมิได้รู้สึกเช่นเดียวกับคนเขียน แต่หากใช้ภาพวาดถ่ายทอดออกมา ย่อมสามารถสั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของฮ่องเต้ได้บ้าง
บนแผ่นกระดาษปรากฏภาพของขบวนส่งศพอันยิ่งใหญ่ รายล้อมไปด้วยฝูงชนมากมาย ถ่ายทอดความโกลาหลวุ่นวายในเมืองหลวงได้อย่างแจ่มแจ้ง สำหรับฮ่องเต้ที่หนึ่งปีออกจากวังเพียงแค่หนสองหน แถมยังออกไปถึงแค่ตำหนักที่ตั้งอยู่ไกลออกไปไม่กี่ลี้ ภาพที่ได้เห็นทำให้เขาสะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก
ภาพวาดภาพนี้ราวกับพาเขาเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ราวกับได้สัมผัสและความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นจริงกับตนเอง
“ชาวเมืองทั้งโศกเศร้าทั้งคับแค้นใจ สิบคนได้เห็น เก้าคนตรอมใจ จากตะวันออกจรดตะวันตก ถนนหนทางเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เงินกระดาษโปรยปรายลงมาดั่งหิมะ ธงส่งดวงวิญญาณตั้งชันดั่งพงไพร ทั้งเมืองต่างกล่าวขานถึงเขาเม่าหยวนซาน”
“…กระหม่อมได้ยินข่าวมา จึงได้สืบเรื่องต่อเป็นการลับ เพราะไม่ต้องการให้การฉ้อฉลเพื่อรับความดีความชอบของเจียงเหวินหยวนแปดเปื้อนถึงฝ่าบาท ยามนี้เหล่าชาวเมืองนั้นคับแค้นใจ ถูกกดขี่เสียจนมิกล้าร้องเรียน เบื้องบนจึงไม่อาจได้ยินเสียงของพวกเขา ในวันที่ข้าจะต้องจากเมืองหลวงแห่งนี้ไป ข้าได้เห็นเหล่าชาวเมืองร้องเรียกให้สวรรค์รับดวงวิญญาณของเหล่านักรบขึ้นไป กระหม่อมยอมมิได้หากฝ่าบาทจะต้องแปดเปื้อนเพราะความผิดนี้ และเพื่อหาหลักฐานว่าเจียงเหวินหยวนเป็นผู้กระทำความผิด กระหม่อมยอมต้องโทษหมิ่นเบื้องสูง หากมิเป็นดั่งที่ว่าไว้ กระหม่อมยินยอมให้ตัดหัวประจานที่หน้าประตูเซวียนเต๋อ...”
เสียงของขันทีที่อ่านคำร้องของหลูซืออันดังก้องไปทั่วท้องพระโรง พาลให้เหล่าขุนนางที่จ้องมองภาพนั้นนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
“พวกเจ้าคิดว่า หลูซืออันวาดได้ดีหรือไม่” ฮ่องเต้ถามอีกครั้ง
องค์ชายใหญ่อยากจะก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วออกความเห็น แต่ก็ไม่ว่าจะพูดอันใดดี ยามนี้หากจะบอกว่าวาดได้แย่ ก็เหมือนพูดไปเพื่อขายผ้าเอาหน้ารอด ในเมื่อยังไม่แน่ชัดว่าฮ่องเต้มีความหมายแฝงอันใดถึงได้ถามเช่นนั้น หากตอบไม่ตรงใจก็ยิ่งแย่เข้าไปกันใหญ่
วันก่อนอาจารย์ได้สอนเขาในคาบเรียนว่า พูดให้น้อย เรื่องที่ตนไม่รู้ ยิ่งห้ามพูดเด็ดขาด
ขณะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ก้าวออกมาจากแถว
สายตาของคนทั้งท้องพระโรงหันไปมองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง บ้างก็มองอย่างโจ้งแจ้ง บ้างก็ลอบมอง ทว่าล้วนแต่มองด้วยความประหลาดใจอย่างไม่อาจปกปิด
ทุกครั้งที่ชินอ๋องมาร่วมประชุมราชสำนักก็เป็นเหมือนเพียงไม้ประดับ ไม่เหมือนองค์ชายใหญ่ องค์ราชทายาทที่ถูกฝึกฝนจนสามารถร่วมออกความเห็นได้ จิ้นอันจวิ๋นอ๋องเองย่อมรู้ดี จึงมักจะถกเถียงกับฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว แต่ไม่แสดงความเห็นของตนต่อหน้าเหล่าขุนนางในการประชุมราชสำนัก
วันนี้เป็นครั้งแรกของเขา
ฮ่องเต้หันไปมองเขา สีหน้ามองไม่ออกว่าเกรี้ยวกราดหรือว่าดีใจ
“ฝ่าบาทจำภาพวาดลัดเลาะป่าเขาที่กระหม่อมถวายให้พระองค์ได้หรือไม่” สีหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องดูผ่อนคลาย ทั้งยังเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดังเช่นเคย
ภาพอะไรนะ เหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างสงสัย สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มเปลี่ยนไป
“กระหม่อมเองไม่ค่อยรู้เรื่องศิลปะนัก แต่ก็พอรู้ว่าฝีมือวาดภาพของหลูซืออันนั้นช่างแสนธรรมดา เก่งกาจกว่ากระหม่อมไม่เท่าไหร่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย สายตามองไปยังภาพที่ขันทีกางอยู่ “แต่ว่ากระหม่อมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเขา เหมือนกับภาพวาดที่กระหม่อมถวายแก่ฝ่าบาทในวันนั้น กระหม่อมเองก็เคยมีรู้สึกเช่นนั้น ถึงได้มองออกว่าแต่ละลายเส้นพู่กันนั้นมาจากความเพียรพยายาม”
ความตั้งใจอย่างนั้นหรือ!
ให้ความเห็นเช่นนี้ก็ได้อย่างนั้นหรือ! นี่คือความเห็นที่มีต่อภาพวาดหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันแน่! นี่คือความเห็นที่ฮ่องเต้อยากได้ยินสินะ!
คำพูดนั้นทำให้เข้าใจภาพวาดนี้ได้อย่างทะลุปุโปร่ง ราวกับหยิบยกเรื่องราวข้างหลังภาพให้ปรากฏสู่สายตาของทุกคน!
ฟางเหว่ย!
ชีวิตเจ้าคงสุขสบายเกินไปกระมัง! เหตุใดถึงได้แส่ไม่เข้าเรื่องเช่นนี้!
เกาหลิงปอมองไปทางจิ้นอันจวิ้นอ๋องด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่อาจปกปิด ในใจของเขาเดือดดาล
เขาไม่ได้ตื่นกลัวเพราะคำพูดนั้น แต่ตกใจเพราะคนที่พูดประโยคนั้นต่างหาก ไม่ว่าอย่างไรคำพูดนี้ต้องถูกใครสักคนเอ่ยขึ้นเป็นแน่ และก็ควรจะเป็นหนึ่งในพวกพ้องของเฉินเซ่า แต่ไม่ใช่จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้
หากเฉินเซ่าเป็นคนพูด หรือจะว่ากันตามหลักการแล้ว ก็มีแต่คนระดับเฉินเซ่าเท่านั้นที่พูดได้ เพราะหลูซืออันเป็นคนที่เฉินเซ่าแนะนำเข้ามา ในสายตาของฮ่องเต้แล้วเขาคือพวกพ้องเฉินเซ่า แต่หากเขาไม่พูด ก็แสดงว่าใจเขามิได้คิดซื่อตรง แต่หากเขาออกหน้าแล้วบอกว่าการกระทำของหลูซืออันนั้นถูกต้องแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาช่วยพวกพ้องปิดบัง สุดท้ายแล้วไม่ว่าเฉินเซ่าจะพูดหรือไม่พูด ก็ย่อมเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ดี แล้วจะยิ่งทำให้ฮ่องเต้สงสัยในตัวเขา
สงสัยว่าเฉินเซ่าคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แต่ยามนี้จู่ๆ จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับเป็นคนโพล่งขึ้นมาก่อน แถมยังเอ่ยถึงภาพวาดในอดีต พาให้ฮ่องเต้ยิ่งครุ่นคิด จนสถานการณ์ในตอนนี้กลับตาลปัตรไปกันหมดแล้ว!
“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เห็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเซ่าก้าวออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
ได้ยินหรือยัง กลายเป็นว่าเขาเห็นด้วย แต่มิใช่ความเห็นของเขาเอง! คำพูดที่ต่างกันเพียงแค่คำเดียวกลับทำให้ฮ่องเต้คลายข้อกังขาในใจที่มีต่อเฉินเซ่าไปปลิดทิ้ง!
“ฝ่าบาท หลูซืออันมีความตั้งใจก็จริง แต่มีความประสงค์ร้ายแฝงอยู่!” เกาหลิงปอโมโหจนทนไม่ไหว อย่างไรก็ต้องกู้สถานการณ์เบื้องหน้านี้ให้ได้เสียก่อน เพื่อจะความเสียหายจะได้ไม่บานปลายไปมากกว่านี้
“…หลูซืออันกล่าวหาเจียงเหวินหยวนว่าแย่งความดีความชอบของผู้ใต้บังคับบัญชามาเป็นของตน ทั้งยังปกปิดเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท แต่กระหม่อมกับคิดว่าเขากำลังยุยงให้ชาวเมืองบีบคั้นฝ่าบาทมากกว่า…”
“…ยุยงชาวเมืองอย่างนั้นหรือ คนนับหมื่นที่ออกมาร่วมขบวนนี้น่ะหรือ ใต้เท้าเกาช่างประเมินหลูซืออันสูงยิ่งนัก…”
ท้องพระโถงที่เคยเงียบสงบก็เสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาในทันใด มีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนที่คัดค้าน เสียงดังสนั่นราวกับลมฝนพายุมิปาน
องค์ชายใหญ่ได้แต่ยืนนิ่ง แววตาเหม่อลอย
เขายังไม่ทันได้สติว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นด้วยซ้ำ เหตุใดเหล่าขุนนางที่ปิดหูปิดตา นิ่งเงียบราวกับสุนัขแสนเชื่องมาโดยตลอด กลับเริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้นมา ไม่นานก็เริ่มเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง แทบจะถลกแขนเสื้อกระโจนเข้าใส่กันอยู่แล้ว
เป็นเช่นนี้อีกตามเคย ไม่รู้ว่าพวกเขาทะเลาะกันเรื่องอันใดกันแน่ ไร้สาระยิ่งนัก
องค์ชายใหญ่ยืนอยู่กลางท้องพระโรง รู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปยามที่เขาขึ้นว่าราชการแทนเสด็จพ่อตอนยังเด็ก แต่ยามนี้กลับรู้สึกทรมานเสียยิ่งกว่า เพราะตอนนั้นอย่างน้อยเขาก็ได้นั่งบนบัลลังก์ ไม่ใช่ยืนอยู่เหมือนตอนนี้
ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะทะเลาะกันไปถึงเมื่อไหร่…
จิ้นอันจวิ้นอ๋องผู้จุดชวนดอกไม้ไฟให้ปะทุขึ้นกำลังก้มหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยดังเดิม ทว่าสายตากลับหยุดอยู่ที่ภาพวาดนนั้นอีกครั้ง เสียงโหวกเหวกโวยด้านหลังราวกลับบทเพลงบรรเลงเคล้าคลอ
“ข้าชอบภาพวาดภาพนี้นัก” เขาเอ่ยกระซิบกับองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ไม่ชายตามองเขาแม้แต่นิด
“องค์ชายดูสิ วาดได้ดีนัก สมจริงเสียยิ่งกระไร แต่ก่อนตอนที่ข้าออกจากวังไป ก็มักจะใช้เส้นทางจากประตูตะวันตกไปยังประตูตะวันออก... ข้าจำสะพานนี้ได้ หัวสะพานมีสิงห์อยู่สามตัว…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ใส่ใจทั้งยังพูดต่อ พลางจ้องมองไปที่รูปภาพ
องค์ชายใหญ่ก้าวถอยห่างจากเขา
สายตาของจิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดอยู่ที่ดอกไม้ไฟบนภาพ ดอกไม้ไฟจากนอกเมืองในวันนั้นเปล่งประกายงดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ
อันที่จริงเขาเองเห็นแล้วกับตา เพียงแต่เห็นเพียงประกายรำไรเท่านั้น ยามที่ดอกไม้ไฟปะทุกลางท้องฟ้า เขากำลังพาลิ่วเกอร์ไปนั่งเล่นบนจุดที่สูงที่ของวังหลวงที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ตอนนั้นพวกเขายังตกใจจนสะดุ้งตัวโยนกันอยู่เลย
ที่แท้วันนั้นเมืองหลวงคึกคักถึงเพียงนี้เชียวหรือ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกวาดสายตามองภาพวาดครั้งแล้วครั้งเล่า
นางคงโมโหมากแน่ๆ ทั้งยังเศร้าโศกมากแน่ๆ สิ่งที่นางมีเดิมทีนั้นช่างน้อยนิด แต่บัดนี้ได้สูญสิ้นแล้วทุกสิ่ง