พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 436 น่ารังเกียจ
รองเท้าเกี๊ยะส่งเสียงดังกุกกักอยู่บนพื้นแผ่นหิน เสียงนี้ดังก้องสะท้อนลอดผ่านระหว่างศาลาและตำหนัก
‘อาฟั่ง!’
นางหันหน้าไปมองชายร่างสูงด้านหลังที่ถูกเงาของแสงตะวันทาบทับลงมา
‘อาฟั่ง ซากปรักหักพังของราชวงศ์ต้าโจวพวกนี้ แม้ว่าจะเหลือแต่โครงและตำหนักที่ไม่สมบูรณ์ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นสร้างได้ไม่เลวทีเดียวเชียว…’
เขากางแขนออกชี้มือชี้ไม้ไปทั้งสองฟากพลางยิ้มเอ่ย
น้ำเสียงใสกังวานคล้ายใกล้คล้ายไกลก้องอยู่ภายในตำหนักอันรกร้างกว้างโล่ง
‘ดีเช่นนั้นที่ไหนกัน สู้เรือนของเจ้าในวันหน้าไม่ได้หรอก’
นางแย้มยิ้มเอ่ย
เสียงหัวเราะของชายด้านหลังยิ่งสดใส เขายื่นมือออกไปหานาง
เสียงกระแอมแผ่วเบาดังขึ้นข้างหู เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้น มองขันทีเบื้องหน้าที่กำลังหันหน้ามา แล้วมองไปยังองครักษ์ที่สวมเกราะหนานถือขวานสองคมทั้งสองฟาก ส่งสัญญาณเตือนให้ระมัดระวัง
“…อย่าได้กลัวไป ถามมาอย่างไรเจ้าก็ตอบไปอย่างนั้น…” ขันทีพูดต่อไม่หยุด ส่วนแม่นางน้อยผู้นี้พลันหยุดฝีเท้าลงแต่มิได้ตกใจอะไร
เข้าเฝ้าฮ่องเต้ครั้งแรก ขนาดบรรดาขุนนางที่ได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้ายังประหม่าจนเสียกิริยาเลย ยิ่งเป็นหญิงสาวแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ที่แท้แม่นางน้อยผู้นี้ยังเด็กถึงเพียงนี้เชียวหรือ ได้ยินคนเรียกหมอเทวดาก็คิดว่าน่าจะอายุมากกว่านี้เสียอีก มากสุดก็น่าจะสักยี่สิบกว่า คิดไม่ถึงว่าคนที่ถูกเดินนำทางมาจากหออาลักษณ์หลวงนางนี้จะเป็นเด็กสาวอายุน้อย
สิบหกปีหรือสิบปีได้กระมัง
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าคำนับ มองโถงตำหนักอันสูงใหญ่โดยรอบ
‘อู๋กงพฤกษาผการกพุ่ม อาภรณ์กองสุมแคว้นจิ้นเป็นเขา…อาฟั่งกลอนที่ข้าแต่งเพราะหรือไม่’
เสียงหัวเราะของหญิงสาวดังขึ้นเบาๆ
‘เฮอะ คนหลอกลวง แม้ข้าจะไม่ชอบกาพย์กลอน แต่ก็มิใช่ไม่รู้จักเสียหน่อย’
คนหลอกลวง…ไม่ ไม่มีคนหลอกลวง
“เมื่อครานั้นเทียนตี้เมามายเสียดินแดน เป็นเมืองแมนแข็งกล้าท้าศัตรู”
เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพึมพำพลางมองไปเบื้องหน้า
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ขันทีเอ่ยถาม โน้มตัวลงเล็กน้อย ไม่รอให้เฉิงเจียวเหนียงกล่าวคำใด เขาก็เอ่ยเตือนขึ้นมาอีก “ภายในวังหลวงหากมิได้ถาม อย่าได้เอ่ยตอบ”
เฉิงเจียวเหนียงคำนับอีกครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก
“ที่แท้ก็เด็กเพียงนี้”
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงดึงสายตากลับมา
“ดูท่าเหมือนตกใจขวัญหนีไปแล้ว แต่เหตุใดจึงใจกล้าก่อเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาได้กัน”
คนไม่น้อยกำลังกระซิบวิพากษ์วิจารณ์ เหล่าผู้ตรวจการตักเตือนให้ทุกคนเงียบเสียงลง
หากบอกว่าไม่มีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังน่ะสิแปลก
แม้ว่าจะรู้อายุอานามของแม่นางน้อยผู้นี้แล้ว แต่ในตอนที่เห็นตัวเป็นๆ เข้า เกาหลิงปอก็ยังคงทอดถอนใจออกมาเสียงหนักเสียงเบา
หากไม่สืบมามากมายจนมั่นใจ เขาก็ไม่อาจเชื่อได้ว่ามีคนคอยหนุนหลังแม่นางผู้นี้ และไม่อยากเชื่อด้วยว่านางจะเก่งกาจพอให้ผู้ใดยอมหนุนหลังให้
บางทีอาจเกิดจากความประมาทของราชเลขาหลิวในตอนนั้นก็เป็นได้ คู่ต่อสู้คนนี้จึงมักถูกมองข้ามไปอยู่เสมอ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตากวาดมองไปยังเฉินเซ่าคล้ายจงใจแต่ก็คล้ายไม่ตั้งใจ
ตั้งแต่เมื่อใดกัน พวกเขาสานสัมพันธ์กันตั้งแต่ยามที่นางรักษาอาการป่วยให้นายท่านเฉินอย่างนั้นหรือ หากขุดคุ้ยอันใดขึ้นมาได้ แค่แพร่เรื่องข่าวหมอเทวดาที่เป็นศิษย์ของนักพรตเทพเซียนนี้ออกไป ก็สามารถไล่เฉินเซ่าออกจากเมืองหลวงไปได้แล้ว แต่เขาไม่อาจทำได้…
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หญิงผู้นี้ไม่เคยยอมรับข่าวลือนั้นเลย อีกทั้งยังหายตังวไปในครารุ่งเรือง ทิ้งไว้เพียงชื่อเสียงของหมอเทวดา ทว่ากลับไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็หาจุดอ่อนของนางไม่พบ
ยังมีวิธีใดอีกหนอ โอกาสดีเช่นนี้ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้
เกาหลิงปอขมวดคิ้วครุ่นคิด ไม่สนใจเรื่องตรงหน้าเท่าใดนัก เรื่องตรงหน้าไม่นับว่าเป็นเรื่องแล้ว ชัยชนะถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว
พอเดินมาถึงหน้าตำหนัก หญิงผู้นั้นก็หายไปจากสายตาของทุกคน นางยืนมั่นอยู่ข้างระเบียง ฟังขันทีเข้าไปกล่าวรายงานจากประตูด้านข้าง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยืนอยู่ด้านใน หางตามองไปยังประตูตำหนัก ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่าด้านบนไม่ควรแกะสลักลายใด พอฤดูหนาวก็หนาวเหน็บ ฤดูร้อนก็อบอ้าว แต่ยามนี้กลับรู้สึกว่าลายฉลุนั้นเล็กเสียจริง หากมีมากกว่านี้และใหญ่กว่านี้อีกสักหน่อยก็คงมองเห็นคนที่อยู่ด้านหลังได้แล้วกระมัง
กลัวหรือ
คงไม่หรอกกระมัง
ก็เหมือนยามเด็กที่เขาติดตามท่านพ่อท่านแม่มายังวังหลวงเป็นคราแรก เห็นตำหนักสูงใหญ่เพียงนั้น องครักษ์มากมาย อีกทั้งผู้คนขวักไขว่ ก็หวาดกลัวยิ่งนัก ต่อมาพอท่านพ่อท่านแม่ส่งเขาสู่อ้อมอกของเหล่าสนมในวังแล้วเดินจากไป
โดยที่ไม่หันกลับมามอง เขาก็ไม่เคยกลัวอีกเลย
หลังจากที่คนเราได้ลิ้มลองความหวาดกลัวสุดขีดไปแล้ว บนโลกนี้ก็จะไม่มีเรื่องใดมาทำให้หวาดกลัวได้อีก
ราวกับผ่านไปเนิ่นนาน แต่คล้ายว่าผ่านเพียงไม่กี่ชั่ววินาที ทันใดนั้นก็มีเสียงรับสั่งของฮ่องเต้ดังขึ้นจากด้านนั้น
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากหญิงผู้นั้นที่เดินเข้ามาใกล้ประตูข้างของตำหนักหลัง เพราะมีบานประตูกั้น แม้จะมองไม่เห็นคนเดิน แต่ก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยจากอีกฝั่ง มีขุนนางจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้บานประตูอย่างอดใจไม่ไหว สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าลงภายใต้สายตาของผู้ตรวจการ
“…เรื่องที่เจ้าได้พบนักพรตเทพเซียนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
สุรเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นทำเอาเหล่าขุนนางทางด้านนี้ตื่นตะลึง กระทั่งผู้ช่วยราชเลขาธิการก็ยังพากันขมวดคิ้ว
คิดไม่ถึงว่าคำถามแรกของฮ่องเต้จะไม่จริงจังเพียงนี้
ทว่าประโยคหยอกล้อนี้กลับตอบได้ยากนัก
ณ ท้องพระโรง นอกจากองค์ชายใหญ่ที่มีสีหน้านึกสนุกแล้ว คนอื่นๆ กลับสีหน้าตึงเครียดกันหมด
หากบอกว่าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นก็จะถูกตำหนิว่าพูดพล่ามเรื่องเทพเซียนลี้ลับต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ ไม่ต้องให้ฮ่องเต้เอ่ยปาก เหล่าขุนนางใหญ่คงสั่งให้คนมาเอาตัวนางไปตัดหัวได้
หากบอกว่าไม่จริง เช่นนั้นก็คือนางรู้ทั้งรู้ว่าคำเล่าลือมีอยู่จริง แต่ไม่แก้ข่าวลือ ก็จะเป็นการหลวงลวงปวงชนให้หลงงมงาย
จะพูดอย่างไรดี ควรตอบไปอย่างไรดี แต่ก็คิดนานไม่ได้ มิฉะนั้นฝ่าบาทก็จะคิดว่านางไม่ซื่อตรงเพราะแสร้งรับปากส่งๆ เช่นนี้
คนฟากนี้รู้สึกราวกับเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งลมหายใจ ไม่ทันไรเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นจากอีกฝั่ง
“หม่อมฉันรู้จักตัวเอง แต่ไม่รู้จักผู้อื่นเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าตอบ แล้วคุกเขาถวายคำนับอีกครั้ง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ต้องรีบก้มหน้าลงเพื่อปิดบังอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้เงยพระหน้าขึ้นมองไปยังหญิงที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า และถอนหายใจออกมาคราหนึ่งดังเช่นขุนนางของพระองค์
เด็กถึงเพียงนี้
จากนั้นพระองค์จึงมองกิริยาท่าทางของนาง แม้ว่าจะก้มหน้าอยู่ แต่หลังกลับตั้งตรงในท่าคุกเข่า อกผายไหล่ผึ่ง
เหล่าขุนนางชั้นสูงมากอำนาจ คนทั่วไปเห็นแล้วต่างตัวสั่นงันงก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้เลย การสอบเข้ารับราชการในวังของทุกปีมักจะมีผู้เข้าสอบที่ทำกิริยาน่าขายหน้าเป็นประจำ
แต่แม่นางน้อยเบื้องหน้านี้ แม้ว่าจะนั่งหลังตรงสงบนิ่งตามหลักตามเกณฑ์ ทว่าสีหน้ากลับดูผ่อนคลาย
กิริยาท่าทางของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่งโดยแท้ หญิงนางนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย
หลังจากฮ่องเต้ถามยืนยันเรื่องที่ได้ยินมาแล้วก็หลบตาลง
“แล้วตัวเจ้าเองเล่า” พระองค์ถาม
“คนที่หม่อมฉันได้พบเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเซียนเพคะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
นางมีอาจารย์สั่งสอนจริงๆ ด้วย! บรรดาขุนนางที่อยู่หลังฉากกั้นต่างกระซิบกระซาบกันอย่างอดไม่อยู่ พาลทำให้ผู้ตรวจการต้องมาตักเตือนอีกครั้ง
ฮ่องเต้ไม่ตกใจกับคำตอบนี้แม้แต่น้อย แม้จะอยู่ในวังก็มีขุนนางเทียวกราบทูลช่างนินทาครหาในเมืองหลวงมากมาย และย่อมรู้เรื่องที่เฉินเซ่าไปปิ้งโจวเพื่อตามหาอาจารย์ของเฉิงเจียวเหนียงในปีนั้นด้วยเช่นกัน
ที่บรรดาขุนนางอื่นไม่รู้เรื่องนี้ มิใช่เพราะเฉินเซ่าปิดบัง แต่เป็นเพราะเดิมทีพวกเขาไม่สนใจกันแต่แรก ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ใครจะไปสนใจแม่นางน้อยผู้นี้กันเล่า
“อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด” ฮ่องเต้ถาม
“ตอนนั้นหม่อมฉันยังไม่ได้สติ หากมิได้ใต้เท้าเฉินเสาะหาก็คงจะไม่รู้ว่ามีคนผู้นี้อยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำ” เฉินเจียวเหนียงเอ่ย “พอได้รู้แล้ว เขาก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่ทราบ ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวที่ตีแสกหน้าให้หม่อมฉันได้สติขึ้น”
“ใจความว่าอย่างไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างใคร่รู้
บรรดาขุนนางด้านนอกก็อยากรู้ไม่ต่าง ครานี้ผู้ตรวจการมิได้ตำหนิขุนนางเหล่านั้นที่ขยับไปชิดบานประตู เพราะพวกเขาก็เงี่ยหูคอยฟังอยู่เช่นกัน
“เจ้าคือใคร” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จดหมายฉบับนั้นทำเอานางเกือบตกอยู่ในห้วงนิทราไม่ฟื้นคืนกลับมาอีก ยามนี้ถูกแนบอยู่ในอกนาง แม้จะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ให้นางมา แต่ก็ยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนเดียวบนโลกนี้ที่รู้ว่านางมาจากไหน
ตั้งแต่ความทรงจำฟื้นคืนมา นางก็จำกัดความคิดของตัวเองอย่างเข้มงวด ทุกคราต้องตัดสินใจทำเรื่องเดียวแล้วไปทำเรื่องนั้น อย่างเช่นการตามหาตระกูลหยาง นางตั้งอกตั้งใจมุ่งเป้าตามหาตระกูลหยาง เรื่องอื่นๆ เรื่องก่อนๆ เรื่องทั้งหมดนางไม่เอามาคิด เพราะนางกลัวว่าคิดมากเกินไปจะทำให้ตัวเองรวน
นึกไปก็ไร้ประโยชน์ รู้แค่ว่าตัวเองเป็นใครก็เพียงพอแล้ว
มือเฉิงเจียวเหนียงที่ตกอยู่บนหัวเข่าขยับไปมา สุดท้ายจึงยับยั้งมันไว้ไม่ให้ยกขึ้นมาทาบหัวใจ
ไม่ผิดนางรู้ว่าตัวเองเป็นใครก็เพียงพอแล้ว
ข้าเป็นใคร
เหล่าขุนนางด้านนอกพอได้ยินคำตอบนี้เข้าก็ตกตะลึง
“เรื่องนี้มันตีแสกหน้าได้อย่างไร” องค์ชายใหญ่พึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้
“นี่ย่อมเป็นคำที่ใช้ตีแสกหน้าเพื่อเตือนสติแน่นอน” เฉินเซ่ามองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กระซิบทูลว่า “นักปราชญ์ค้นหาความจริงเรื่องนี้มาทั้งชีวิต เขียนตำราคัมภีร์ออกมามากมาย ใจความมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือตระหนักรู้ รู้ว่าตนเป็นใคร จำได้ว่าตนเป็นใคร ประโยคนี้พูดง่ายแต่ตอบยาก ลงมือทำยิ่งยาก”
องค์ชายใหญ่แอบเบะปาก แต่เฉินเซ่าเคยเป็นอาจารย์เขามาก่อน เขาจึงไม่อาจแสดงท่าทีจาบจ้วงต่ออาจารย์ได้ จึงค้อมตัวขานรับ
ทางด้านนี้ทุกคนยังคงฟังกันต่อไป ทว่าเสียงในห้องด้านนั้นกลับเงียบกริบ
“ไปเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น
พอประโยคนี้จบลง องค์ชายใหญ่ก็นิ่งชะงักไป
“เหตุใดฝ่าบาทไม่ถามต่อพ่ะย่ะค่ะ” เขาโพล่งถามขึ้น
เขายังอยากฟังคำเล่าลือพวกนั้นต่ออยู่เลย น่าสนุกกว่าฟังพวกขุนนางทะเลาะกันเสียอีก เหตุใดจึงไม่ถามต่อแล้วเล่า
ครานี้อาจารย์เฉินเซ่าไม่ได้ตอบเขาอีก
“เพราะแม่นางแซ่เฉิงน่ารังเกียจ” เกาหลิงปอกระซิบบอก “แค่เรียกนางเข้ามาก็เกินพอแล้ว”
แค่นี้ก็พอที่จะให้คนั้งแผ่นดินได้เห็นแล้ว เห็นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ฮ่องเต้จะมากความกับหญิงที่บีบบังคับเจตจำนงค์ของปวงชนและบีบบังคับพระองค์เองได้อย่างไร
“ฝ่าบาท ขงจื่อกล่าวว่ามนุษย์มีความชั่วร้ายทั้งห้า ชั่วร้ายกว่าการปล้นขโมยเสียอีก แม่นางเฉิงผู้นี้มีความชั่วร้ายสองในห้า นางประพฤติชั่วร้ายไม่แก้ไขปรับปรุง ในใจรู้ซึ้งกระจ่างแจ้งแต่ก็ยังทำชั่วไร้คุณธรรม คนเช่นนี้มิอาจใช้ประโยชน์และมิอาจส่งเสริมให้ท้ายได้” เกาหลิงปอเอ่ยสั่งสอนด้วยความจริงใจ
ขงจื๊อกล่าวอย่างนั้นหรือ!
องค์ชายใหญ่ดวงตาเป็นประกาย ในที่สุดเขาก็หาหัวข้อที่ตนสามารถพูดได้แล้ว
“หนึ่งคือประพฤติชั่วร้ายไม่แก้ไขปรับปรุง สองคือในใจรู้ซึ้งกระจ่างแจ้งแต่ก็ยังทำชั่วไร้คุณธรรม สามคือหน้าซื่อใจคดแต่พูดจาเสียมีเหตุมีผล สี่คือทุ่มเทจดจำในสิ่งที่ชั่วร้ายน่ารังเกียจและเอามาคละปนกันยุ่ง ห้าคือชื่นชมเห็นชอบด้วยกับการกระทำและคำพูดที่ผิด ซ้ำยังเติมแต่งให้ดูดี” เขาเอ่ยขึ้น
เกาหลิงปออมยิ้มพยักหน้า
“ฝ่าบาทแตกฉานในคัมภีร์ ปกิณกะต่างๆ นัก รู้จักแหล่งที่มาที่ไปและตีความได้อย่างใจนึก ช่างทรงประปรีชายิ่ง” เขาเอ่ย
องค์ชายใหญ่ยิ้มแย้มอย่างสงบเสงี่ยมและภาคภูมิ
“คิดจะให้ฮ่องเต้ทรงตกอยู่ในอธรรม นี่คือคนชั่วช้า” เกาหลิงปอเอ่ยต่อ
ภายในท้องพระโรงไม่มีใครสนใจใคร่รู้เหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว สำหรับผลลัพธ์ในครั้งนี้ทุกคนต่างคาดเดาอยู่ในใจได้นานแล้ว เมื่อครู่ที่สนใจก็แค่เพียงเพราะตัวแม่นางเฉิงเท่านั้น
เรื่องว่าจะจัดการเฉินเซ่าอย่างไรอาจจะพักไว้ก่อน โจวเฟิ่งเสียงแห่งทัพตะวันตกเฉียงเหนือไสหัวไปแล้ว จะวางตัวให้ผู้ใดไปแทนดีนะ เพราะเหล่าแม่ทัพขุนนางที่ถูกลดขั้นไปเพราะคดีของหวังปู้ถังก็น่าจะกลับมาระดมกำลังกันแล้วเช่นกัน…
ความคิดของเกาหลิงปอล่องลอยออกไปไกล เขาไม่กังวลว่าหญิงนางนั้นจะใช้อำนาจบีบบังคับพูดคุยต่อหน้าฮ่องเต้ อาจเรียกได้ว่ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้นางพูดเช่นนั้นด้วยซ้ำ ตะโกนโวยวายต่อฮ่องเต้ได้ยิ่งดี หากมีราษฎรแสดงกิริยาเช่นนั้นเหล่าองครักษ์เวรยามนอกตำหนักสามารถสังหารนาง ณ ที่นั้นได้
หากตายไปจริงๆ ก็ยิ่งดี ถึงเวลานั้นก็บอกไปว่านางถูกหลูเจิ้งกับเฉินเซ่าหลอกลวงปลุกปั่น เอาเจตจำนงค์ของปวงชนมาไว้ที่บ่าพวกเขา ไม่ต้องให้ตัวเองลงมือ เฉินเซ่าก็จะถูกเชิญให้ออกจากราชการ...
หางตาเขามองไปยังเฉินเซ่า เฉินเซ่าสีหน้ายังเหมือนเดิม ขณะนั้นเองอีกด้านหนึ่งมีลมพัดวูบขึ้นมาโดยพลัน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
เกาหลิงปอหันไปมองโดยสัญชาตญาณ เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวเข้าไปยังตำหนักหลังอย่างคาดไม่ถึง
ไอ้สารเลวนี่! เกาหลิงปอโมโหโกรธาขึ้น
“บังอาจนัก! เข้าไปโดยไร้พระบรมราชโองการรับสั่ง!” เขาตะคอกด้วยความเดือดดาลอย่างปิดไม่มิด
คนอื่นในตำหนักยังไม่ทันได้สติ เสียงของเกาหลิงปอยังไม่ทันจะดังขึ้นข้างหู เสียงของจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ดังขึ้นก่อนแล้ว
“แม่นางแซ่เฉิง ในเมื่อเจ้าจดจำคำนี้ได้ขึ้นใจ แล้วเหตุใดจึงก่อเรื่องไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ ราชสำนักมีขื่อมีแปร เจ้าไม่สนใจ เจ้าโกรธแค้นเดือดดาล เหตุใดไม่ร้องทุกข์ตามกฎธรรมเนียม เจ้าเองก็ยังรู้ดีจึงได้ตั้งกฎสามข้อนั้นขึ้นมา กระทั่งองค์ชายเจ้ายังไม่ยอมช่วยชีวิต แล้วเหตุใดจึงไม่สนใจกฎธรรมเนียมของราชสำนัก ไม่สนใจกฎของแผ่นดิน!”