พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 441 ยืนยัน (1)
หมายความว่าอย่างไรกัน
ก็หมายความว่ามีคนจ้องใส่ร้ายเขาอย่างไรเล่า!
บนโลกนี้ไม่มีเหตุบังเอิญ ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะคนบงการทั้งนั้น
ใช้โอกาสยามที่ราชทูตมาส่งมอบราชโองการ คำนวณเวลามาอย่างดิบดี ให้ทหารมาป่าวประกาศว่ามีผู้ใดทำเรื่องอันใดลงไป
หมายจะให้เขาไร้หนทางปิดปัง ไร้หนทางขัดขวาง
โจวเฟิ่งเสียง!
เจียงเหวินหยวนมองออกไปด้วยสายตาเคียดแค้น ทว่าโจวเฟิ่งเสียงที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนกลับไม่เหลียวมองเขาแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาไม่ได้ดูตื่นตกใจเหมือนผู้อื่น แต่กลับนิ่งเฉยเสียยิ่งกว่าเดิม
ต้องเป็นเขาแน่นอน เจียงเหวินหยวนกัดฟันแน่น อยากจะกลืนเขาลงท้องเสียตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“ใต้เท้าเจียง!”
เสียงของราชทูตดังขึ้นข้างหูเขาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับฟังดูเยือกเย็นกว่าเคย
“เจ้าจะให้ข้าโป้ปดกับฝ่าบาทหรือ”
เจียงเหวินหยวนมองออกไปนอกโถง มองดูประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยออกมา
“เปิดประตู!” เขาตะโกนลั่น
ประตูของโถงว่าการถูกเปิดออก บรรดาแม่ทัพทั้งหลายพากันเดินออกมา มองดูผู้คนหลายสิบที่ยืนอยู่หน้าประตู มีทั้งทหารผู้น้อย ทหารกล้า และชาวเมืองที่เคยถูกเกณฑ์มาใช้งานในกองทัพ
ฟางจ้งเหอที่รีบวิ่งมาหลังจากรู้ข่าว มือไม้แข้งขาก็พลันอ่อนแรงจนต้องในมือค้ำกำแพงไว้ สีหน้าของเขาดูตื่นกลัว ราวกับไม่เชื่อภาพที่ได้เห็นตรงหน้า
คนพวกนี้มารวมตัวกันอีกได้อย่างไร
ก่อนที่เขาจะปลดประจำการจากป้อมหลินกวาน ก็วางแผนส่งตัวคนที่หนีเอาชีวิตรอดมาพร้อมกับเขาให้กระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ เพื่อที่พวกเขาไม่สามารถมารวมตัวกันแล้วพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดพวกนั้นอีก เขาเชื่อว่ากาลเวลาจะทำให้เรื่องนี้ถูกหลงลืมไป ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การหนีสงครามนั้นมีโทษถึงขั้นตัวหัวประหารชีวิตด้วยซ้ำ
คงไม่มีผู้ใดโง่พอจะสละชีวิตตัวเองเพื่อคนตายหรอก!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“ข้าหลิวขุย ทหารกล้าจากป้อมตะวันตก ข้าขอเป็นพยานว่าคนทั้งห้าจากเขาเม่าหยวนซานที่ตายในสงคราม เป็นผู้ทำคุณงามความดีปกป้องเมืองจากศัตรู แม่ทัพฟางจ้งเหอหลบหนีระหว่างศึกทั้งยังแย่งคุณงามความดีนั้นไป”
“ข้าผู้รอดชีวิตจากป้อมหลินกวาน ข้าขอเป็นพยานว่าคนทั้งห้าจากเขาเม่าหยวนซานที่ตายในสงคราม เป็นผู้ทำคุณงามความดีปกป้องเมืองจากศัตรู แม่ทัพฟางจ้งเหอหลบหนีระหว่างศึกทั้งยังแย่งคุณงามความดีนั้นไป”
เสียงตะโกนอื่นดังขึ้นเป็นสาย หลังจากสองประโยคนี้ถูกตะโกนออกมา
“ข้าขอเป็นพยาน!ข้าขอเป็นพยาน!”
“ข้าเป็นพยานได้ พวกเขาต่างหากที่เป็นผู้สละชีวิตเพื่อปกป้องเมือง!”
“ข้าเป็นพยานได้ ข้าเป็นพยานได้!”
เสียงของคนหลายสิบดังขึ้นราวกับเกลียวคลื่นจนในสุดก็ประสานเป็นเสียงเดียวกัน เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งถนน ราวกับเหล่าทหารและชาวบ้านพร้อมใจกันโห่ร้องทั้งเมือง
สีหน้าของบรรดาแม่ทัพที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูเริ่มไม่สู้ดีนัก ส่วนฟางจ้งเหอที่อยู่ห่างจากฝูงชนไปนั้นใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งออกไป
เสียงดังก้องไปทั่วทิศ ฟ่านเจียงหลินที่นั่งอยู่คุกของศาลาว่าการถึงกับค่อยๆ เหลียวมองตาม
“เสียงอะไรน่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น“
เหล่าเวรยามด้านนอกพากันถามไถ่ พลางมองออกข้างนอก ไม่นานก็มีคนส่งข่าว
“มีคนมากมายมาเป็นพยานให้ทั้งห้าคนจากเขาเม่าหยวนซาน!”
“มีตั้งหลายสิบคนแหนะ!ร้องตะโกนต่อหน้าราชทูตเชียวนะ!”
“เช่นนั้นก็แปลว่า คนทั้งห้าจากเขาเม่าหยวนซานเป็นผู้มีความดีความชอบจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
สายตาของทุกคนมองไปในห้องขัง
สวีซื่อเกินในห้องขังไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นหรือร้องตะโกนอย่างเสียสติแต่อย่างใด แต่กลับยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เงี่ยหูฟังเสียงโหวกเหวกจากด้านนอกที่ได้ยินเพียงรำไร
พวกข้าของเป็นพยาน พวกข้าขอเป็นพยาน
หัวของสวีซื่อเกินแนบไปกับผนัง หยดน้ำตาไหลออกมาจากผ้าพันแผลที่ปิดทับบาดแผลจากรองเท้าบนใบหน้า
ตอนที่รู้ว่าพวกเขาตายในศึกสงคราม เขาไม่ร้องไห้
ตอนที่พวกเขาถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน เขาก็ไม่ร้องไห้
อย่าร้องไห้ สละชีพเพื่อแผ่นดินมีอันใดให้น่าร้องไห้กัน ต้องยิ้มต่างหาก
ทันใดนั้นเขาก็คลี่ยิ้มออกมา ยิ้ม ต้องยิ้มต่างหาก!
…
“เป็นฝีมือข้าอย่างนั้นหรือ ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ให้ได้ประโยชน์อันใดขึ้นมา”
ภายในโถงว่าการที่ปิดสนิท โจวเฟิ่งเสียงแค่นยิ้มพลางเอ่ยออกมา ก่อนจะหยิบสาส์นกราบทูลข้อราชการบนโต๊ะขึ้นมา
“ผู้ที่ลงนามในสาส์นฉบับนี้ก็คือข้า การสอบสวนข้าก็ฟังเองกับตัว โยกย้ายตำแหน่งแม่ทัพข้าก็เป็นคนอนุมัติ เจียงเหวินหยวน เจ้าเป็นรองผู้บัญชาการ ข้าเป็นผู้ตรวจการ หากเจ้าสั่งการไม่เหมาะสม ข้าก็ตรวจสอบไม่เข้มงวดเช่นกัน คนที่ได้รับโทษก่อนก็ย่อมเป็นข้าอยู่แล้ว!”
เจียงเหวินหยวนยิ้มเย็นไม่เอ่ยคำใด
มีคนผลักประตูเข้ามา
“ใต้เท้า สืบถามได้ความมาแล้วขอรับ” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น “ทหารที่มาส่งข่าวได้รับเงินจากหลิวขุยขอรับ”
เจียงเหวินหยวนยังคงยิ้มเย็นยะเยือกดังเดิม ทว่าสายตากลับจับจ้องไปที่โจวเฟิ่งเสียง
“เช่นนั้นแล้วคนมากมายพวกนั้นก็ได้รับเงินมาอย่างนั้นหรือ เจ้าหลิวขุยมีเงินซื้อชีวิตคนมากมายขนาดนั้นเชียวหรือนี่” เขาเอ่ยเสียงเย็น
“ไม่ใช่หลิวขุยหรอกที่มีเงิน แต่พวกคนจากเขาเม่าหยวนซ่านต่างหากที่มีเงิน” แม่ทัพผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นนั้น ช่วงที่ผ่านมานี้ เจ้าสวีซื่อเกินนั่นผลาญเงินจนแทบสิ้นทั้งตระกูล” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น
คำพูดนั้นทำให้เจียงเหวินหยวนยิ่งเดือดดาล
“ตระกูลเขามีเงินให้ผลาญมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ” เขาตวาดลั่น
“ใต้เท้า เมื่อครู่ที่ไปสืบถามได้ความชัดแจ้งแล้วนี่ หลังศึกป้อมหลินกวานจบตลอดสี่เดือนนี้ เขาก็เทียวไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของผู้รอดชีวิต ส่งข้าวปลาอาหารฟืนไฟไม่เคยขาด คนเขาโยนทิ้ง เขาก็ส่งให้ใหม่ โยนทิ้งเท่าไหร่ก็ส่งให้ใหม่เท่านั้น ทั้งยังส่งเงินให้อีก ถึงคนพวกนั้นจะกระมิดกระเมี้ยนไม่ยอมบอก แต่พวกข้าลองคำนวณดูคร่าวๆ น่าจะประมาณสองแสนก้วนได้” ขุนนางผู้หนึ่งเดินออกมาจากอีกฝั่งแล้วเอ่ยขึ้น
พอได้ยินคำพูดนั้นคนทั้งห้องโถงก็พากันตกตะลึง
สองแสนก้วนอย่างนั้นหรือ!
“ข้าประจำอยู่ที่ถนนตะวันตกเฉียงเหนือมาสามปีเต็ม ทั้งตระกูลเพิ่งจะมีเงินแค่แสนก้วนเท่านั้น…” แม่ทัพที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยพึมพำ “แต่ทหารผู้น้อยอย่างพวกเขา แค่สามปีก็มีเงินถึงสองแสนก้วนแล้วหรือ…”
“เป็นไปไม่ได้!” เจียงเหวินหยวนตะโกนลั่น
เป็นไปไม่ได้ คนที่นั่งอยู่ในที่นั้นก็โห่ร้องในใจเช่นนี้เหมือนกัน
หากมีเงินสองแสนก้วน ผู้ใดจะมาอยู่ที่นี่กัน!
หากมีเงินสองแสนก้วน ผู้ใดจะกล้าผลาญเช่นนี้กัน!
หากมีเงินถึงสองแสนกว้าน ผู้ใดจะสนใจความยุติธรรมกัน!
“เหตุใดข้าทำท่าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้น่ะหรือ ข้ารู้ดี ใต้เท้าเจียง เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร” โจวเฟิ่งเสียงแค่นหัวเราะพลางเอ่ย “เถ้าแก่ร้านเรือนไท่ผิงจากเมืองหลวง ปีหนึ่งได้ส่วนแบ่งกำไรคนละสองหมื่นกว้าน พวกเขามีกันเจ็ดคน เวลาสามปี เหตุใดถึงจะมีเงินสองแสนกว้านไม่ได้!”
“พวกเขามีเงินสองแสนกว้านหรืออาจมากกว่านั้นก็เป็นได้ พวกเขายอมทิ้งชีวิตของตัวเองไว้ที่นี่ หากไม่ใช่เพื่ออนาคต หากไม่ใช่เพื่อคุณงามความดี พวกจะทำไปเพื่อสิ่งใด พอคุณูปการที่ตนสร้างถูกแย่งชิงไปเช่นนี้ จะให้พวกเขายอมได้อย่างไร!”
“เงินสองแสนกว้าน เหตุถึงจะซื้อคนเหล่านั้นให้มาเป็นพยานไม่ได้”
“หากออกมาเป็นพยานก็ย่อมเสี่ยงต้องโทษ แต่หากมีเงินสองแสนกว้านแล้ว อย่าว่าแต่ต้องรับโทษเลย แม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็ซื้อได้!”
“ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ดี เจียงเหวินหยวน เป็นเพราะเจ้าเองไม่ใส่ใจไม่ยอมตรวจสอบ แต่กลับข่มขู่ข้าไม่ให้ก้าวก่ายการสืบสวน เอาอนาคตของทุกคนมาข่มขู่ข้า หากเจ้าข่มขู่ข้าเช่นนี้ได้ เหตุใดถึงไม่บีบบังคับคนนับสิบพวกนั้นแทน!”