พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 44 ผู้ใด
บ่าวชราและเซียนหญิงสองคนพยุงผู้เฒ่าให้นั่งลงบนเบาะฟางรองนั่งตรงทางเดินอย่างระมัดระวัง
“เลือดนี่จะเช็ดสักหน่อยไหม” เซียนหญิงผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างวิตก มองดูรอยเลือดบนหูทั้งสองข้างของผู้เฒ่า
“ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก” ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเชื่องช้า
เมื่อทางนั้นได้ข่าว เซียนหญิงสองคนก็เร่งฝีเท้าเดินออกมา
“เจ้าอาวาส” เซียนหญิงสามคนรีบกล่าวพลางคำนับ
“เกิดอะไรขึ้น” เซียนหญิงเอ่ยถาม
เหล่าเซียนหญิงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ต้องรบกวนแล้ว ขอพักที่ท่านเซียนหญิงสักพัก” ผู้เฒ่ากล่าว
ถึงแม้สีหน้าอ่อนล้า แต่ท่าทางของเขานั้นดูไม่ธรรมดาเหมือนคนทั่วไป
เจ้าอาวาสรีบคำนับ
พวกนางพบเห็นผู้คนที่มาปีนเขาแห่งนี้จนคุ้นชินแล้ว เพียงแต่ประการแรกวัดเสวียนเมี่ยวนั้นชื่อเสียงไม่โด่งดัง ประการที่สองวัดเสวียนเมี่ยวน้อยนั้นชื่อเสียงไม่ดีเลยทำให้ติดร่างแหไปด้วย จึงไม่ค่อยมีคนเดินเข้าวัดพวกนางนัก
ผู้เฒ่าผู้นี้เองก็เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะเกิดเหตุฉุกเฉิน เขาไม่เดินเข้าวัดเต๋านี้เป็นอันขาด ถึงแม้จะไม่มีหวังที่จะให้เขาเป็นแขกบูชาที่วัดนั้น แต่เจ้าอาวาสยังคงนำทุกคนมาต้อนรับอย่างดี
น้ำแกงกับข้าวมาจัดวางไว้บนโต๊ะอย่างเร็วไว
“อาหารในวัดธรรมดา โยมอย่าได้ถือสา” เจ้าอาวาสกล่าว
“ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก” ผู้เฒ่ากล่าวพลางคำนับกลับ
เจ้าอาวาสเห็นว่าเขาไม่ได้กินทันที แต่เทลูกปั้นกลมสีขาวออกมาจากถุงหอมในมือ แล้วนำเข้าปากอย่างช้าๆ
“นี่คือยาที่นายหญิงบนเขาผู้นั้นให้มาหรือ” เจ้าอาวาสเอ่ยถามอย่างสงสัย
ผู้เฒ่าหัวเราะ
“ที่จริง ไม่ใช่ยาหรอก” เขากล่าว แล้วเทออกมาอีกเม็ดยื่นให้ “ท่านเซียนหญิงลองชิมดู”
ไม่ใช่ยาหรือ ทั้งยังชิมได้ตามใจอย่างนั้นหรือ
เหล่าเซียนหญิงต่างตกใจกัน
“จะดีหรือ” เจ้าอาวาสรีบปัดป้อง
“ลองชิมดู ลองชิมดู” ผู้เฒ่ากล่าวพลางยิ้มให้
เมื่อได้พักผ่อนสักพัก เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมา
เจ้าอาวาสอายุมากแล้วค่อนข้างไว้ตัวจึงไม่ได้ลองชิม เซียนหญิงน้อยคนหนึ่งอดสงสัยไม่ได้จึงยื่นมือมาหยิบไปเม็ดหนึ่ง แล้วมองอาจารย์อย่างหวั่นเกรง
เจ้าอาวาสส่ายหน้าแต่กลับไม่ได้ว่ากล่าวใดๆ เด็กน้อยจึงหยิบใส่ในปากอย่างวางใจ รสน้ำผึ้งฟุ้งกระจายทั่วโพรงปาก
“ท่านอาจารย์ มันคือส้มเจ้าค่ะ!” เด็กน้อยเบิกตาโพรงก่อนตะโกนเสียงอู้อี้ จนน้ำผึ้งไหลย้อยออกมา
นอกจากผู้เฒ่าที่รู้อยู่แล้ว คนอื่นต่างพากันตกใจกันใหญ่
“ส้มหรือ”
“มันคือส้มที่ซื้อจากตรงเชิงเขาน่ะ”
ไม่ใช่ยาจริงๆ ด้วย เจ้าอาวาสคิด
“ท่านอาจารย์ ส้มก็กินเช่นนี้ได้หรือเจ้าคะ”
“ท่านอาจารย์ ส้มไม่ได้แกะกินเลยหรือเจ้าคะ”
แน่นอนว่าไม่ใช่ บ้านคนร่ำรวย ขนาดกินเมล็ดแตงยังกินได้หลากหลายรูปแบบ ผลไม้แช่อิ่มยิ่งซับซ้อนหรูหรา
ได้ยินเหล่าเซียนหญิงแอบถกเถียงกัน ผู้เฒ่าอมยิ้มพลางกินข้าว เขาเป็นคนเลือกกิน น้ำชาอาหารแสนหยาบและธรรมดาเช่นนี้ไม่ถูกปากเขาอยู่แล้ว
“นายท่าน นายหญิงผู้นั้นบอกให้ท่านกินข้าว…” บ่าวชราเอ่ยเสียงเบา มองดูนายท่านของตนที่กำลังจะหยุดกิน
ผู้เฒ่าส่ายหน้าหัวเราะ
“เจ้าไม่เคยว่าง่ายเช่นนี้มาก่อนเลย” เขากล่าวหยอกเย้า แล้วยื่นมือมาลูบหูก่อนจะเอ่ยพึมพาออกมาอีก “นึกไม่ถึงจริงๆ วั่นผิง เหตุใดเจ้าถึงลงมือได้โหดเหี้ยมเพียงนี้”
บ่าวชราแสยะยิ้มอย่างขมขื่น
“นายท่าน ตอนนี้ไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นอยู่นะขอรับ ท่านกินข้าวเสร็จ เราก็ไปหาหมอกันเลย” เขากล่าว
“นายหญิงผู้นั้นบอกว่าไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ฟังคำนางแล้วหรือ” ผู้เฒ่ากล่าวพลางหัวเราะ แต่แล้วก็จับตะเกียบขึ้นมาเพื่อกินข้าวต่อ
เหล่าเซียนหญิงออกไปแล้ว เจ้าอาวาสจึงต้องรับรองแขกด้วยตนเอง นางมองดูผู้เฒ่ากินข้าวและน้ำแกงอีกถ้วยหนึ่งจนหมด
เด็กน้อยยกน้ำเปล่ามาให้
“ไม่มีน้ำชา ขอโยมอย่าได้ถือสา” เจ้าอาวาสกล่าว
น้ำชาจากข้างนอก ข้าก็ไม่กินไปเรื่อยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นวัดเต๋าที่ดูธรรมดาเพียงนี้อีก ผู้เฒ่ายิ้มเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เขากล่าว ยกแก้วดินเผาที่ปั้นออกมาค่อนข้างหยาบขึ้นดื่มหนึ่งคำ พอกินข้าวเสร็จเรี่ยวแรงก็กลับมาบ้าง เขามองดูรอบๆ วัดเต๋าแห่งนี้
อิฐดำและกระเบื้องเทา พอดูออกว่าเจ้าของตั้งใจบูรณะดูแลเป็นอย่างดี แต่ทว่าก็ไม่สามารถปกปิดความเก่าแก่ไว้ได้ แม้ความศักดิ์สิทธิ์จะลดลงแต่ความเป็นที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น
มีเซียนก็ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ วัดเต๋าจำต้องพึ่งพาความนิยมศรัทรามาคอยหนุน จึงจะมีความศักดิ์สิทธิ์
เมื่อดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง ผู้เฒ่าก็เทส้มเชื่อมออกมาอีกสองเม็ด เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกกินเพียงเม็ดเดียว ผู้เฒ่าเอาเม็ดที่เหลือใส่กลับเข้าไปก่อนจะลุกขึ้นยืน
ข้างนอกมีรถลาวิ่งผ่านมา บ่าวชราพยุงผู้เฒ่าขึ้นรถ เจ้าอาวาสพาเหล่าลูกศิษย์ออกมาส่ง
“ขอบคุณมาก” ผู้เฒ่ากล่าว
เจ้าอาวาสคำนับกลับ
“ขอบคุณมาก” ผู้เฒ่ากล่าวพลางยกมือขึ้นมาคารวะ
รถลาค่อยๆ วิ่งไกลออกไป
“ผู้เฒ่าผู้นี้ช่างเกรงใจเสียจริง เขาเอ่ยขอบคุณถึงสองครั้ง” เด็กน้อยกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
“ครั้งนั้นไม่ใช่ขอบคุณเราหรอก ขอบคุณนายหญิงผู้นั้นต่างหาก” เซียนหญิงผู้หนึ่งลูบหัวเด็กน้อยแล้วเอ่ยพลางหัวเราะ
“ศิษย์พี่ นายหญิงผู้นั้นเป็นใครกัน หรือจะเป็นเซียนบนเขา” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างสงสัย เสียดายที่ตนไม่ได้ไปขุดหาผักป่าด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้พบท่านเซียนเหมือนกัน
คำพูดของเด็กน้อยทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปบนเขา แสงแดดจ้ากลางท้องฟ้า สาดส่องป่าเขาจนเป็นประกายวาววับ ในพงไม้ปิดทึบมีวัดเต๋าปรากฏขึ้น พร้อมกับควันไฟลอยพวยพุ่ง
ทุกคนนิ่งไปเพราะอารมณ์ที่ขุ่นมัว
มีหญิงโสโครกผู้นั้นอยู่ เซียนเทพที่ไหนก็คงรั้งไว้ไม่อยู่!
สาวใช้เปิดฝาหม้อออก เนื้อในถ้วยสีชมพูสวยงาม นางใช้ผ้ารองแล้วยกขึ้นมาพร้อมตักข้าวมาถ้วยหนึ่ง ก่อนจะคีบผักดองเรียวยาวสีเขียวเข้มจากในไหด้านข้างมาจัดใส่จาน เมื่อเห็นว่าไฟในเตาดับแล้วจึงยกถาดรองเดินไปในห้อง
เฉิงเจียวเหนียงนั่งดูหนังสืออยู่ในห้องโถง
“นายหญิงเจ้าคะ กินข้าวก่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้นั่งคุกเข่าแล้วกล่าว นางมองดูหนังสือที่พลิกเปิดแล้วเม้มปากยิ้มออกมา “ไม่รีบดูหนังสือนะเจ้าคะ ปีใหม่ยังอีกนาน ต้องอ่านจบหนึ่งหน้าแน่นอนเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงแอบยิ้มมุมปากเล็กน้อย
รู้จักกันมาจนเดี๋ยวนี้ สาวใช้ผู้นี้ไม่ประหม่าเหมือนตอนแรกแล้ว ทั้งยังล้อเล่นกันได้อีก
คนเราก็แบบนี้ไม่ใช่หรือ จากแปลกหน้ากระทั่งสนิทสนม จากสนิทสนมแล้วกลายเป็นแปลกหน้าอีก
เฉิงเจียวเหนียงยกตะเกียบขึ้น คีบเนื้อวางบนข้าว แล้วคีบผักดองมาหนึ่งชิ้น คลุกเคล้ากันเล็กน้อยแล้วกินเข้าไป
“ผู้นั้นคือชายเถื่อนของเจ้าอาวาสหรือ” นางเอ่ยถามขึ้นกระทันหัน
หัวข้อสนทนานี้สำหรับหญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก สาวใช้ไม่คิดว่านายหญิงจะพูดคำที่น่าอับอายเช่นนั้นออกมา อีกทั้งยังพูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ เหมือนกับตอนพูดบ่นว่าข้าววันนี้นิ่มเกินไปอย่างไรอย่างนั้น
“น่าจะใช่เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ไม่ได้พูดต่อ ก่อนจะกินข้าวอย่างช้าๆ ต่อไป
มีคนเรียกดังขึ้นจากนอกประตู
“พี่ปั้นฉิน พี่ปั้นฉิน”
เป็นเด็กน้อยที่เจ้าอาวาสผู้นั้นเก็บมาเลี้ยง สาวใช้ลุกขึ้นแล้วเดินไป
“เจ้าอาวาสเชิญพี่ไปหาเจ้าค่ะ” เด็กน้อยกล่าวอย่างหวั่นเกรง
สาวใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียงในห้องโถง เฉิงเจียวเหนียงโบกตะเกียบให้นาง
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปดูสักหน่อย” สาวใช้กล่าว นางก้าวเท้าออกประตูแล้วปิดประตูลง พร้อมเดินตามเด็กน้อยไป
พวกนางเพิ่งจะออกไป เด็กน้อยอีกคนก็ชะโงกหัวมาสอดส่องจากด้านหนึ่งของห้อง นางเหลียวซ้ายแลขวา สุดท้ายก็กัดฟันเดินย่องเข้ามา ยื่นมือมาเปิดประตูบานหนึ่งออก ไม่รู้ว่ากำลังเล่นซนอะไร จากนั้นเด็กน้อยจะหันหลังกลับวิ่งออกไป
เฉิงเจียวเหนียงได้ยินเสียงประตูดังขึ้นเลยเงยหน้าดู แต่กลับไม่พบปั้นฉินเดินเข้ามา นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็กินต่อ
“จะเลี้ยงข้าวสาวใช้นั่น ก็ไม่ต้องไล่ข้าไปก็ได้นี่ กินด้วยกันดีจะตาย” ชายหนุ่มท่าทางหงุดหงิดเดินแวบเข้ามาจากประตูด้านหลัง เขาบ่นเสียงพึมพำ “รีบร้อนอะไรปานนั้น…ข้ายังไม่อิ่มเลย”
เขาหยุดฝีเท้าลงกระทันหันเมื่อหันมาเห็นบานประตูเปิดออกอยู่ครึ่งหนึ่ง
นี่คงเป็นเรือนของนายหญิงสติไม่สมประกอบผู้นั้นสินะ…
ยามคำว่านายหญิงสติไม่สมประกอบแวบขึ้นมา ภาพใบหน้าที่งดงามอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนที่ได้พบเห็นในตอนเช้านั้นก็ลอยขึ้นมาตรงหน้า…
ประเด็นคือนางเป็นคนบ้า…
คนบ้าที่ไม่รู้ความ…
ชายหนุ่มหอบหายใจถี่รัว เขากลืนน้ำลายสองสามอึกที่ไหลทะลักในลำคอ แม้จะอยู่ในฤดูใบไม้ร่วงแต่เขากลับรู้สึกเร่าร้อนไปทั่วร่าง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือมาปลดเสื้อออก เผยให้เห็นหน้าอกที่มีกลุ่มขนดกดำ
เขาสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ แล้วก้าวเข้าประตูที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง
“นายหญิงน้อย…” เขาเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ สายตามองเข้าไปในห้องโถง
………………………………………………………..