พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 432 ถามเถิด
เจียงเหวินหยวนไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับข่าวด่วนจากเมืองหลวง โจวเฟิ่งเสียงในฐานะผู้ตรวจการก็ได้รับข่าวด่วนนั้นเช่นกัน
“กระหม่อมรับคำบัญชา” เขาโค้งตัวคำนับพลางเอ่ยขึ้น
โจวเฟิ่งเสียงมองดูพระบรมราชโองการที่รับมาด้วยความตื่นเต้น
เป็นเวลาสองปีกว่าแล้วที่เขารับหน้าที่ผู้ตรวจการแห่งตะวันตกเฉียงเหนือ ในที่สุดก่อนที่จะต้องจากไป เขาก็ได้ทำหน้าที่ของเขาเสียที
แน่นอนว่าฮ่องเต้มิได้ตำหนิเจียงเหวินหยวนโดยตรง ถึงแม้จะทรงรับเรื่องไม่ไว้วางใจจากหลูเจิ้ง แต่พระบรมราชโองการที่บัญชาลงมาก็เพียงต้องการให้ทางการตะวันตกเฉียงเหนือตรวจสอบรางวัลจากการออกรบของห้าคนจากเขาเม่าหยวนซานเท่านั้น
นอกจากนี้ ฮ่องเต้ยังได้พิจารณาถึงสถานการณ์ของเขาแล้ว จึงเพียงสั่งให้เขาไปตรวจสอบเท่านั้น หากแต่รายงานจะต้องผ่านมือเจียงเหวินหยวนก่อนนำทูลฮ่องเต้ และเมื่อต้องผ่านมือเจียงเหวินหยวนก่อน จึงเป็นการป้องกันไม่ให้เขาโจมตีได้ตามใจชอบ แต่หากเขาสืบได้เรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เจียงเหวินหยวนเองก็ห้ามไม่อยู่เช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่จะตัดสินว่าเขากับเจียงเหวินหยวน ใครจะได้อยู่ และใครจะต้องจากไป
การอยู่หรือไปในครั้งนี้จะส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงของพลทหารทั่วทั้งตะวันตกเฉียงเหนือ
ราวกับกลับไปช่วงคดีของหวังปู้ถังอีกครั้ง ซึ่งการตัดสินในครั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซาน สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันคือ สองปีก่อนทำไปเพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่สองปีถัดมาทำไปเพื่อคนตาย
โชคชะตานั้นช่างตลกยิ่งนัก
โจวเฟิ่งเสียงเหม่อลอยพลางถอนหายใจอยู่ในใจ
เสียงเหล่าเสมียนถกเถียงกันในห้องโถงใหญ่ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เขาเดินวนไปมาพลางครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้
คราวก่อนตอนเจียงเหวินหยวนชิงเขียนสาส์นปฏิเสธรางวัล เขาก็รู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ แต่การที่ขุนนางถูกโจมตีและถูกยื่นเรื่องไม่ไว้วางใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่หลังจากเรื่องนั้นผ่านไปแล้ว ราชสำนักก็ยังประทานรางวัลมาให้อีก แถมยังใช้คำชื่นชมเสียสวยหรูในประกาศ เขาก็นึกว่าเรื่องจะจบลงเท่านี้
นึกไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงเดือนเดียว กลับถูกยื่นไม่ไว้วางใจอีก แถมฮ่องเต้ยังทรงรับเรื่องไว้เสียด้วย ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นจัดการให้เด็ดขาดในทันใด แต่สำหรับแม่ทัพแห่งตะวันตกเฉียงเหนือผู้เพิ่งได้รับรางวัลไปก็ถือเป็นการลงโทษที่รุนแรงแล้ว
“ใต้เท้า ข้าได้ถามผู้ตรวจการโจวมาแล้ว เขาบอกว่าไม่ทราบเรื่องนี้ สีหน้าดูไม่จริงใจเลย” เสมียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
แต่โจวเฟิ่งเสียงกลับไม่ว่าอะไร
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะห้าคนจากเขาเม่าหยวนซาน คนที่จะออกหน้าแทนห้าคนนั้นในตะวันตกเฉียงเหนือก็มีเพียงท่านชายโจวหกเท่านั้น แต่ยามที่ท่านชายโจวหกอยู่ในทัพตะวันตกเฉียงเหนือ เขาถูกกดขี่แถมยังทำให้เจียงเหวินหยวนไม่พอใจ จึงเก็บความโกรธกลับเมืองหลวง เมื่อไม่มีเจียงเหวินหยวนคอยจูงจมูกจึงสร้างเรื่องให้คนทั่วเมืองออกมาต้อนรับวิญญาณวีรบุรุษ ได้พบกับหลูเจิ้งตอนใกล้ตาย เขาราวกับได้จับฟางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้รอดชีวิต เมื่อทุกอย่างประจวบเหมาะ จึงก่อเรื่องนี้ขึ้นมา
เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ พวกตระกูลโจวเองก็คงคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นแบบนี้ และคงไม่มีทางรู้เรื่องนี้ก่อนคนอื่นเช่นกัน
หรือจะเป็นใครคนหนึ่งในตระกูลโจวที่อยู่เบื้องหลัง ถ้าแบบนั้นคนตระกูลโจวก็คงไม่ยอมรับอยู่แล้ว
ดังนั้นผู้อยู่เบื้องหลังคงคิดเหมือนหลูเจิ้ง ว่าถึงอย่างไรท่านชายโจวหกกับเจียงเหวินหยวนก็บาดหมางกันอยู่แล้ว ถึงอย่างไรคนตระกูลโจวก็คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีก ไหนๆ ก็ใกล้ตายแล้ว ก็เอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยเสียดีกว่า
“ใต้เท้า เรื่องนี้เกี่ยวกับตระกูลโจวจริง หากแต่คนบงการไม่ใช่ท่านชายโจวหก” เสมียนอีกคนหนึ่งวางจดหมายในมือลงแล้วเอ่ยขึ้น
นอกจากราชโองการจากฮ่องเต้แล้ว ยังมีจดหมายจากญาติมิตรผู้ช่วยสอดส่องข่าวคราวส่งมาด้วย หากจะพึ่งพาราชโองการจากฮ่องเต้เพียงอย่างเดียว คงไม่มีทางตัดสินอย่างถูกต้องได้ การทำแบบนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาที่ทำได้ พวกเจียงเหวินหยวนก็ทำได้เช่นกัน
คนในห้องหันไปมองเขา
“…เป็นหลานสาวตระกูลโจว” เสมียนเอ่ยขึ้นพลางยื่นจดหมายในมือให้ “น้องสาวบุญธรรมของพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซาน”
น้องสาวบุญธรรมงั้นหรือ
เป็นผู้หญิงงั้นหรือ
สีหน้าทุกคนดูตกตะลึง
“พวกเจ้ายังจำข่าวลือที่ว่าพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานร่ำรวยมากได้หรือไม่” เสมียนเอ่ยถาม
อีกฟากหนึ่งมีคนหยิบจดหมายขึ้นอ่านพลางพยักหน้า
“ที่บอกว่าเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของร้านในเมืองหลวง…” เขากล่าว “ช่างเป็นข่าวลือที่ไม่สมจริงเอาเสียเลย”
“สมจริงสิ พวกเขาเป็นเถ้าแก่ใหญ่จริงๆ แถมยังเป็นร้านที่มีชื่อเสียงมากด้วย” เสมียนคนนั้นพูดต่อ “เรือนไท่ผิง…”
คนในเหตุการณ์เมื่อได้ยินเขาพูดสามคำนี้ออกมาต่างก็ร้องเสียงหลง
ถึงแม้โจวเฟิ่งเสียงจะไม่ได้มาจากเมืองหลวง แต่ตอนรอตำแหน่งก็พักอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลานานพอสมควร ทุกคนต่างรู้จักชื่อเรื่อนไท่ผิงซึ่งเป็นเจ้าของเต้าหู้ไท่ผิงเป็นอย่างดี
เป็นถึงร้านยอดนิยมเลยนี่ ใช่สิ ตอนห้าคนนั้นถูกจับ ก็ถูกจับได้ที่เรือนไท่ผิง แต่ตอนนั้นทุกคนต่างไม่ได้สนใจ เพียงคิดว่าพวกเขาเป็นคนงานที่ร้าน นึกไม่ถึงว่าจะมีความสัมพันธ์กันขนาดนี้
ทุกคนถึงได้บอกว่าพวกพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานใช้เงินฟุ่มเฟือยนั่นเอง
“…ส่วนน้องสาวบุญธรรมของพวกเขา ก็คือเถ้าแก่ใหญ่ที่แท้จริงของเรือนไท่ผิง” เสมียนเอ่ย
“ไม่ใช่ตระกูลโจวหรือ” มีคนถามอย่างตกใจ “นี่เป็นกิจการของนางเพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ”
เสมียนส่ายหน้าแต่ยังไม่ทันได้พูด คนที่กำลังถือจดหมายก็หันมามองเสมียนแล้วพูดขึ้นก่อนว่า “ไม่ใช่ตระกูลโจว ทางการสืบค้นมาเรียบร้อยแล้ว ตระกูลโจวเองก็ไม่มีทางยอมให้หลานสาวไปรับหน้าเป็นเถ้าแก่หรอก มันไม่สมเหตุสมผลเลย…อีกอย่าง…ไม่ใช่แค่เรือนไท่ผิง…” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “ยังมีเรือนนางฟ้าอีก…”
เสียงร้องตกใจดังขึ้น เท่านี้ยังไม่จบ
“…และยังมีอี๋ชุนถัง…ที่แท้นางก็คือหมอเทวดาที่รักษาท่านพ่อของเฉินเซ่าและชุบชีวิตบัณฑิตถง หากไม่ป่วยใกล้ตายนางจะไม่รักษา นางร่ำรวยมหาศาล” เสมียนคนนั้นเอ่ยต่อ เมื่อเล่าถึงตรงนี้ผู้คนก็พากันตกอกตกใจกรีดร้องเสียงแหลม
“แบบนี้ค่อยสมเหตุสมผลหน่อย! ว่าทำไมนางถึงมีกิจการเหล่านี้ไม่ใช่ตระกูลโจว!”
ผู้คนในเหตุการณ์ต่างพากันกรูเข้าไปแย่งจดหมายฉบับนั้นอย่างวุ่นวาย
โจวเฟิ่งเสียงไม่ได้ต่อว่าการกระทำนั้น เพราะเขาเองก็นิ่งตะลึงอยู่ เขายืนขึ้นนึกถึงคำพูดของเหล่าเสมียน แล้วจึงหันมองผู้คนที่ตื่นตระหนกจากจดหมายฉบับนั้น
ให้ตายเถอะ
เถ้าแก่ใหญ่ของเรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้าและอี๋ชุนถัง
หมอเทวดาผู้รักษาท่านพ่อของเฉินเซ่าจนหาย ทำลายความกังวลของเฉินเซ่า และช่วยชีวิตบัณฑิตถง
กลับมาได้
น้องสาวบุญธรรมของพวกพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซาน!
ให้ตายเถอะ
มิน่าล่ะ…
“ท่านจะต้องเสียใจ!”
โจวเฟิ่งเสียงนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มคนนั้น ตอนเขาพูดประโยคนั้นกับเจียงเหวินหยวน ผู้คนต่างหัวเราะในความไร้เดียงสาของเขา
ที่แท้ประโยคนี้ไม่ใช่ประโยคระบายความโกรธ แต่เป็นประโยคที่เขามั่นใจมากต่างหาก
“ไม่ใช่สิ…” โจวเฟิ่งเสียงพึมพำ “มีน้องสาวแบบนี้อยู่แล้ว จะมาเป็นทหารทำไม!”
ข่าวด่วนทำให้คนมากมายโกรธเคืองและตกตะลึง แต่สวีซื่อเกินผู้รอคอยสิ่งนี้มานานกลับสงบนิ่งยิ่งนัก
เมื่อเสร็จงานเผาเกือกม้าที่โรงม้าเรียบร้อยแล้ว ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าฟากตะวันตกไปแล้ว สวีซื่อเกินหิ้วถังน้ำไปอาบน้ำ สวมเสื้อผ้าของตนเองแล้วเดินออกประตูไป เขาตักเหล้ามาสองไหแล้วซื้อขนมต่างๆ จนเต็มตะกร้า เดินคดเคี้ยวไปมาจนมาถึงถนนเล็กๆ สายหนึ่ง
หน้าเรือนหลังหนึ่งมีเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ ประตูเรือนเปิดกว้าง สวีซื่อเกินยืนนิ่งอยู่หน้าประตูแล้วก่อนจะโกนเรียกพี่หลิวเจียง
ภายในเรือน ชายคนหนึ่งหยุดฝีเท้าแล้วหันมามองเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา
“เจ้าอีกแล้วหรือ” เขาเอ่ย “สวีซื่อเกิน เจ้ากลับไปเถิด เรื่องนั้นข้าไม่รู้จริงๆ ไม่มีอะไรจะพูด”
สวีซื่อเกินหัวเราะโดยไม่ได้สนใจเรื่องที่เขาพยายามหลบเลี่ยงจะตอบ พลันนำเหล้าในมือวางไว้หน้าประตู
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้าอารมณ์ดี ไปตักเหล้ามาแต่ก็ไม่มีใครให้ดื่มด้วย นึกขึ้นได้ว่าเจ้ากับพวกเขาก็เป็นเพื่อนผองออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา เลยแวะมาหา” เขาเอ่ยแล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่รอให้คนด้านในบ้านเอ่ยตอบ
คนด้านในบ้านมองสวีซื่อเกินเดินจากไปด้วยสีหน้าสับสน ภรรยาของเขาเดินออกมาจากห้อง
“ชายห้า ฉวีซื่อเกินอีกแล้วหรือ” นางกระซิบถาม
ชายคนนั้นทำเสียงอืม
คนเป็นภรรยาถอนหายใจ
“แต่ก็น่าสงสารนะ…” นางเอ่ยขึ้น
“น่าสงสารตรงไหนกัน” ชายคนนั้นตะคอกใส่ “มีคนตายจากการออกรบมากมาย ต้องสงสารกันทุกคนงั้นหรือ ในเมื่อมาเป็นทหารก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องตาย น่าสงสารตรงไหนกัน!”
ภรรยาถูกตะคอกใส่จนหน้าแดง
“ก็เพราะข้ารู้ว่าต้องมีวันนั้นไงถึงได้สงสาร!” คราวนี้นางไม่ได้ก้มหน้าเดินจากไปอย่างอ่อนโยนเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับเงยหน้าตะโกนตอบพร้อมดวงตาแดงก่ำ “ข้าสงสารที่คนเป็นทหารต้องมีวันแบบนั้น ตอนตายก็ตายเปล่า แถมยังถูกคนใส่ร้าย ลูกเต้าใช้ชีวิตหาความสงบไม่ได้ ต้องถูกคนไล่ออกไป เพราะอย่างนั้นข้าจึงสงสาร วันนี้ไม่สงสารเขา วันหน้าใครจะมาสงสารพวกเรา!”
ชายคนนั้นถูกตะคอกใส่จนหน้าซีด เขาโมโหแต่กลับไม่รู้จะพูดอะไร
“พูดไร้สาระ!” เขาตะโกนพลางหันหลังสะบัดตัวเดินเข้าห้องไป
ภรรยายกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างโกรธเคือง เมื่อเห็นเหล้าสองไหวางอยู่หน้าบ้านจึงเดินออกไปหยิบขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว
“…ปิดบังให้คนอื่นมีประโยชน์อะไร แค่ได้เลื่อนขั้นนิดหน่อย แต่ยังต้องติดหนี้บุญคุณ ต้องถูกห้าม สู้ให้…” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็มองออกไปด้านนอก ซอยเล็กๆ ตรงหน้าไม่มีเงาของสวีซื่อเกินอยู่แล้ว
“…สู้ให้คนลืมบุญคุณ แต่เมตตาผู้อื่นยังจะดีเสียกว่า…”
นางพึมพำพลางมองดูเหล้าในมือ สูดดมกลิ่นเข้าไปอย่างแรง แล้วจึงตะโกนเข้าไปในเรือนอย่างดีใจ
“… ต้าโถว ต้าโถว ไปซื้อกระดูกแพะในตลาดมาให้หน่อย แม่จะเพิ่มอาหารให้จานหนึ่ง”
ในขณะทึ่คนเป็รภรรยาเรียกให้ลูกไปซื้อกระดูกแพะ สวีซื่อเกินก็มาถึงประตูบ้านอีกหลังหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่ได้เดินเข้าไป เพียงแต่ยืนอยู่ในซอย ยื่นมือไปลูบหัวเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่ด้านนอก
เด็กน้อยคุ้นเคยกับเขานัก หัวเราะคิกคักไม่ได้หลบหนี
หน้าประตูมีหญิงอยู่สองนาง หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบเตรียมตัวจะไล่ แต่กลับถูกหญิงมีอายุยื่นมือมาห้าม
“ท่านแม่…ถ้าเกิดเขาโกรธขึ้นมา ยิ่งเกลียดพวกเราอยู่…ลูกน้อยคง…” หญิงสาวพูดอย่างร้อนใจ
หญิงมีอายุส่ายหน้า
“ดูหน้าก็รู้ใจ เขาไม่ทำร้ายเด็กน้อยหรอก และไม่มีทางทำร้ายพวกเรา” นางเอ่ยตอบพลางมองไปทางซอย
หญิงสาวมองดูอย่างไม่วางใจ เห็นสวีซื่อเกินนั่งยองลงพูดอะไรบางอย่างกับเด็กน้อย เขาหัวเราะ เด็กน้อยเองก็หัวเราะเช่นกัน จากนั้นเขาก็หยิบขนมจากตะกร้าออกมาให้เด็กน้อย เด็กน้อยดีใจรีบชูขึ้นแล้ววิ่งเอาแบ่งให้เพื่อนๆ
เขานั่งยองบนถนน มองดูเด็กน้อยเล่นกันอย่างสนุกสนาน เผยยิ้มที่มุมปากเป็นครั้งคราว
“ได้ยินมาว่าหนึ่งในคนที่ตายทิ้งลูกเอาไว้ด้วย…” อยู่ดีๆ หญิงมีอายุก็กระซิบขึ้น
หญิงสาวตัวสั่นราวกับถูกเข็มทิ่ม นางหันตัวกลับไป
“ท่านแม่ อย่าพูดเรื่องนี้!” นางเอ่ยเตือนด้วยความร้อนใจ
หญิงชรามองหน้านาง แล้วก้มหน้าเย็บผ้าต่อไม่พูดอะไร
หญิงสาวหันกลับมาเตรียมจะเรียกลูกกลับเข้าบ้าน แต่ก็พบว่าสวีซื่อเกินที่เดิมทีนั่งยองอยู่บนพื้นได้เดินจากไปแล้ว นางปิดปากที่เพิ่งจะอ้าลง สีหน้าดูสับสน
ยามฟ้ามืด ตะกร้าของสวีซื่อเกินก็ว่างเปล่าแล้ว สีหน้าเขาดูผ่อนคลาย เขายืนอยู่หน้าประตูโรงม้าอันเป็นที่พักอาศัยของเขาในตอนนี้ เขากำลังจะก้าวเข้าประตู ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
“สวีซื่อเกิน” คนเป็นหัวหน้าทำสีหน้าขรึมแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าเจียงมีเรื่องต้องถามเจ้า ไปกับพวกข้าด้วย”
สวีซื่อเกินพยักหน้า สีหน้าสงบนิ่ง หันหลังเดินตามไปทันที หางตาเหลือบเห็นคนมากมายที่มาหลบๆ ซ่อนๆ ชี้นิ้วพูดคุยกันเรื่องเขา
ถามเถิด พูดเถิด ไม่ต้องกลัวที่จะถาม ไม่กลัวที่จะพูด กลัวเพียงแต่ไม่มีคนถาม ไม่มีคนพูด