พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 440 เจตนา
“ถอยไป ถอยไป!”
แม้เสียงฝีเท้าของม้าจะควบมาเร็วสักเท่าไหร่หรือเสียงร้องตะโกนจะดังสักแค่ไหนก็ไม่มีผล เพราะชายที่ยืนอยู่ยังคงไม่ขยับไหว โชคดีที่คนขี่ม้ามีฝีมือพอจึงเบี่ยงตัวหลบเขาได้แม้อยู่ในระยะประชิด
“อยากตายหรือ!”
คนบนหลังม้าตกใจจนเหงื่อซึมไปทั่วร่าง เขาเหลียวหลังกลับมาตวาดแล้วสะบัดแส้ในมือ
แส้นั้นฟาดลงบนร่างของหลิวขุยอย่างแรง ความแสบร้อนเรียกสติของหลิวขุยให้กลับคืนมา เขาหันไปมองรอบกายถึงได้รู้ว่าฟ้ามืดแล้ว
นี่เขายืนมานานเท่าใดแล้ว…
สายตาของหลิวขุยมองไปทางศาลาว่าการ ศาลาว่าการปิดประตูลงกลอนตั้งนานแล้ว
เพียงแค่คำพูดของฟ่านเจียงหลินเพียงคนเดียวนั้นไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์…
ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า!ข้าจะจับตาดูพวกเจ้า!
หลิวขุยพึมพำกับตัวเองพลางก้าวเดินไป
คนร่วมศึกป้อมหลินกวานนับสองพันคน นอกจากร้อยกว่าคนที่ตายไป…
พยาน พยาน
ฝีเท้าของหลิวขุนชะงักลงในทันใด เขากำหมัดแน่นก่อนจะยกเท้าวิ่งออกไป
เสียงโหวกเหวกทำลายความเงียบสงบของยามค่ำคืน ภายในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งเกิดเสียงวุ่นวายขึ้น
“ออกไป!ออกไป!”
เสียงตะโกนของหญิงนางหนึ่งดังขึ้น
“ข้าขอร้องพวกท่านละ ข้าขอร้องพวกท่านล่ะ”
หลิวขุยโห่ร้อง มือก็ทุบประตูไม่หยุด
หญิงนางนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ทว่ากลับมีชายผู้หนึ่งพุ่งตัวออกมา พร้อมกับใช้ไม้ในมือฟาดหลิวขุยอย่างแรง
เสียง ‘แกร็ก’ ดังขึ้น ท่อนไม้หักเป็นสองท่อนต่อหน้าต่อตา หลิวขุยคุกเข่าลงกับพื้น ยกมือขึ้นกุมหัวไหล่ เลือดไหลออกจากมุมปากไม่หยุด
หน้าประตูเงียบสงัดลงในทันใด หญิงนางนั้นใบหน้าซีดเผือด ชายที่กำท่อนไม้หักในมือก็นิ่งชะงักไปเช่นกัน
นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่หลบ
หลิวขุยหัวเราะ แล้วคุกเข่าอีกข้างลง
“ข้าหลิวขุยผู้นี้ ชาตินี้ไม่เคยคุกเข่าให้ผู้ใดนอกจากฟ้าดินและบรรพบุรุษ บรรพจารย์ วันนี้ข้าคุกเข่าต่อหน้าเจ้า” เขาเอ่ย “ข้าขอเพียงแค่ให้เจ้าลุกยืนขึ้น แล้วเอ่ยคำสัตย์จริงออกมา”
ชายผู้นั้นโยนไม้ที่หักครึ่งท่อนในมือทิ้งไป
“ข้าไม่มีอะไรต้องพูด” เขาเอ่ยแล้วหันหลังกลับเข้าไป “ปิดประตู”
“ข้ารู้ ตอนนั้นพวกเจ้ากำลังพลน้อยนัก หน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้งยังไม่มีกองหนุน แม้จะอยู่ที่นั่นก็คงช่วยพวกสวีเม่าซิวไว้ไม่ได้ การตายของพวกเขาไม่ได้ข้องเกี่ยวอันใดกับเจ้า และก็ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวโทษผู้ใด ข้าขอเพียงแค่การยอมรับ ยอมรับว่าพวกเขานั้นได้สร้างคุณูปการสละชีพเพื่อปกป้องบ้านเมือง ฟางจ้งเหอหลบหนีออกมากลางคันยังได้รับความดีความชอบ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงไม่ได้ เช่นนี้ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรม” หลิวขุยเอ่ยเสียงแหบพร่า เงยหน้ามองดูแผ่นหลังของชายผู้นั้น “ตอนนั้นสถานการณ์ย่ำแย่นัก ไม่มีทหารกองเสริม จึงต้องยืนหยัดสู้ต่อไป แม้พวกเจ้าอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ไหว แต่ยามนี้ต่างออกไป ยามนี้มีคนถามแล้ว ตอนนี้ราชสำนักส่งคนมาสืบถามเรื่องของพวกเขา ราชสำนักเป็นผู้จัดการเอง ราชสำนักเป็นผู้จัดการเอง พวกเจ้าช่วยพวกเขาได้ พวกเจ้าช่วยได้ เพียงแค่พวกเจ้าพูดออกมา พูดความสัตย์จริงออกมาก็ช่วยพวกเขาได้แล้ว ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ช่วยพวกเขาด้วยเถิด เจ้าช่วยพวกเขาได้ ตอนนี้พวกเจ้าช่วยพวกเขาได้แล้ว มีเพียงพวกเจ้าที่ช่วยพวกเขาได้!ข้าขอร้องพวกเจ้าล่ะ!”
หลิวขุยโขกหัวกับพื้นดังปัง
หญิงที่อยู่ข้างกันเห็นแล้วก็สะบัดแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา นางสั่นไปทั้งร่าง
แผ่นหลังของชายผู้นั้นเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไหว ทว่าในที่สุดก็ก้าวเท้าเดินหน้าต่อไป
“ปิดประตู” เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ท่านพี่…” ภรรยาของเขาร้องตะโกนอย่างอดไม่ได้
“ปิดประตู!” ชายผู้นั้นตะเบ็งเสียงดังลั่น เขาสะบัดมือก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูโถงลงในทันที
หญิงนางนั้นทอดถอนใจ เหลียวมองดูหลิวขุยที่นั่งคุกเข่าก้มหัวอยู่บนพื้นก่อนประตูจะถูกปิดลง
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ แสงตะเกียงในลานบ้านถูกดับลง กฎห้ามออกเรือนในยามวิกาลยังคงบังคับใช้ ฟ้าดินมืดสนิทเป็นสีดำ
หญิงนางนั้นย่องออกไปมองลอดผ่านซอกประตู ภายในตรอกอันมืดมิด มีบริเวณหนึ่งที่ดูมืดกว่าจุดอื่น หากมองให้ดีก็จะเห็นว่าเป็นเงาของคนกำลังคุกเข่าอยู่
นางหันหลังกลับอย่างเบามือเบาเท้าแล้วเข้าเรือนไป
ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสลัว
“เขายังคุกเข่าอยู่เลย” นายเอ่ยเสียงแผ่วเบา มองเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงรำไร พอสายตาปรับแสงได้ ก็เห็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเตียง
เขาไม่เอ่ยคำใด เอาแต่ก้มหน้าอยู่บนเตียง แม้ภรรยาจะเข้าไปนั่งใกล้ๆ แต่เขาก็ยังไม่ล้มตัวลงนอน
ภายในห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจ
“ท่านพี่”
“หุบปาก”
ภายในห้องเงียบสงัดอีกครั้ง
“ท่านพี่…”
“ข้าบอกให้หุบปากอย่างไรเล่า!”
“ท่านพี่ หากข้าหุบปากแล้วใจท่านจะสงบหรือย่างไร”
ชายผู้นั้นลุกพรวดขึ้นในทันใด
“เจ้าคิดจะทำอะไร” เขากัดฟันคำราม
สองสามีภรรยาสบตากันท่ามกลางความมืด
“…เขาพูดถูก ตอนนี้มีเพียงท่านแล้วที่ช่วยพวกเขาได้” ภรรยาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“บ้าไปแล้วหรือ!คนตายไปแล้ว จะช่วยได้อย่างไร” ชายผู้นั้นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นั่นก่อนล้มตัวลงนอน
ภรรยาคว้าตัวเขาไว้
“คนตายแล้วก็ปล่อยให้ตายไปอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยเสียงสะอื้น
“หากไม่ปล่อยให้ตายไปแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า!” เขาเอ่ยอย่างฉุนเฉียว
ภรรยานิ่งไปครู่หนึ่ง
“ท่านพี่ ข้าได้ยินคนในเมืองเขาพูดกัน ราชสำนักกำลังสืบสวนเรื่องนี้อีกครั้งอย่างที่ว่าจริง แถมฟาง
จ้งเหอก็ดูร้อนรนนัก แม้แต่ท่านเจ้าเมืองเองก็ยังกลัว ไม่เช่นนั้นจะจับตัวสวีซื่อเกินไปทำไมเล่า ท่านพี่ หากพวกเราไปเป็นพยาน บางทีอาจจะ…” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“หุบปาก!เจ้าอยู่ดีไม่ว่าดีหรืออย่างไร!” ชายผู้นั้นตวาดเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านใช้ชีวิตอยู่อย่างคับแค้นใจ คับแค้นใจไปตลอดทั้งชาติ เหมือนมีก่อนหินกดทับตัวอยู่เช่นนี้ตลอดไป” นางเอ่ยน้ำตานองหน้า “หากต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป สู้ตายไปเสียไม่ดีกว่าหรือ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสีย”
ชายผู้นั้นล้มตัวลงนอนก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไม่เอ่ยคำใดต่อ
คนเป็นภรรยายังคงปาดน้ำตาสะอื้น
“ฟ่านเจียงหลินถูกไล่ออกไปแล้ว สวีซื่อเกินก็ถูกจับตัวไปแล้ว เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ยังมีคนคอยเหนื่อยยากวิ่งเต้นเพื่อพวกเขา ยังมีคนสงสารเขา หากสุดท้ายแล้วไม่สำเร็จ คนบนโลกคงสิ้นหวังกันหมดเป็นแน่”
“คนที่อยู่บนโลกนี้เดิมทีก็อยู่อย่างสิ้นหวังกันทั้งนั้น”
เสียงร้องไห้สะอื้นคร่ำครวญค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงัด
ความมืดมิดจางหาย แสงสว่างรำไรมาเยือน คนเป็นภรรยาลืมตาขึ้น ก็พบว่าชายข้างกายไม่อยู่แล้ว นางรีบพลิกตัวลุกขึ้น พอเปิดประตูออกก็เห็นว่าสามีกำลังเปิดประตูเรือน
ยามต้นเดือนเก้าอากาศในแถบตะวันตกเฉียงเหนือเริ่มหนาวเย็น เงาของคนกำลังคุกเข่าปรากฏขึ้นท่ามกลางม่านหมอก
มือที่กำประตูอยู่ของชายผู้นั้นชะงักไป
คุกเข่าอยู่ทั้งคืนเลยหรือนี่!
“เจ้าต้องการสิ่งใด” เขาเอ่ยถามเสียงขุ่นเคือง
หลิวขุยเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วคลี่ยิ้มออกมา
“ความยุติธรรม” เขาเอ่ย
“ยุติธรรมแล้วอย่างไรเล่า ก็แค่ชื่อเสียงมิใช่หรือ จะมีประโยชน์อันใดแก่พวกเขา” ชายผู้นั้นเอ่ย
หลิวขุยหัวเราะ
“นั่นสินะ ไม่มีประโยชน์ ตายไปแล้วก็ไร้ค่า แต่ก็ยังมีคนที่ยังไม่ตายไม่ใช่หรือ ยังมีคนมากมายที่เหมือนกับพวกเขา แต่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ” เขาเอ่ยพลางชี้นิ้วไปด้านหลัง “เพื่อความยุติธรรมของคนที่ตายไปแล้ว เพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ไม่ถูกรังแก”
ชายผู้นั้นมองเขาแล้วยกเท้าเดินเข้าไปใกล้
“เอาละ เช่นนั้นข้าจะทำเพื่อความยุติธรรม” เขาเอ่ยแล้วยื่นมือออกมา
หลิวขุยมองเขาราวกับไม่เชื่อสายตาของตนเอง จนกระทั่งชายผู้นั้นยื่นมือมาข้างหน้าอีกครั้ง เขาถึงได้สติกลับมาก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับไว้
ชายผู้นั้นออกแรงดึงเขาให้ลุกขึ้น ทั้งสองจับมือกันแน่น
ภรรยาปาดน้ำตามองดูภาพนั้นจากหน้าประตูเรือน ทว่าใบหน้ากลับยิ้มแย้ม
หลิวขุยหันหลังกลับอย่างทุลักทุเล
“เจ้าจะไปที่ใด” ชายผู้นั้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น
“ข้าจะไปตามหาความยุติธรรมอีก” หลิวขุยเอ่ยแล้วเหลียวกลับมายิ้มให้เขา “ตามหาจากเจ้าได้แล้ว ย่อมตามหาได้เพิ่มอีกแน่นอน”
ชายผู้นั้นมองเขาก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป
“ข้าจะไปกับเจ้า” เขาเอ่ย “หากันสองคนคงไวกว่า ง่ายกว่า”
…
ตราสัญลักษณ์ทองคำในมือของพลขับม้าเร็วและผ้าไหมสีเหลืองที่โบกสะบัดอยู่ด้านหลังคนบนม้า พาพวกมุ่งตรงเข้ามาสู่ศาลาว่าการของเมืองหลงกู่ได้โดยไม่มีผู้ใดขวางกั้น
“รับราชโองการ”
ขณะที่เสียงแหลมเล็กของขันทีประกาศราชโอการดังขึ้น เหล่าขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายในเมืองหลงกู่ก็พร้อมใจกันคุกเข่าลงพลางคำนับ ตั้งใจฟังราชโองการของฮ่องเต้
เนื้อหายังคงเหมือนเมื่อคราวก่อน แต่โทนเสียงนั้นฟังดูเง้มขวดยิ่งกว่าเดิม ดูท่าทางคนเมืองหลวงคงอาละวาดกันเสียใหญ่โต
เจียงเหวินหยวนถอนใจอยู่ในอก พอสิ้นเสียงราชโองการ เขาก็รีบยกมือขึ้นเหนือหัวพร้อมขานรับราชโองการ
“ใต้เท้า ฝ่าบาทกำชับมาว่าให้รู้ผลให้เร็วที่สุด” ขันทีเอ่ย เขาปฏิเสธเหล่าขุนนางและแม่ทัพทั้งหลายที่เชิญเขาไปพักผ่อนเสียก่อน ราวกับต้องการคำตอบในทันทีเพื่อรีบกลับไปเมืองหลวงอย่างไรอย่างนั้น ไม่ยอมให้เวลาสูญเปล่าไปแม้แต่วินาทีเดียว
รีบร้อนขนาดนั้นเชียว
“เรื่องนี้เร่งด่วนนัก ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว” ขันทีเอ่ย
เจียงเหวินหยวนสบตาโจวเฟิ่งเสียง โจวเฟิ่งเสียงหลบตาเขาไม่เอ่ยคำใด
“ใต้เท้า เรื่องราวสืบสวนเสร็จสิ้นแล้ว” เจียงเหวินหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางหยิบสาส์นกราบทูลข้อราชการออกมา “ล้วนแต่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นใด ก็ล้วนแต่ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันเรื่องของทั้งห้าคนนั้น จึงยืนยันได้ว่าฟ่านเจียงหลินและพวกพ้องทำไปเพราะความแค้นเคือง”
ขันทีมองเขาแล้วมองสาส์นกราบทูลข้อราชการในมืออีกหน
“เจ้าแน่ใจรึ” เขาถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ข้าแน่ใจ” เจียงเหวินหยวนตอบอย่างไม่ลังเล
ขันทีพยักหน้ากำลังจะอ้าปากพูด ทันในนั้นก็มีเสียงรายงานเรื่องด่วนดังมาจากข้างนอก
“ใต้เท้าแย่แล้วขอรับ”
ทหารผู้น้อยนายหนึ่งพรวดพราดเข้ามา ก่อนหยุดอีกที่หน้าประตูแล้วตะโกนลั่น
สามหาวนัก สีหน้าของทุกคนในที่นั้นเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็ไม่ควรแหกปากตะโกนต่อหน้าผู้แทนของฮ่องเต้เช่นนี้!
แม่ทัพที่อยู่ริมประตูกำลังจะตวาดไล่แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง
“ด้านนอกมีผู้คนมากมาย บอกว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากป้อมหลินกวาน จะมาขอเป็นพยานให้แก่สวีซื่อเกินและฟ่านเจียงหลินขอรับ!”
ว่าอย่างไรนะ
ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงชะงักไป สีหน้าของเจียงเหวินหยวนดูไม่จืดนัก น้ำเสียงแหบแห้งของผู้แทนฮ่องเต้ดังขึ้นข้างหู
“ใต้เท้าเจียง เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”